พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,244 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2168/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลชั้นต้น-อุทธรณ์-ฎีกาในเรื่องทุเลาการบังคับคดี การขอเพิกถอนคำสั่งทุเลาการบังคับต้องยื่นต่อศาลอุทธรณ์
การทุเลาการบังคับคดีและการเพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดี กฎหมายกำหนดวิธีการให้อยู่ในอำนาจของศาลเป็นชั้น ๆ ไปถ้าเป็นการขอให้เพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดีในระหว่างอุทธรณ์ก็เป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจของศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งในเรื่องดังกล่าวแล้ว คู่ความจะฎีกาคำสั่งนั้นต่อศาลฎีกาอีกไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์และบังคับตามฟ้องแย้งของจำเลยโจทก์อุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดี ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดีไว้ในระหว่างอุทธรณ์ เช่นนี้การที่จำเลยยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวก่อนศาลอุทธรณ์พิพากษา โดยขอให้ศาลอุทธรณ์ไต่สวนและกำหนดวิธีการห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกต่อไป ก็เท่ากับเป็นการขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่อนุญาตให้โจทก์ทุเลาการบังคับคดีไว้ในระหว่างอุทธรณ์ และบังคับให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น มิใช่เป็นการร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาเพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิ หรือประโยชน์ที่พิพาทกันได้รับความคุ้มครองตาม มาตรา 264 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องแล้ว จำเลยจะฎีกาคำสั่งนั้นอีกไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์และบังคับตามฟ้องแย้งของจำเลยโจทก์อุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดี ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดีไว้ในระหว่างอุทธรณ์ เช่นนี้การที่จำเลยยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวก่อนศาลอุทธรณ์พิพากษา โดยขอให้ศาลอุทธรณ์ไต่สวนและกำหนดวิธีการห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกต่อไป ก็เท่ากับเป็นการขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่อนุญาตให้โจทก์ทุเลาการบังคับคดีไว้ในระหว่างอุทธรณ์ และบังคับให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น มิใช่เป็นการร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาเพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิ หรือประโยชน์ที่พิพาทกันได้รับความคุ้มครองตาม มาตรา 264 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องแล้ว จำเลยจะฎีกาคำสั่งนั้นอีกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2168/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการทุเลาการบังคับและการเพิกถอนคำสั่ง: ศาลอุทธรณ์มีอำนาจตัดสินเด็ดขาด ไม่สามารถฎีกาได้
การทุเลาการบังคับและการเพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับกฎหมายกำหนดวิธีการให้อยู่ในอำนาจของศาลเป็นชั้น ๆ ไป ถ้าเป็นการขอให้เพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์ก็เป็นเรื่องที่ อยู่ในอำนาจของศาลอุทธรณ์เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งในเรื่องดังกล่าวแล้ว คู่ความจะฎีกาคำสั่งนั้นต่อศาลฎีกาอีกไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์และบังคับตาม ฟ้องแย้งขอจำเลย โจทก์อุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ เช่นนี้ การที่จำเลยยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวก่อนศาลอุทธรณ์พิพากษาโดยขอให้ศาลอุทธรณ์ไต่สวนและกำหนดวิธีการห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกต่อไป ก็เท่ากับเป็นการขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่อนุญาตให้โจทก์ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ และบังคับให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น มิใช่เป็นการร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณา เพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิ หรือประโยชน์ที่พิพาทกันได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 264 แห่ง ป.วิ.พ. เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องแล้ว จำเลยจะฎีกาคำสั่งนั้นอีกไม่ได้.
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์และบังคับตาม ฟ้องแย้งขอจำเลย โจทก์อุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ เช่นนี้ การที่จำเลยยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวก่อนศาลอุทธรณ์พิพากษาโดยขอให้ศาลอุทธรณ์ไต่สวนและกำหนดวิธีการห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกต่อไป ก็เท่ากับเป็นการขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่อนุญาตให้โจทก์ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ และบังคับให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น มิใช่เป็นการร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณา เพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิ หรือประโยชน์ที่พิพาทกันได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 264 แห่ง ป.วิ.พ. เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องแล้ว จำเลยจะฎีกาคำสั่งนั้นอีกไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2168/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการทุเลาการบังคับและเพิกถอนคำสั่ง ศาลอุทธรณ์มีอำนาจเด็ดขาด
การทุเลาการบังคับและการเพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับกฎหมายกำหนดวิธีการให้อยู่ในอำนาจของศาลเป็นชั้น ๆ ไปการขอให้เพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์เป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจของศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งในเรื่องดังกล่าวแล้วคู่ความจะฎีกาคำสั่งนั้นต่อศาลฎีกาอีกไม่ได้ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์และบังคับตามฟ้องแย้งของจำเลยโจทก์อุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ เช่นนี้ การที่จำเลยยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวก่อนศาลอุทธรณ์พิพากษาโดยขอให้ศาลอุทธรณ์ไต่สวนและกำหนดวิธีการห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกต่อไป ก็เท่ากับเป็นการขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่อนุญาตให้โจทก์ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์และบังคับให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น มิใช่เป็นการร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาเพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิ หรือประโยชน์ที่พิพาทกันได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 264 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องแล้ว จำเลยจึงฎีกาคำสั่งนั้นอีกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2168/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการทุเลาการบังคับคดีและการเพิกถอนคำสั่ง: คำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุด
การทุเลาการบังคับคดีและการเพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดี กฎหมายกำหนดวิธีการให้อยู่ในอำนาจของศาลเป็นชั้น ๆ ไปถ้า เป็นการขอให้เพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดีในระหว่างอุทธรณ์ก็เป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจของศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งในเรื่องดังกล่าวแล้ว คู่ความจะฎีกาคำสั่งนั้นต่อศาลฎีกาอีกไม่ได้ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์และบังคับตาม ฟ้องแย้งของจำเลยโจทก์อุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดี ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดีไว้ในระหว่างอุทธรณ์ เช่นนี้การที่จำเลยยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวก่อนศาลอุทธรณ์พิพากษา โดย ขอให้ศาลอุทธรณ์ไต่สวนและกำหนดวิธีการห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกต่อไป ก็เท่ากับเป็นการขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่อนุญาตให้โจทก์ทุเลาการบังคับคดีไว้ในระหว่างอุทธรณ์ และบังคับให้โจทก์ปฏิบัติตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น มิใช่เป็นการร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาเพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิ หรือประโยชน์ที่พิพาทกันได้รับความคุ้มครองตาม มาตรา 264 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องแล้ว จำเลยจะฎีกาคำสั่งนั้นอีกไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2144/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่วินิจฉัยประเด็นโทษตามกฎหมายของศาลอุทธรณ์ และอำนาจแก้ไขของศาลฎีกา
โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยต่ำกว่าอัตราโทษตาม ที่กฎหมายกำหนด เป็นปัญหาที่ศาลอุทธรณ์จะต้อง วินิจฉัยให้ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยโดย ไม่ปรากฏเหตุผลจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวโดย ไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่ คำพิพากษาศาลล่างไม่ได้ระบุว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม วรรคใด ศาลสูงแก้ไขให้ถูกต้อง ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2099/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ล้มละลายพ้นกำหนด - ศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว
คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดมีผลเป็นคำพิพากษา คู่ความจะต้องอุทธรณ์ภายในกำหนด 1 เดือน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 หลังจากศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองล้มละลายแล้ว จำเลยที่ 2อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนสัญชาติและเชื้อชาติ พม่า ได้ เดินทางออกไปจากราชอาณาจักรไทยก่อนโจทก์ฟ้องเกินกว่า 1 ปี จำเลยที่ 2ไม่เคยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหาที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องการดำเนิน กระบวนพิจารณาคดีล้มละลายก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ เมื่อพ้นกำหนด 1เดือนนับแต่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และเป็นอุทธรณ์ที่ไม่เกี่ยวกับกระบวนพิจารณาคดีล้มละลายหลังจากศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ถือไม่ได้ว่าเป็นการอุทธรณ์คำพิพากษา จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2จึงชอบแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 20/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากผู้ร้องมิได้วางเงินค่าฤชาธรรมเนียมตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ผู้ร้องยื่นฎีกาโดยมิได้นำเงินค่าฤชาธรรมเนียม ซึ่งจะต้องใช้แทนผู้คัดค้านตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มาวางศาลพร้อมกับฎีกา แม้ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาไว้ก็ถือว่าเป็นฎีกาไม่ชอบด้วยกฎหมายตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229ประกอบมาตรา 247.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 196/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ตามสัญญา การวินิจฉัยศาลอุทธรณ์ไม่นอกฟ้องเมื่อเกี่ยวข้องกับประเด็นข้อพิพาท
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ตามภาพถ่ายสัญญากู้ท้ายฟ้องจำเลยให้การว่าตามวันที่โจทก์ฟ้องจำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์ แต่เคยกู้ยืมเงินโจทก์ในวันอื่น โดยจำเลยลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์สัญญากู้ให้โจทก์ไว้ ต่อมาจำเลยชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้ว สัญญากู้ตามฟ้องจึงไม่มีมูลหนี้ที่จำเลยจะต้องรับผิด ดังนี้ หนี้ตามฟ้องระงับไปด้วยการชำระหนี้หรือไม่จึงเป็นประเด็นข้อโต้เถียงของคู่ความ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยพยานหลักฐานใบเสร็จรับเงินที่จำเลยอ้างส่งซึ่งมีจำนวนเงินเท่ากับหนี้ตามฟ้องและฟังว่าเป็นหลักฐานการชำระหนี้ตามฟ้อง ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1845/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งเด็กไปฝึกอบรมแทนการลงโทษจำคุก: ศาลฎีกาห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหากศาลอุทธรณ์ยืนตามคำพิพากษาเดิม
การส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางเป็นเวลา 2 ปี นั้น ไม่เป็นการลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 18 แต่เป็นวิธีการสำหรับเด็กตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 74(5) ที่เบากว่าการลงโทษจำคุก เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจึงต้องห้ามคู่ความมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยฎีกาว่า มิใช่เด็กเร่ร่อนจรจัด มีบิดามารดาให้ความอบอุ่นและหลักฐานบ้านช่องพร้อมที่จะให้ความรับรองต่อศาลจำเลยยังศึกษาอยู่ในโรงเรียน จำเลยมิได้มีเถยจิตหรือสันดานเป็นอาชญากร ขอใช้วิธีการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 อนุ (1) ถึง (3)นั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ไม่ได้ แต่ถ้าจำเลยหรือบิดามารดาจำเลยเห็นว่า พฤติการณ์เกี่ยวกับคำสั่งนั้นได้เปลี่ยนแปลงไป ก็ย่อมมีสิทธิที่จะไปร้องต่อศาลชั้นต้น เพื่อขอให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขคำสั่งหรือสั่งใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1748/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เครื่องหมายการค้าไม่เหมือนหรือคล้ายกันจนทำให้สาธารณชนสับสน ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง
เครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นรูปธงมีเสา ชายธงสะบัดไปทางขวา มีอักษรโรมัน วี.เอฟ (V.F.) อยู่ในธง ใต้ธงมีอักษรภาษาไทยว่า ตราธงชนะ และมีภาษาอังกฤษอ่านว่า วิกตอรี แฟล็ก แบรนด์ ส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยเป็นรูปธรมีเสา ชายธงสะบัดไปทางขวามีอักษรโรมัน เจ.อาร์. (F.R.) อยู่ในธง ไม่มีอักษรโรมันใต้ธง แม้เครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยจะเป็นรูปธงมีเสา สะบัดชายธงไปทางขวาเหมือนกัน แต่มีความแตกต่างกันอย่างมากอยู่หลายประการ ประการแรกคือการวางรูป โดยรูปธงของโจทก์เป็นรูปธงติดเสาตั้งตรง ส่วนรูปธงของจำเลยติดเสาเอียงไปทางซ้าย ใต้ธงของโจทก์มีอักษรหรือข้อความถึงสองบรรทัด บรรทัดแรกเป็นภาษาไทยว่า "ตราธงชนะ" และบรรทัดที่สองเป็นภาษาโรมันว่า "VICORY PLAG BRAND" ภาพรวมทั้งหมดนี้จะเห็นว่าแตกต่างกันมาก ส่วนรูปและตัวอักษรในชายธงนั้นก็แตกต่างกันมากเช่นเดียวกัน เครื่องหมายการค้าของโจทก์สะบัดพลิ้วแรง และเป็นธงสองสี อักษรโรมันตัว V อยู่มุมซ้ายด้านบนติดกับปลายเสาธงอยู่ในส่วนของสีบน ส่วนอักษรตัว P อยู่มุมขวาด้านล่าง ในส่วนของสีล่างห่างกันมาก และอักษรตัวเล็ก ๆ ส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยเป็นธงที่แทบจะไม่มีลักษณะสะบัด และเป็นธงพื้นสีเดียวทั้งผืน ตัวอักษรโรมันอยู่ตรงกลางใหญ่เกือบเต็มผืนธง และอักษร J และ R อยู่ในลักษณะตัวอักษรเชื่อมต่อเป็นตัวเดียวกัน หรือทับกันครึ่งตัว รูปร่างลักษณะเครื่องหมายการค้าของโจทก์กับของจำเลยแตกต่างกันมากเช่นนี้ ย่อมไม่อาจทำให้สาธารณชนหลงผิดได้
การที่ประชาชนเรียกขานเครื่องหมายการค้าของโจทก์กับของจำเลยว่าตราธงเช่นเดียวกัน เป็นเพียงสื่อความหมาย มิใช่การหลงผิดว่าสินค้าของจำเลยเป็นสินค้าของโจทก์
การที่ประชาชนเรียกขานเครื่องหมายการค้าของโจทก์กับของจำเลยว่าตราธงเช่นเดียวกัน เป็นเพียงสื่อความหมาย มิใช่การหลงผิดว่าสินค้าของจำเลยเป็นสินค้าของโจทก์