คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คดีอาญา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,111 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3944/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีแพ่งจากการกระทำทางอาญา: ไม่จำเป็นต้องฟ้องค่าเสียหายพร้อมคดีอาญา
จำเลยฎีกาหลายข้อ แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับฎีกาเฉพาะปัญหาเรื่องอายุความเท่านั้น จำเลยมิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกา คดีจึงมีปัญหาในชั้นฎีกาแต่เพียงว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ การฟ้องคดีอาญาซึ่งผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกค่าทดแทนจากจำเลยด้วยนั้น ไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติว่าโจทก์จะต้องเรียกร้องเอาค่าทดแทนดังกล่าวมาพร้อมกัน ดังนั้น แม้โจทก์ไม่ได้เรียกค่าทดแทนในคดีอาญาอายุความฟ้องคดีแพ่งของโจทก์ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3894/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพรากผู้เยาว์, พยายามข่มขืน, และความน่าเชื่อถือพยานหลักฐานในคดีอาญา
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 และ 318ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา ให้ลงโทษตามมาตรา 318 ซึ่งเป็นบทหนักจำคุก 4 ปีศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าเป็นความผิด 2 กระทง และแก้บทกฎหมายทั้ง 2 มาตรา ดังกล่าว โดยระบุวรรคเสียให้ชัดเจน แต่คงให้ลงโทษจำคุกจำเลยรวมแล้วมีกำหนด 4 ปี ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นเล็กน้อย โดยยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี คดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก จำเลยมีมีดปลายแหลมเป็นอาวุธบุกรุกขึ้นไปบนเรือนของโจทก์ร่วม ผู้เสียหายซึ่งมีอายุ 17 ปี เป็นหลานของโจทก์ร่วมและอาศัยหลับนอนอยู่ที่บ้านของโจทก์ร่วม ได้กระโดดลงเรือนเพื่อหลบหนี การที่ผู้เสียหายกระโดดลงเรือหนีไปเกิดเพราะจำเลยเป็นต้นเหตุให้หนี ไม่ได้เกิดจากความสมัครใจของผู้เสียหายเองและยังหลบหนีไปไม่ไกล จึงถือว่าขณะนั้นผู้เสียหายไม่ได้อยู่ในความปกครองของโจทก์ร่วมไม่ได้ และการที่ต่อจากนั้นจำเลยเข้าไปจับผมผู้เสียหายดึงไปทั้งขู่ไม่ให้ร้อง และพาผู้เสียหายไปที่ทุ่งนาห่างบ้านเกิดเหตุประมาณ 1 เส้น เพื่อกระทำอนาจารและพยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดา หรือผู้ดูแลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 377/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยอมความในคดีอาญา: การรับชำระหนี้ด้วยทรัพย์สินทำให้สิทธิในการฟ้องอาญาเป็นอันระงับ
จำเลยได้ยักยอกสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายไป ต่อมาผู้เสียหายตกลงยอมความกับจำเลยโดยยอมรับเอาบ้านจำเลยเป็นการตีใช้หนี้ค่าสร้อยคอทองคำดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการตกลงยอมความทั้งในทางอาญาและทางแพ่งแล้ว เมื่อคดีนี้เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัวสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 377/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยอมความโดยการตีใช้หนี้ ทำให้สิทธินำคดีอาญา (ความผิดต่อส่วนตัว) ระงับ
จำเลยได้ยักยอกสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายไป ต่อมาผู้เสียหายทำสัญญากับจำเลยโดยยอมรับบ้านจำเลยเป็นการตีใช้หนี้ค่าสร้อยคอทองคำดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการตกลงยอมความทั้งในทางอาญาและทางแพ่งแล้ว เมื่อคดีนี้เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมเป็นอันระงับ ไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 39(2).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 377/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยอมความในคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัวโดยการรับชำระหนี้ด้วยทรัพย์สิน ทำให้สิทธิในการฟ้องอาญาเป็นอันระงับ
จำเลยได้ยักยอกสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายไป ต่อมาผู้เสียหายตกลงยอมความกับจำเลยโดยยอมรับบ้านจำเลยเป็นการตีใช้หนี้ค่าสร้อยคอทองคำดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการตกลงยอมความทั้งในทางอาญาและทางแพ่งแล้ว เมื่อคดีนี้เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัวสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 377/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยอมความในคดีอาญา: การรับชำระหนี้ด้วยทรัพย์สินทำให้สิทธิในการฟ้องอาญาเป็นอันระงับ
จำเลยได้ยักยอกสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายไป ต่อมาผู้เสียหายตกลงยอมความกับจำเลยโดยยอมรับเอาบ้านจำเลยเป็นการตีใช้หนี้ค่าสร้อยคอทองคำดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการตกลงยอมความทั้งในทางอาญาและทางแพ่งแล้ว เมื่อคดีนี้เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัวสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 376/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่นำสืบพยานหลักฐานของโจทก์ในคดีอาญา และการพิจารณาคำรับสารภาพของจำเลย
คดีอาญาโจทก์มีหน้าที่นำสืบพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยหรือให้ฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิด เมื่อโจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยฐานพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะ แต่โจทก์หาได้นำสืบให้ได้ความว่าวันเกิดเหตุจำเลยพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะและสถานที่เกิดเหตุซึ่งเป็นป่าและไร่ถั่วลิสงมีทางเกวียนยากแก่การสัญจรอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านนั้นก็ไม่ได้ความว่าเป็นทางสาธารณะดังโจทก์ฟ้อง ดังนี้จะสันนิษฐานว่าจำเลยพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนผ่านเมืองหมู่บ้านและทางสาธารณะเพื่อให้จำเลยต้องรับโทษหาได้ไม่ แม้จำเลยให้การรับสารภาพ แต่ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคแรก ก็มิได้หมายความว่า หากจำเลยรับสารภาพแล้วศาลจะต้องพิพากษาลงโทษเสมอไปเมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดจริงศาลย่อมพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยอำนาจตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185วรรคแรกได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 376/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาคดีอาญา แม้จำเลยรับสารภาพ หากพยานหลักฐานโจทก์ไม่สนับสนุนความผิด ศาลมีอำนาจยกฟ้อง
จำเลยให้การรับสารภาพภายหลังที่โจทก์สืบพยานเสร็จสิ้นแล้วแม้คดีนี้ถ้าจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 176 วรรคแรก แต่เมื่อพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิด ศาลย่อมพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 185วรรคแรก ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3349/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีแรงงานไม่เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลแรงงานฟังข้อเท็จจริงได้เอง
คดีแรงงานโจทก์ฟ้องจำเลยเรียกค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือให้รับกลับเข้าทำงาน ตามกฎหมายแรงงาน กับเรียกร้องเงินทุนเลี้ยงชีพตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง หาใช่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายหรือทรัพย์สินหรือราคาที่สูญหายไปเนื่องจากการกระทำผิดอาญาไม่ แม้โจทก์ถูกดำเนินคดีอาญาในความผิดฐานทุจริตยักยอกทรัพย์ของจำเลยซึ่งเป็นข้อหาเดียวกันกับที่จำเลยอ้างเป็นเหตุในการเลิกจ้างโจทก์ ก็ไม่ทำให้คดีนี้กลายเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลแรงงานกลางมีอำนาจรับฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทุจริตยักยอกเงินของจำเลยอันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานอย่างร้ายแรงและทุจริตต่อหน้าที่ โดยไม่จำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3349/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีแรงงานไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา แม้มีการฟ้องอาญาฐานยักยอกทรัพย์
โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างฟ้องจำเลยผู้เป็นนายจ้างเรียกค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือขอให้รับกลับเข้าทำงานตามกฎหมายแรงงาน กับเรียกร้องเงินทุนเลี้ยงชีพตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง หาใช่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหาย หรือทรัพย์สินหรือราคาที่สูญหายไปเนื่องจากการกระทำผิดอาญาไม่ แม้โจทก์ถูกดำเนินคดีอาญาในความผิดฐานทุจริตยักยอกทรัพย์ของจำเลยซึ่งเป็นข้อหาเดียวกันกับที่จำเลยอ้างเป็นเหตุในการเลิกจ้างโจทก์ก็ไม่ทำให้คดีนี้ซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยเรียกเงินต่าง ๆ ตามกฎหมายแรงงานและตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกลายเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาไปได้ ศาลจึงมีอำนาจรับฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทุจริตยักยอกเงินของจำเลย อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบเกี่ยวกับการทำงานอย่างร้ายแรงและทุจริตต่อหน้าที่ไม่จำต้องถือตามข้อเท็จจริงในคดีอาญา.
of 312