คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ความรับผิด

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,971 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4805/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้ขนส่งทอดสุดท้ายในกรณีสินค้าเสียหายจากการขนส่งหลายทอดทางทะเล
จำเลยที่ 1 เป็นผู้แจ้งการนำเรือเข้าต่อกรมศุลกากรและหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง และจ้างเรือฉลอมไปขนถ่ายสินค้าจากเรือใหญ่มาส่งที่โกดังของบริษัทผู้ซื้อสินค้าที่กรุงเทพมหานคร โดยจำเลยที่ 1 ได้รับบำเหน็จจากการดำเนินการดังกล่าว พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 เห็นได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการขนส่งทอดสุดท้ายเพื่อให้สินค้าถึงมือผู้ซื้อ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการขนส่งหลายทอดตามวิธีการขนส่งทางทะเล โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขนส่งทอดสุดท้ายตาม ป.พ.พ. มาตรา 609 และมาตรา 618 ซึ่งเป็นกฎหมายใกล้เคียงกับกฎหมายว่าด้วยการรับขนทางทะเล จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายของสินค้าให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับช่วงสิทธิมาจากผู้รับตราส่ง
เมื่อการขนส่งสินค้าเป็นการขนส่งหลายทอดตามวิธีการขนส่งทางทะเล โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขนส่งทอดสุดท้าย ผู้รับขนส่งต้องรับผิดร่วมกันในการที่สินค้านั้นสูญหายหรือบุบสลาย แม้ความเสียหายจะเกิดขึ้นก่อนที่จำเลยที่ 1จะรับขนเป็นทอดสุดท้ายก็ตาม
ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยให้โจทก์รับช่วงสิทธิและมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีแล้ว แต่ไม่ได้กล่าวไว้ในตอนท้ายของคำพิพากษา ส่วนศาลอุทธรณ์ก็เพียงแต่วงเล็บข้อความไว้เมื่อกล่าวถึงคำพิพากษาของศาลชั้นต้นศาลฎีกาสมควรกำหนดให้จำเลยทั้งสามชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ไว้ในคำพิพากษาให้ครบถ้วนด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4805/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้ขนส่งทอดสุดท้ายในกรณีสินค้าเสียหายจากการขนส่งทางทะเล
จำเลยที่1เป็นผู้แจ้งการนำเรือเข้าต่อกรมศุลกากรและหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องและจ้างเรือฉลอมไปขนถ่ายสินค้าจากเรือใหญ่มาส่งที่โกดังของบริษัทผู้ซื้อสินค้าที่กรุงเทพมหานครโดยจำเลยที่1ได้รับบำเหน็จจากการดำเนินการดังกล่าวพฤติการณ์ของจำเลยที่1เห็นได้ว่าจำเลยที่1เป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการขนส่งทอดสุดท้ายเพื่อให้สินค้าถึงมือผู้ซื้อซึ่งถือได้ว่าเป็นการขนส่งหลายทอดตามวิธีการขนส่งทางทะเลโดยจำเลยที่1เป็นผู้ขนส่งทอดสุดท้ายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา609และมาตรา618ซึ่งเป็นกฎหมายใกล้เคียงกับกฎหมายว่าด้วยการรับขนทางทะเลจำเลยที่1จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายของสินค้าให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับช่วงสิทธิมาจากผู้รับตราส่ง เมื่อการขนส่งสินค้าเป็นการขนส่งหลายทอดตามวิธีการขนส่งทางทะเลโดยจำเลยที่1เป็นผู้ขนส่งทอดสุดท้ายผู้รับขนส่งต้องรับผิดร่วมกันในการที่สินค้านั้นสูญหายหรือบุบสลายแม้ความเสียหายจะเกิดขึ้นก่อนที่จำเลยที่1จะรับขนเป็นทอดสุดท้ายก็ตาม ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยให้โจทก์รับช่วงสิทธิและมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5ต่อปีแล้วแต่ไม่ได้กล่าวไว้ในตอนท้ายของคำพิพากษาส่วนศาลอุทธรณ์ก็เพียงแต่วงเล็บข้อความไว้เมื่อกล่าวถึงคำพิพากษาของศาลชั้นต้นศาลฎีกาสมควรกำหนดให้จำเลยทั้งสามชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5ต่อปีไว้ในคำพิพากษาให้ครบถ้วนด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4795/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้ทรงเช็คโดยชอบ แม้รายละเอียดมูลหนี้ต่างจากฟ้อง หากฟ้องมุ่งรับผิดตามเช็ค
โจทก์ได้รับเช็คพิพาทมาโดยมีมูลหนี้ที่ป. จะต้องชำระให้แก่โจทก์จริงโจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบจำเลยในฐานะทายาทป. ผู้สั่งจ่ายเช็คจึงต้องรับผิดชดใช้ให้โจทก์แม้ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบว่าป. สั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายดังกล่าวจะแตกต่างไปจากคำฟ้องที่ระบุว่าสั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ค่าเช่าที่ดินไปบ้างก็เป็นเพียงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรายละเอียดของมูลหนี้ที่นำมาสู่การสั่งจ่ายเช็คพิพาทเท่านั้นแต่ก็เป็นเหตุที่ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ทรงโดยชอบเช่นเดียวกันทั้งโจทก์ก็ฟ้องโดยมุ่งประสงค์ให้จำเลยรับผิดตามเช็คที่ป.เป็นผู้สั่งจ่ายเป็นสำคัญมิได้มุ่งให้รับผิดในมูลหนี้ซื้อขายที่ดินโดยตรงจึงไม่ถึงกับทำให้คดีของโจทก์เสียไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4767/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจดทะเบียนบริษัทที่มีชื่อคล้ายคลึงกัน การละเมิดสิทธิในนาม และความรับผิดของผู้ก่อการ
ป.พ.พ. มาตรา 1115 วรรคหนึ่ง ไม่ได้บัญญัติบังคับให้ผู้มีส่วนได้เสียต้องฟ้องเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนหรือร้องขอให้ศาลสั่งบังคับให้เปลี่ยนชื่อในทันทีที่มีการจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิของชื่อบริษัทที่พ้องหรือคล้ายคลึงกับชื่อบริษัทอื่นซึ่งได้จดทะเบียนแล้วหรือตั้งไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิฉบับอื่นอันได้จดทะเบียนไว้แล้ว แม้โจทก์ที่ 2 จะมิได้ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทันทีหลังจากที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิและประกาศในหนังสือราชกิจจานุเบกษาแล้วก็ตาม ก็หาทำให้โจทก์ที่ 2 เสียสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปไม่ การที่โจทก์ที่ 2 ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
โจทก์ที่ 2 จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดเมื่อพ.ศ.2520 โดยใช้ชื่อว่าบริษัทโอเรียนเต็ล แล็ปปิดารี่ จำกัด และมีชื่อภาษีอังกฤษว่า ORIENTAL CAPIDARY COMPANY LIMITED ส่วนจำเลยที่ 1จดทะเบียนนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เมื่อ พ.ศ.2530 โดยใช้ชื่อว่าบริษัทโอเรียนเต็ลเจมส์แลปิดารี่ จำกัด มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า ORIENTAL GEMESLAPIDARY COMPANY LIMITED แม้ชื่อของโจทก์ที่ 2 มีสองคำ ส่วนชื่อของจำเลยที่ 1 มีสามคำก็ตาม แต่ชื่อคำแรกของโจทก์ที่ 2 และจำเลยที่ 1 เป็นคำคำเดียวกันคือ คำว่า "โอเรียนเต็ล" และ "ORIENTAL" ส่วนคำท้ายของชื่อโจทก์ที่ 2 กับคำท้ายของชื่อจำเลยที่ 1 นั้น แม้ในภาษาไทยจะสะกดต่างกันของโจทก์ที่ 2 สะกดว่า " แล็ปปิดารี่" ส่วนของจำเลยที่ 1 สะกดคำว่า"แลปิดารี่" ก็ตาม แต่คำทั้งสองก็เขียนและอ่านออกเสียงคล้ายคลึงกันมากทั้งในภาษาอังกฤษก็สะกดด้วยคำเดียวกันคือ "LAPIDARY" ชื่อของโจทก์ที่ 2และจำเลยที่ 1 คงมีชื่อแตกต่างกันเพียงว่าชื่อของจำเลยที่ 1 มีคำว่า "เจมส์"อยู่ตรงกลาง โดยชื่อของโจทก์ที่ 2 ไม่มีคำดังกล่าวเท่านั้น บุคคลทั่วไปเมื่อเห็นชื่อของโจทก์ที่ 2 และชื่อของจำเลยที่ 1 ทั้งที่เป็นภาษาไทยและภาษาต่างประเทศย่อมเห็นได้ว่าชื่อดังกล่าวคล้ายกัน โจทก์ที่ 2 และจำเลยที่ 1 ต่างเป็นนิติบุคคลประเภทเดียวกัน มีวัตถุประสงค์ในการประกอบการค้าเช่นเดียวกัน ทั้งต่างก็มีสถานประกอบการในกรุงเทพมหานครด้วยกัน โดยจำเลยที่ 1 จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประกอบการค้าหลังจากโจทก์ที่ 2 เป็นเวลาถึง 10 ปี การกระทำของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ผู้เริ่มก่อการจึงเป็นการเลียนแบบชื่อของโจทก์ที่ 2ให้คล้ายคลึงกันจนน่าจะลวงให้มหาชนหลงไปได้ เป็นการละเมิดต่อสิทธิในนามของโจทก์ที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 2 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 18 ประกอบด้วยมาตรา 420 และจำเลยที่ 2 ผู้เริ่มก่อการของจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 2 ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1115 วรรคหนึ่ง
แม้โจทก์ที่ 2 นำสืบไม่ได้แน่ชัดว่าความเสียหายของโจทก์ที่ 2จากการที่จำเลยที่ 1 ใช้ชื่อคล้ายกับชื่อของโจทก์ที่ 2 เป็นจำนวนแน่นอนเพียงใดศาลก็มีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 2 ได้ตามที่เห็นสมควร
ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1115 วรรคหนึ่ง ค่าสินไหมทดแทนที่ผู้เริ่มกิจการบริษัทจะต้องรับผิดต่อบุคคลผู้มีส่วนได้เสีย หมายความเฉพาะค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่บริษัทแรกที่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้ว หรือได้จดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิก่อนแล้ว อันเนื่องมาจากการที่มีการตั้งชื่อบริษัทแล้วในหนังสือบริคณห์สนธิฉบับหลังพ้องหรือคล้ายคลึงกับชื่อของบริษัทแรกนั้นจนน่าจะลวงให้มหาชนหลงไปได้ในช่วงระยะเวลาระหว่างที่มีการจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัทแล้วดังกล่าวจนถึงเวลาที่ได้จดทะเบียนให้บริษัทหลังนั้นเป็นนิติบุคคลเท่านั้นส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อไปจากการใช้ชื่อพ้องหรือคล้ายคลึงกับชื่อของบริษัทแรกภายหลังจากที่บริษัทหลังได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้วนั้น เมื่อบริษัทหลังมีฐานะเป็นนิติบุคคลแล้ว บริษัทนั้นก็ย่อมเป็นผู้ที่จะต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนในการละเมิดต่อสิทธิในนามของบริษัทแรกตามป.พ.พ.มาตรา 18 ประกอบด้วยมาตรา 420 ต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4755/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้ร่วมขนส่งทางทะเล: การกระทำของตัวแทนและผู้รับขนต่างประเทศ
ผู้ขายสินค้าในต่างประเทศได้ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ผู้รับขนในต่างประเทศให้ขนส่งสินค้ามายังกรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1 เป็นผู้แจ้งกำหนดวันที่เรือจะเข้าให้ผู้รับตราส่งทราบ ติดต่อกรมศุลกากร กองตรวจคนเข้าเมือง กรมเจ้าท่าการท่าเรือแห่งประเทศไทย ค้ำประกันความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่หน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ว่าจ้างบริษัทอื่นให้ขนถ่ายสินค้าจากเรือบรรทุกสินค้าลงเรือฉลอมเพื่อนำไปเก็บไว้ที่คลังสินค้า และออกใบสั่งปล่อยสินค้าให้แก่ผู้รับใบตราส่งเพื่อนำไปรับสินค้าการที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับขนในต่างประเทศ ไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยจึงย่อมไม่สามารถจะดำเนินการติดต่อและค้ำประกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่หน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ว่าจ้างบริษัทอื่นให้ขนถ่ายสินค้าจากเรือใหญ่ลงเรือเล็ก และออกใบสั่งปล่อยสินค้าให้แก่ผู้รับตราส่งเพื่อนำไปรับสินค้าได้ การกระทำดังกล่าวเป็นขั้นตอนสำคัญในการรับขนทางทะเล จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ร่วมขนส่งกับจำเลยที่ 2 อันเป็นการขนส่งโดยมีผู้ขนส่งหลายคนหลายทอดตาม ป.พ.พ. มาตรา 618 แล้วหาใช่เป็นเพียงตัวแทนของจำเลยที่ 2 ไม่ จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4746/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดเสพเฮโรอีน: การร่วมวงเสพไม่ถือเป็นความผิดร่วม
ความผิดฐานเสพเฮโรอีน กฎหมายประสงค์ลงโทษผู้เสพรับเข้าร่างกายเท่านั้น ลักษณะแห่งความผิดไม่เปิดช่องให้ผู้อื่นมาร่วมกระทำความผิดด้วยกันได้ ดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงจะฟังว่าจำเลยมานั่งร่วมวงอยู่กับคนที่เสพเฮโรอีนก็ไม่อาจจะถือได้ว่าจำเลยร่วมเสพเฮโรอีนด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4709-4710/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์: เพลิงไหม้หลังชนเกิดจากความประมาทผู้ขับขี่, การประเมินค่าเสียหาย
รถยนต์ของโจทก์ที่2เกิดเพลิงไหม้หลังจากถูกนำมาเก็บรักษาไว้ที่สถานีตำรวจเพียงระยะเวลาไม่ถึง1ชั่วโมงหลังเกิดเหตุรถยนต์ชนกันก็ตามแต่นับจากขณะเกิดเหตุจนถึงรถยนต์คันเกิดเหตุเกิดเพลิงไหม้ก็ยังไม่เกิน1ชั่วโมงซึ่งเป็นระยะเวลาสั้นๆสำหรับการลากจูงรถยนต์ของโจทก์ที่2มาเก็บไว้ที่สถานีตำรวจก็ไม่ปรากฏว่าเป็นการลากจูงที่ผิดต่อระเบียบเจ้าพนักงานประการใดทั้งก่อนเกิดเหตุเพลิงไหม้ไม่มีการเปิดฝากระโปรงหน้ารถยนต์ของโจทก์ที่2แสดงให้เห็นว่าก่อนเกิดเหตุเพลิงไหม้ไม่มีผู้ใดแตะต้องเครื่องยนต์ของรถยนต์ของโจทก์ที่2ทั้งตลอดเวลาที่ทำการลากจูงซึ่งรถต้องเคลื่อนไหวดังนั้นไม่ว่าจะมีการถอดขั้วแบตเตอรี่รถยนต์ของโจทก์ที่2ก่อนลากจูงหรือไม่ก็ตามการลากจูงรถยนต์เช่นนั้นจึงมิใช่สาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่ตัวรถตามพฤติการณ์ดังกล่าวย่อมฟังได้ว่าเหตุเพลิงไหม้มิได้เกิดจากการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติของเจ้าพนักงานตำรวจแต่เกิดจากระบบของเครื่องยนต์และสายไฟฟ้าในรถได้รับอุบัติเหตุจากรถชนกันอย่างรุนแรงเหตุเพลิงไหม้รถยนต์ของโจทก์ที่2จึงเป็นผลโดยตรงจากความประมาทของลูกจ้างจำเลยที่1ที่ขับรถยนต์โดยสารชนรถยนต์ของโจทก์ที่2

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4699/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของนายจ้างต่อความเสียหายจากความประมาทเลินเล่อของตนเอง และความรับผิดต่อการทุจริตของลูกจ้าง
จำเลยเป็นลูกจ้างโจทก์ดำรงตำแหน่งผู้จัดการสาขาน่าน จำเลยจึงมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการบริหารงานของสาขาโจทก์ที่จำเลยเป็นผู้จัดการทั้งหมด ทั้งเป็นผู้บังคับบัญชาพนักงานของโจทก์ที่ทำงานอยู่ในสาขาเดียวกันกับจำเลยจำเลยจะต้องควบคุมดูแลให้พนักงานปฏิบัติงานตามระเบียบข้อบังคับของโจทก์โดยเคร่งครัดรวมทั้งตัวจำเลยด้วย ทั้งนี้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของโจทก์ตามสัญญาจ้างแรงงาน จำเลยเป็นผู้เก็บรักษากุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงและตู้นิรภัยชุดหนึ่งซึ่งจำเลยสามารถจะเข้าไปเปิดห้องมั่นคง และตู้นิรภัยได้ตลอดเวลาโดยลำพังผู้เดียวส่วนกุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงและตู้นิรภัยอีกชุดหนึ่งมีการแยกเก็บรักษา โดย ร.เป็นผู้เก็บรักษากุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคง ส่วน พ.ผู้เก็บรักษากุญแจและรหัสตู้นิรภัยลำพังเพียง ร.หรือ พ.คนใดคนหนึ่งไม่สามารถจะเปิดตู้นิรภัยได้ ก่อนวันเกิดเหตุและระหว่างวันเกิดเหตุ พ.กลับจากลาพักผ่อนประจำปีเข้ามาทำงานตามปกติ และได้รับมอบกุญแจและรหัสตู้นิรภัยมาเก็บรักษาแล้ว ดังนั้น ระหว่างวันเกิดเหตุผู้เก็บรักษากุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงคือ ร.และผู้เก็บรักษากุญแจและรหัสตู้นิรภัยคือ พ.เมื่อเป็นเช่นนี้ในขณะเกิดเหตุ ร.หรือ พ.จึงไม่อาจจะเข้าไปเปิดตู้นิรภัยตามลำพังเพียงคนเดียวได้ แต่จำเลยเพียงผู้เดียวสามารถที่จะเข้าไปเปิดได้ เมื่อพิจารณาพฤติการณ์แห่งคดีที่ส่วนหนึ่งของเงินที่หายไปอยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานของ พ.ซึ่งศาลแรงงานกลางฟังว่าเงินของโจทก์หายไปเกิดจากการกระทำของผู้เก็บรักษากุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงกับตู้นิรภัยแล้ว สำหรับ ร.และ พ.นั้นต่างคนต่างเก็บรักษากุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงและตู้นิรภัยอันเป็นการแยกเก็บรักษาตามหน้าที่ของตนตามปกติ จึงถือมิได้ว่าปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อทำให้เงินของโจทก์หายส่วนกรณีเงินที่หายไปจากตู้นิรภัยส่วนหนึ่ง กับเงินที่มิได้เก็บไว้ในตู้นิรภัย แต่ไปอยู่ที่ลิ้นชักโต๊ะทำงานของ พ.นั้นก็ไม่ทำให้เห็นว่า พ.ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือประมาทเลินเล่อ เพราะเงินที่หายไปเป็นเงินที่ได้นำไปเก็บไว้ในตู้นิรภัยเรียบร้อยแล้วหาก พ.ทำการทุจริตก็คงจะไม่นำเงินที่ตนเอาไปเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะในที่ทำงานเช่นนี้ สำหรับจำเลยนั้นมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการบริหารงานสาขาโจทก์ที่จังหวัดน่านให้ดำเนินไปด้วยดี โดยจำเลยจะต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับที่โจทก์วางไว้อย่างเคร่งครัด การที่จำเลยปฏิบัติหน้าที่ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง โดยไม่เปลี่ยนรหัสประตูห้องมั่นคงและรหัสตู้นิรภัยเมื่อมีการสับเปลี่ยนพนักงานระดับบริหารที่เก็บรักษากุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงกับตู้นิรภัย และจำเลยเองก็เป็นผู้เก็บรักษาทั้งกุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงกับตู้นิรภัย ซึ่งจำเลยสามารถเข้าไปเปิดตู้นิรภัยตามลำพังได้ตลอดเวลา เมื่อเงินของโจทก์ที่เก็บไว้ในตู้นิรภัยหายไปก็ไม่สามารถที่จะสอบหาตัวผู้ทุจริตได้เช่นนี้ ถือได้ว่าความเสียหายเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลย จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้เงินที่หายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4699/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของนายจ้างต่อความเสียหายจากเงินหายในตู้นิรภัย อันเกิดจากความประมาทเลินเล่อในการรักษาความปลอดภัย
จำเลยเป็นลูกจ้างโจทก์ดำรงตำแหน่งผู้จัดการสาขาน่านจำเลยจึงมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการบริหารงานของสาขาโจทก์ที่จำเลยเป็นผู้จัดการทั้งหมดทั้งเป็นผู้บังคับบัญชาพนักงานของโจทก์ที่ทำงานอยู่ในสาขาเดียวกันกับจำเลยจำเลยจะต้องควบคุมดูแลให้พนักงานปฏิบัติงานตามระเบียบข้อบังคับของโจทก์โดยเคร่งครัดรวมทั้งตัวจำเลยด้วยทั้งนี้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของโจทก์ตามสัญญาจ้างแรงงานจำเลยเป็นผู้เก็บรักษากุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงและตู้นิรภัยชุดหนึ่งซึ่งจำเลยสามารถจะเจ้าไปเปิดห้องมั่นคงและตู้นิรภัยได้ตลอดเวลาโดยลำพังผู้เดียวส่วนกุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงและตู้นิรภัยอีกชุดหนึ่งมีการแยกเก็บรักษาโดยร.เป็นผู้เก็บรักษากุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงส่วนพ. ผู้เก็บรักษากุญแจและรหัสตู้นิรภัยลำพังเพียงร. หรือพ. คนใดคนหนึ่งไม่สามารถจะเปิดตู้นิรภัยได้ก่อนวันเกิดเหตุและระหว่างวันเกิดเหตุพ. กลับจากลาพักผ่อนประจำปีเข้ามาทำงานตามปกติและได้รับมอบกุญแจและรหัสตู้นิรภัยมาเก็บรักษาแล้วดังนั้นระหว่างวันเกิดเหตุผู้เก็บรักษากุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงหรือรและผู้เก็บรักษากุญแจและรหสตู้นิรภัยคือพ. เมื่อเป็นเช่นนี้ในขณะเกิดเหตุร. หรือพ. จึงไม่อาจจะเข้าไปเปิดตู้นิรภัยตามลำพังเพียงคนเดียวได้แต่จำเลยเพียงผู้เดียวสามารถที่จะเข้าไปเปิดได้เมื่อพิจารณาพฤติการณ์แห่งคดีที่ส่วนหนึ่งของเงินที่หายไปอยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานของพ. ซึ่งศาลแรงงานกลางฟังว่าเงินของโจทก์หายไปเกิดจากการกระทำของผู้เก็บรักษากุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงกับตู้นิรภัยแล้วสำหรับร. และพ. นั้นต่างคนต่างเก็บรักษากุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงและตู้นิรภัยอันเป็นการแยกเก็บรักษาตามหน้าที่ของตนตามปกติจึงถือมิได้ว่าปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อทำให้เงินของโจทก์หายส่วนกรณีเงินที่หายไปจากตู้นิรภัยส่วนหนึ่งกับเงินที่มิได้เก็บไว้ในตู้นิรภัยแต่ไปอยู่ที่ลิ้นชักโต๊ะทำงานของพ. นั้นก็ไม่ทำให้เห็นว่าพ. ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือประมาทเลินเล่อเพราะเงินที่หายไปเป็นเงินที่ได้นำไปเก็บไว้ในตู้นิรภัยเรียบร้อยแล้วหากพ. ทำการทุจริตก็คงจะไม่นำเงินที่ตนเอาไปเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะในที่ทำงานเช่นนี้สำหรับจำเลยนั้นมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการบริหารงานสาขาโจทก์ที่จังหวัดน่านให้ดำเนินไปด้วยดีโดยจำเลยจะต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับที่โจทก์วางไว้อย่างเคร่งครัดการที่จำเลยปฏิบัติหน้าที่ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงโดยไม่เปลี่ยนรหัสประตูห้องมั่นคงและรหัสตู้นิรภัยเมื่อมีการสับเปลี่ยนพนักงานระดับบริหารที่เก็บรักษากุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงกับตู้นิรภัยและจำเลยเองก็เป็นผู้เก็บรักษาทั้งกุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงกับตู้นิรภัยซึ่งจำเลยสามารถเข้าไปเปิดตู้นิรภัยตามลำพังได้ตลอดเวลาเมื่อเงินของโจทก์ที่เก็บไว้ในตู้นิรภัยหายไปก็ไม่สามารถที่จะสอบหาตัวผู้ทุจริตได้เช่นนี้ถือได้ว่าความเสียหายเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลยจำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้เงินที่หายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4599/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย: ผู้ขับขี่ไม่มีใบอนุญาต
การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมายล.3ว่าจำเลยที่3ผู้รับประกันภัยไม่อาจนำข้อยกเว้นในเรื่องความไม่สมบูรณ์ของผู้ขับรถยนต์คันที่จำเลยที่3รับประกันภัยมาเป็นเงื่อนไขเพื่อปัดความรับผิดได้จำเลยที่3จึงต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัยจึงเป็นการวินิจฉัยแปลความหมายเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัยหมายล.3อันเป็นการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ของโจทก์และมิใช่การวินิจฉัยรับฟังข้อเท็จจริงใหม่ตามที่จำเลยที่3ฎีกา ตามกรมธรรม์ประกันภัยมีข้อยกเว้นความรับผิดของผู้รับประกันภัยตามข้อ2.13.6ว่าการประกันภัยตามข้อ2.3ไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจากการขับขี่โดยบุคคลที่ไม่เคยได้รับอนุญาตขับรถยนต์ใดๆหรือเคยได้รับแต่ขาดต่ออายุเกินกว่า180วันหรือเคยได้รับแต่ถูกตัดสิทธิตามกฎหมายในการขับรถยนต์ในเวลาเกิดอุบัติเหตุดังนี้ความรับผิดของจำเลยที่3จึงต้องเป็นไปตามกรมธรรม์ประกันภัยและข้อยกเว้นความรับผิดต่อบุคคลภายนอกตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวมีผลใช้บังคับได้เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่1ผู้ขับรถยนต์คันที่จำเลยที่3รับประกันภัยเป็นผู้ไม่ได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์ใดๆกรณีจึงเข้าข้อยกเว้นที่จำเลยที่3ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในเหตุคดีนี้
of 498