พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,834 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 223-224/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
วิวาททำร้ายร่างกาย: ผู้ถูกทำร้ายไม่มีอำนาจฟ้อง, การบรรยายฟ้องรวมความผิด, พยานหลักฐานไม่พอฟัง
โจทก์จำเลยต่างสมัครใจเข้าวิวาททำร้ายกันและกัน โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย ไม่มีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยได้
แม้พยานหลักฐานของอัยการโจทก์ จะไม่พอฟังว่าจำเลยได้ร่วมกันชิงทรัพย์ของผู้เสียหาย แต่ความผิดฐานชิงทรัพย์นี้ อัยการโจทก์บรรยายฟ้องรวมความผิดฐานทำร้ายร่างกายอยู่ด้วย และคดีฟังได้ว่าจำเลยได้ทำร้ายผู้เสียหายบาดเจ็บ ศาลจึงลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้
แม้พยานหลักฐานของอัยการโจทก์ จะไม่พอฟังว่าจำเลยได้ร่วมกันชิงทรัพย์ของผู้เสียหาย แต่ความผิดฐานชิงทรัพย์นี้ อัยการโจทก์บรรยายฟ้องรวมความผิดฐานทำร้ายร่างกายอยู่ด้วย และคดีฟังได้ว่าจำเลยได้ทำร้ายผู้เสียหายบาดเจ็บ ศาลจึงลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 220/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายโดยบันดาลโทสะและเหตุป้องกันตัว ศาลพิจารณาเจตนาและเหตุแห่งการกระทำ
ผู้ตายด่าและตบตีจำเลยก่อน จำเลยจึงใช้มีดทำครัวซึ่งยาวทั้งตัวและด้าม 1 คืบแทงผู้ตายไป 1 ทีแล้ววิ่งหนี ดังนี้ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า เพราะข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่พอฟังว่าจำเลยได้เล็งเห็นผลของการกระทำของจำเลยว่าผู้ถูกแทงจะถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีผิดเพียงฐานฆ่าคนโดยไม่เจตนา และพฤติการณ์เช่นนี้ถือว่าจำเลยทำร้ายผู้ตายเพราะถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม
จำเลยต่อสู้ในคำให้การว่า ทำโดยป้องกัน แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ศาลก็ยกข้อบันดาลโทสะขึ้นอ้างเองได้
จำเลยต่อสู้ในคำให้การว่า ทำโดยป้องกัน แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ศาลก็ยกข้อบันดาลโทสะขึ้นอ้างเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 220/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายโดยบันดาลโทสะและเจตนา: ลดโทษฐานถูกข่มเหง
ผู้ตายด่าและตบตีจำเลยก่อน จำเลยจึงใช้มีดทำครัวซึ่งยาวทั้งตัวและด้าม 1 คืบแทงผู้ตายไป 1 ทีแล้ววิ่งหนี ดังนี้ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าเพราะข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่พอฟังว่า จำเลยได้เล็งเห็นผลของการกระทำของจำเลยว่าผู้ถูกแทงจะถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีผิดเพียงฐานฆ่าคนโดยเจตนา และพฤติการณ์เช่นนี้ถือว่าจำเลยทำร้ายผู้ตายเพราะถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม
จำเลยต่อสู้ในคำให้การว่า ทำโดยป้องกัน แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ศาลก็ยกข้อบันดาลโทสะขึ้นอ้างเองได้
จำเลยต่อสู้ในคำให้การว่า ทำโดยป้องกัน แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ศาลก็ยกข้อบันดาลโทสะขึ้นอ้างเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1788/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าและการกระทำโดยบันดาลโทสะ: กรณีแทงผู้ตายหลังทำร้ายบุตรสาว
ผู้ตายเป็นพี่ชายจำเลยและอยู่บ้านเดียวกับจำเลย จำเลยเมาสุราและต่อยเตะบุตรสาวจำเลย ผู้ตายเข้าห้ามโดยกระชากตัวจำเลยออกมาจำเลยจะกระทืบบุตรสาวอีก ผู้ตายเอาขาขัดจำเลยล้มลง จำเลยจึงใช้มีดเฉพาะตัวมีดยาว 1 คืบแทงผู้ตายถูกที่ชายโครงซ้าย ต่อมาไม่นานผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะเลือดตกภายในจากการฉีกขาดของม้ามกระเพาะอาหารและเส้นเลือดใหญ่ในช่องท้อง พฤติการณ์ดังนี้ แสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย และการกระทำของจำเลยไม่ เป็นการกระทำขณะบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1777/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย: เจตนา, การป้องกันตัว, และความรับผิดทางอาญา
จำเลยกับผู้ตายเกิดโต้เถียงกันก่อนแล้ว จำเลยชกผู้ตาย 1 ทีผละหนีไปผู้ตายหยิบไม้ไล่ตีจำเลย เกิดต่อสู้กันเป็นชุลมุนในที่สุดจำเลยใช้มีดแทงผู้ตายไป 1 ที ผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้เป็นเรื่องที่จำเลยกับผู้ตายสมัครใจวิวาทต่อสู้กัน จำเลยจะอ้างว่าเป็นการป้องกันตนโดยชอบหาได้ไม่
ใช้มีดแทงผู้ตาย 1 ที ในขณะที่จำเลยและผู้ตายต่อสู้กันชุลมุนจำเลยไม่มีโอกาสที่จะเลือกแทงได้ เพราะผู้ตายกำลังตีจำเลยอยู่จำเลยแทงผู้ตายเพียงทีเดียวบังเอิญถูกที่สำคัญ จึงเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยคงมีความผิดเพียงฐานทำร้ายผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยไม่มีเจตนา
ฟ้องขอให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตายก็ลงโทษตามฐานความผิดเท่าที่พิจารณาได้ความได้
ใช้มีดแทงผู้ตาย 1 ที ในขณะที่จำเลยและผู้ตายต่อสู้กันชุลมุนจำเลยไม่มีโอกาสที่จะเลือกแทงได้ เพราะผู้ตายกำลังตีจำเลยอยู่จำเลยแทงผู้ตายเพียงทีเดียวบังเอิญถูกที่สำคัญ จึงเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยคงมีความผิดเพียงฐานทำร้ายผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยไม่มีเจตนา
ฟ้องขอให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตายก็ลงโทษตามฐานความผิดเท่าที่พิจารณาได้ความได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1690/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวและการใช้สิทธิป้องกันตัวเมื่อถูกทำร้ายด้วยอาวุธ การกระทำพอสมควรแก่เหตุ
เมื่อผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุวิ่งไปเอาขวานมาฟันจำเลยถึงบ้านจำเลย2 ที ถูกพื้นกระดาน 1 ที ถูกศีรษะจำเลย 1 ที จำเลยย่อมมีสิทธิจะป้องกันชีวิตของตนได้ และจำเลยมิได้กระโดดลงมาจากบ้านเข้าต่อสู้กับผู้ตายที่พื้นดินหน้าบ้าน จึงไม่มีเหตุที่จะถือว่าจำเลยสมัครใจวิวาทกับผู้ตาย การที่จำเลยแทงภายหลังที่ผู้ตายใช้ขวานฟันถึง 2 ครั้งในเวลามืดค่ำ มีแต่แสงตะเกียงในบ้านจำเลย และต่างคนมึนเมาสุราด้วยกัน โดยไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน พฤติการณ์เหล่านี้ถือได้ว่าจำเลยกระทำพอสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1536/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมาย: การตอบโต้การทำร้ายร่างกายเพื่อความปลอดภัย
จำเลยและผู้ตายต่างไปเที่ยวในงานวัด แล้วเกิดเรื่องท้าทายจนเกือบจะชกต่อยกันแต่มีคนห้ามจึงเลิกรากันไปตอนหนึ่ง ต่อมาผู้ตายกับพวกเดินเที่ยวเตร่พบจำเลยที่หน้าโรงครัวในงานนั้นผู้ตายเข้าชกจำเลยก่อนถูกที่หน้าอก 1 ที จำเลยเดินหนีเข้าโรงครัวหยิบมีดที่ใช้หั่นผักผู้ตายตามเข้าไปจำเลยร้องห้าม อย่าเข้าไป แล้วเดินไปทางตะวันออก ผู้ตายตามไปเงื้อมีดจะแทง จำเลยจึงแทงผู้ตายไป 1 ที โดยถือมีดเหวี่ยงไปข้างหลังถูกผู้ตายเซและล้มลง ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1444/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าต้องพิสูจน์จากพฤติการณ์ บาดแผลและอาวุธที่ใช้ หากไม่ถึงอันตรายสาหัส ฟังได้เพียงทำร้ายร่างกาย
จำเลยทั้งสองเข้าไปที่ลานนวดข้าวของผู้เสียหาย พอผู้เสียหายกำลังเอาข้าวเปลือกให้เป็ดกิน จำเลยทั้งสองก็กระโจนเข้าไปใช้เหล็กแหลมแทงผู้เสียหายถูกที่บริเวณศีรษะ ที่สะบัก ที่หลัง และที่แขน มีบาดแผล 14 แผล แผลมีลักษณะเป็นสามแฉกเป็นส่วนมาก แพทย์ลงความเห็นว่ารักษาประมาณ 14 วัน จึงเป็นบาดแผลเพียงบาดเจ็บ ไม่ถึงกับเป็นอันตรายสาหัส และไม่ถูกอวัยวะสำคัญอาวุธที่ใช้ทำร้ายเป็นเพียงเหล็กแหลม ไม่ปรากฏชัดว่าเป็นชนิด ขนาด ประเภทใด ดังนี้ ยังฟังไม่ได้จำเลยทำร้ายผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า จึงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1444/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าในคดีทำร้ายร่างกาย: การพิจารณาจากบาดแผลและอาวุธ
จำเลยทั้งสองเข้าไปที่ลานนวดข้าวของผู้เสียหาย พอผู้เสียหายกำลังกันเอาข้าวเปลือกให้เป็ดกิน จำเลยทั้งสองก็กระโจนเข้าไปใช้เหล็กแหลมแทงผู้เสียหายถูกที่บริเวณศีรษะ ที่สะบัก ที่หลังและที่แขนมีบาดแผล 14 แผล แผลมีลักษณะเป็นสามแฉกเป็นส่วนมากแพทย์ลงความเห็นว่ารักษาประมาณ 14 วัน จึงเป็นบาดแผลเพียงบาดเจ็บไม่ถึงกับเป็นอันตรายสาหัส และไม่ถูกอวัยวะสำคัญอาวุธที่ใช้ทำร้ายเป็นเพียงเหล็กแหลม ไม่ปรากฏชัดว่าเป็นชนิด ขนาด ประเภทใด ดังนี้ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทำร้ายผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า จึงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1316/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ เมื่อถูกทำร้ายด้วยอาวุธอันตรายและมีขนาดตัวใหญ่กว่า
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน ผู้ตายซึ่งมีรูปร่างใหญ่โตกว่าจำเลย ถือก้อนหินขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว 2 นิ้วฟุตเศษ หนาราว 1 นิ้วฟุต วิ่งไล่ทำร้ายจำเลย ทำให้ริบฝีปากบนของจำเลยแตกทั้งด้านนอกและด้านใน โลหิตไหล ฟันบนหัก 2 ซี่ จนหินกระเด็นหลุดจากมือผู้ตาย แล้วผู้ตายยังได้ชกจำเลยอีกหลายทีติด ๆ กัน จำเลยจึงชักเหล็กขูดชาร์ฟจากเอวแทงผู้ตายไปหลายที ถือได้ว่าจำเลยไม่มีโอกาสที่จะเลือกแทงผู้ตายให้ถูกที่สำคัญได้ นอกจากกระทำไปเพื่อหยุดยั้งการกระทำของผู้ตายเท่านั้น ฉะนั้นการกระทำของจำเลยตามพฤติการณ์ดังกล่าวย่อมถือได้ว่าเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ