คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เจตนา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,077 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4451/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์ต้องแจ้งเปลี่ยนเจตนาการยึดถือ หากไม่แจ้งสิทธิครอบครองเดิมยังคงอยู่
เดิมจำเลยถูก ม. ฟ้องเป็นคดีแพ่งและยึดที่ดินมีหลักฐานน.ส.3 ของจำเลยออกขายทอดตลาด และ ม. เป็นผู้ประมูลซื้อที่ดินทั้งแปลงรวมทั้งที่ดินพิพาทได้จากการขายทอดตลาด จำเลยซึ่งอยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าวมาก่อนย่อมทราบดีว่า ม. ได้สิทธิครอบครองในที่ดินแล้ว การที่จำเลยอยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าวต่อมาจึงเป็นการยึดถือที่ดินไว้แทน ม. เท่านั้น หาใช่ยึดถือเพื่อตนเองไม่หากจำเลยจะยึดถือเพื่อตนอย่างเป็นเจ้าของ ก็ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 คือบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการยึดถือไปยัง ม. จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตาม มาตรา 1382

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4403/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทำให้เสียทรัพย์ - การกระทำที่ไม่มีเจตนาหรือเล็งเห็นผลเสียหายไม่เป็นความผิด
ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๘ ผู้กระทำต้องมีเจตนากระทำเพื่อให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหายจึงจะเป็น ความผิด เมื่อจำเลยไม่มีเจตนาประสงค์ต่อผลที่จะทำให้รั้วเหล็กดัด ของผู้เสียหายได้รับความเสียหาย และไม่อาจเล็งเห็นได้ว่าการ เจาะรั้วคอนกรีตของจำเลยเพียงส่วนน้อยโดยใช้ไม้ค้ำยันจะทำให้ รั้วเหล็กดัดของผู้เสียหายซึ่งตั้งอยู่บนรั้วคอนกรีตของจำเลยได้รับ ความเสียหายอย่างแน่นอนแล้ว จำเลยจึงมิได้มีเจตนากระทำเพื่อให้ ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4403/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทำให้เสียทรัพย์ - การกระทำโดยไม่มีเจตนาและไม่สามารถเล็งเห็นผลเสียหายได้
ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358ผู้กระทำต้องมีเจตนากระทำเพื่อให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหายจึงจะเป็นความผิด เมื่อจำเลยไม่มีเจตนาประสงค์ต่อผลที่จะทำให้รั้วเหล็กดัดของผู้เสียหายได้รับความเสียหาย และไม่อาจเล็งเห็นได้ว่าการเจาะรั้วคอนกรีตของจำเลยเพียงส่วนน้อยโดยใช้ไม้ค้ำยันจะทำให้รั้วเหล็กดัดของผู้เสียหายซึ่งตั้งอยู่บนรั้วคอนกรีตของจำเลยได้รับความเสียหายอย่างแน่นอนแล้ว จำเลยจึงมิได้มีเจตนากระทำเพื่อให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4290/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย ศาลพิจารณาเจตนาในการกระทำเพื่อลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา
จำเลยกับพวกไล่ชกผู้ตายจนถอยหลังตกคลอง เป็นเหตุให้ผู้ตายจมน้ำตาย การตายของผู้ตายเป็นผลโดยตรงจากการที่จำเลยกับพวกไล่ชกผู้ตาย การกระทำของจำเลยกับพวกเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยทำร้ายผู้ตายโดยมิได้มีเจตนาฆ่าศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 428/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บันดาลโทสะจากการถูกยั่วยุ: การกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และการลดโทษตามมาตรา 72
เมื่อจำเลยกับผู้ตายอยู่กินร่วมกันฉันสามีภรรยา การที่ผู้ตายไปนอนค้างคืนกับนาย พ.และผู้ตายยังบอกจำเลยต่อหน้านายพ.อย่างปราศจากความยำเกรงจำเลยว่า ผู้ตายมานอนกับนาย พ.ทุกคืน จึงเป็นการเยาะเย้ยท้าทายจำเลยว่าได้ทำชู้ กันอยู่เรื่อย ๆจำเลยจะทำไม อันเป็นการยั่วยุอารมณ์ของจำเลย ถือได้ว่าเป็นการสบประมาทจำเลยอย่างร้ายแรง โดยมิได้คาดคิดมาก่อน ย่อมเหลือวิสัยที่จำเลยจะอดกลั้นไว้ได้ พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าเป็นการกดขี่ข่มเหงจิตใจของจำเลยอย่างร้ายแรง การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายในทันทีจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4289/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทำร้ายร่างกาย vs. เจตนาฆ่า: การพิจารณาจากพฤติการณ์การกระทำและบาดแผล
จำเลยใช้มีดปลายแหลมเฉพาะใบมีดยาวประมาณ 5 นิ้ว แทงผู้เสียหาย 1 ครั้ง ถูกบริเวณช่องท้องด้านซ้าย 1 แผล บาดแผลกว้างและลึกประมาณ 3 เซนติเมตร ถึงกล้ามเนื้อ แต่ไม่เข้าถึงช่องท้องแสดงว่าจำเลยแทงไม่แรง และจำเลยมีโอกาสที่จะเลือกแทงอวัยวะที่สำคัญกว่านี้ได้ แต่ก็หาได้ทำไม่ อีกทั้งหากจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายก็คงไม่ผลักผู้เสียหายลงไปในร่องสวน หรือแม้ผู้เสียหายตกลงไปในร่องสวนแล้วจำเลยก็อาจจะตามลงไปแทงผู้เสียหายอีกได้แต่จำเลยก็หาได้ติดตามลงไปแทงผู้เสียหายซ้ำอีกไม่ ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า คงมีแต่เพียงเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4273/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้เครื่องหมายการค้าที่คล้ายกัน พิจารณาความแตกต่างของสินค้า กลุ่มผู้บริโภค และเจตนาของผู้ประกอบการเพื่อตัดสินว่าเป็นการลวงสาธารณชนหรือไม่
เครื่องหมายการค้าของรูปแบบแรกและรูปแบบที่ 2 ประกอบด้วยรูปครึ่งม้าครึ่งคน ที่เป็นรูปตัวม้าท่อนล่างกำลังยืนยกขาหน้าทั้งสองข้างขึ้นโดยขาขวางอขาซ้ายเหยียดตรง และรูปตัวคนท่อนบนอยู่ในท่าพุ่งหอก ใช้มือขวาถือหอกเงื้อไปข้างหลัง ส่วนมือซ้ายเหยียดตรงไปข้างหน้าในระดับเดียวกับแขนขวาหันหน้าไปทางขวา รูปครึ่งม้าครึ่งคนรูปแบบแรกเป็นลายเส้นโปร่ง ส่วนรูปแบบที่ 2 เป็นรูปทึบ นอกจากนี้รูปแบบแรกยังมีข้อความภาษาอังกฤษประดิษฐ์ว่า"E.Remy Martin & Co" บรรทัดหนึ่ง กับอีกบรรทัดหนึ่งมีข้อความภาษาอังกฤษประดิษฐ์อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าว่า "REMY MARTIN" ส่วนของจำเลยรูปแบบแรกและรูปแบบที่ 2 เป็นรูปครึ่งม้าครึ่งคนเช่นเดียวกัน ส่วนบนเป็นรูปตัวคนอยู่ในท่ากำลังพุ่งหอกซึ่งมีหัวหอกเป็นรูปสามเหลี่ยมในลักษณะท่าทางเหมือนกับรูปเครื่องหมายการค้าของโจทก์ ส่วนล่างเป็นตัวม้าอยู่ในท่าอย่างเดียวกับของโจทก์คือ ม้ายกขาหน้าทั้งสองข้าง แต่แตกต่างกันตรงที่ว่ารูปม้าของจำเลยเหยียดขาขวาตรง งอขาซ้าย หันหน้าไปทางซ้าย และหัวหอกของจำเลยเป็นรูปสามเหลี่ยม ส่วนรูปม้าของโจทก์งอขาขวาเหยียดขาซ้าย หันหน้าไปทางขวา และหัวหอกของโจทก์เป็นปลายเส้นตรง นอกจากนี้รูปครึ่งม้าครึ่งคนของจำเลยมีส่วนบนเป็นลายเส้นเกือบทึบ ส่วนของโจทก์เป็นลายเส้นสำหรับรูปแบบแรก และเป็นรูปทึบสำหรับรูปแบบที่ 2 ยิ่งกว่านั้นรูปครึ่งม้าครึ่งคนของจำเลยยังอยู่ภายในวงกลม 4 วง มีลวดลายคล้ายดอกไม้ล้อมรอบสำหรับรูปแบบแรก และอยู่ภายในวงกลม 1 วง ซึ่งมีช่อดอกไม้รองรับและยังมีคำว่า"ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยน้ำไทย" อยู่ด้านบน และมีคำว่า "ตราม้าเทวดา" อยู่ด้านล่างของรูปครึ่งม้าครึ่งคนสำหรับรูปแบบที่ 2 เครื่องหมายการค้าของโจทก์รูปแบบแรกใต้รูปครึ่งคนครึ่งม้ายังมีข้อความภาษาอังกฤษประดิษฐ์ว่า "E.Remy Martin & Co"บรรทัดหนึ่งและมีคำว่า "REMY MARTIN" อีกบรรทัดหนึ่ง อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม-ผืนผ้าซึ่งเป็นชื่อบริษัทโจทก์ และตัวอักษรนี้ก็เป็นชื่อเรียกสินค้าของโจทก์ว่า"เรมี่ มาร์แตง" จนเป็นที่เข้าใจกันทั่วไป ประกอบกับเมื่อเทียบขนาดและสัดส่วนของตัวอักษรคำว่า "REMY MARTIN" กับรูปภาพครึ่งม้าครึ่งคนแล้ว ปรากฎว่าตัวอักษรมีขนาดใหญ่กว่ารูปภาพ ตัวอักษรคำว่า "REMY MARTIN" จึงมีลักษณะเด่นและมีความสำคัญยิ่งกว่ารูปภาพดังกล่าว โจทก์เพิ่งมาจดทะเบียนเฉพาะรูปครึ่งม้าครึ่งคนในท่าพุ่งหอกสำหรับรูปแบบที่ 2 ภายหลังจากที่จำเลยได้รับการจดทะเบียนรูปม้าครึ่งคนของจำเลยรูปแบบแรก และสินค้าสุราของโจทก์ที่ส่งเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยตามใบส่งสินค้า ก็ระบุว่าเป็นบรั่นดี เรมี่ มาร์แตงไม่ปรากฎว่าคนไทยเรียกสินค้าของโจทก์ว่าสุราตราครึ่งม้าครึ่งคนพุ่งหอกแต่อย่างใดส่วนเครื่องหมายการค้ารูปแบบที่ 2 ของจำเลยยังมีคำว่า "ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยน้ำไทยตราม้าเทวดา" แตกต่างกับคำว่า "REMY MARTIN" ซึ่งเป็นชื่อเรียกขานสินค้าของโจทก์ เมื่อประชาชนไม่เห็นคำว่า "REMY MARTIN" อยู่ด้วยย่อมเข้าใจได้ทันทีว่าสินค้าที่พบเห็นนั้นมิใช่สินค้าของโจทก์ ทั้งสินค้าของจำเลยก็เป็นจำพวกปุ๋ยซึ่งมิใช่สินค้าที่เกี่ยวข้องกับสินค้าจำพวกสุราดังเช่นของโจทก์ที่แพร่หลายอยู่แล้วผู้บริโภคสินค้าของโจทก์และของจำเลยเป็นหลักก็เป็นผู้บริโภคคนละกลุ่มกัน จึงไม่ทำให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาจะใช้เครื่องหมายการค้าที่เหมือนหรือคล้ายเครื่องหมายการค้าของโจทก์ เพื่อลวงผู้ซื้อและประชาชนให้หลงผิดว่าสินค้าของจำเลยเป็นสินค้าของโจทก์หรือโจทก์มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือทำให้ผู้ซื้อและประชาชนหลงผิดในแหล่งกำเนิดของสินค้าแต่อย่างใด เครื่องหมายการค้าของโจทก์กับเครื่องหมายการค้าของจำเลยไม่เหมือนหรือคล้ายกันจนถึงนับได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชนให้สับสน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4204/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาชดใช้ค่าเสียหายจากการศึกษาต่อต่างประเทศ แม้ทุนไม่ผ่านโจทก์ ก็ผูกพันจำเลยหากมีเจตนาให้กลับมาใช้ทุน
แม้มูลนิธิร็อกกี้เฟลเล่อร์ให้ทุนการศึกษาแก่จำเลยที่ 1โดยไม่ผ่านโจทก์และเป็นทุนที่ไม่มีเงื่อนไขผูกพันใด ๆรวมทั้งไม่ใช่วัตถุประสงค์ของมูลนิธิที่จะให้จำเลยที่ 1กลับมาปฏิบัติราชการชดใช้ทุนเป็นเวลา 2 เท่าของเวลาที่ลาไปศึกษา ก็หาใช่ข้อสำคัญไม่ เนื่องจากขณะที่จำเลยที่ 1 ขออนุมัติลาไปศึกษา ต่อนั้นจำเลยที่ 1 ยังรับราชการในสังกัดโจทก์ และจำเลยที่ 1 ก็ได้รับอนุมัติให้ลาไปศึกษาต่อโดยมีสิทธิได้รับเงินเดือนในระหว่าง ที่ลานั้น ก็ด้วยความประสงค์ของโจทก์ที่ว่า ต้องการให้จำเลยที่ 1กลับมาปฏิบัติราชการในสังกัดเดิมภายหลังเสร็จสิ้นการศึกษาแล้วหาเกี่ยวข้องกับมูลนิธิแต่อย่างใด การที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาได้รับทุนศึกษาต่อ ณ ต่างประเทศกับโจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ตามสัญญาดังกล่าวนี้เงินทุนและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รวมทั้งค่าเดินทางที่จ่ายให้อันเนื่องจากการศึกษาต่อนั้นไม่ว่าจะเป็นของรัฐบาลไทย รัฐบาลต่างประเทศหรือองค์การใด ก็รวมอยู่ในความหมายที่จำเลยที่ 1 ต้องชดใช้คืนโจทก์ ฐานะเป็นค่าเสียหายเมื่อมีการผิดสัญญาเกิดขึ้น ซึ่งหมายถึงเงินทุน และค่าใช้จ่าย ๆ รวมตลอดทั้งค่าเดินทางที่มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ จ่ายให้แก่จำเลยที่ 1 ในการลาศึกษาต่อนั้น หามีข้อยกเว้นในสัญญา ว่าให้ใช้เฉพาะกับผู้รับทุนซึ่งผ่านรัฐบาลไทยหรือโจทก์เท่านั่น การกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าหากมีการผิดสัญญาเกิดขึ้นเป็นข้อตกลง อันมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ เมื่อวัตถุประสงค์ของสัญญาเป็นที่ประจักษ์ ว่าเพื่อต้องการให้จำเลยที่ 1 กลับมาปฏิบัติราชการให้เกิดประโยชน์แก่สถาบันและประเทศชาติโดยรวม จึงเป็นการชอบธรรม และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน สัญญาดังกล่าวจึงมีมูลหนี้ต่อกันบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ปฏิบัติราชการครบกำหนดตามสัญญา จึงต้องรับผิดตามสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์ จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดร่วมด้วยในฐานะผู้ค้ำประกัน โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้รับผิดชอบค่าเสียหายที่จำเลยที่ 1ทำไว้กับโจทก์ตามสัญญาเอกสารท้ายฟ้อง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง เป็นหลัก และสัญญาเอกสารท้ายฟ้องก็ระบุชัดเจนว่า จำเลยที่ 1 ได้รับทุนการศึกษาของมูลนิธิร็อกกี้เฟลเล่อร์จึงเป็นที่เข้าใจได้อยู่ในตัวว่า หาใช่ทุนของโจทก์ไม่ ดังนี้ข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์ดังกล่าวจึงมิใช่ข้อเท็จจริงที่ต่างจากฟ้อง อันเป็นเหตุให้ยกฟ้อง จำเลยฎีกาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนเหรียญสหรัฐเมื่อจำเลยมิได้ยกขึ้นเป็นข้ออุทธรณ์ในชั้นอุทธรณ์จึงเป็นข้อมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบ ในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4162/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาในความผิดฟ้องเท็จ: จำเลยต้องรู้ว่าข้อความที่ฟ้องเท็จ
ความผิดฐานฟ้องเท็จตาม ป.อ. มาตรา 175 นั้น นอกจากผู้กระทำจะต้องเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่าได้กระทำความผิดอาญาแล้วผู้กระทำจะต้องรู้ว่าความที่นำมาฟ้องนั้นเป็นเท็จ จำเลยทั้งสองร่วมกันฟ้องโจทก์ว่าโจทก์กระทำความผิดอาญาฐานทำให้เสียทรัพย์ โดยบรรยายฟ้องว่าโจทก์ใช้ขายหลายคนให้ทุบทำลายผนังตึกกำแพงด้านหลังอาคารของจำเลยทั้งสอง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองเข้าใจว่ากำแพงพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสอง ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองไม่รู้ว่าความที่นำมาฟ้องโจทก์นั้นเป็นเท็จ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงขาดเจตนาที่จะทำให้เป็นความผิดฐานฟ้องเท็จ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4162/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาในการฟ้องเท็จ: จำเลยต้องรู้ว่าข้อความที่ฟ้องเป็นเท็จ การเข้าใจผิดเรื่องกรรมสิทธิ์ทำให้ขาดเจตนา
ความผิดฐานฟ้องเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175นั้น นอกจากผู้กระทำจะต้องเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่าได้กระทำความผิดอาญาแล้วผู้กระทำจะต้องรู้ว่าความที่นำมาฟ้องนั้นเป็นเท็จ จำเลยทั้งสองร่วมกันฟ้องโจทก์ว่า โจทก์กระทำความผิดอาญาฐานทำให้เสียทรัพย์ โดยบรรยายฟ้องว่าโจทก์ใช้ชายหลายคนให้ทุบทำลายผนังตึกกำแพงด้านหลัง อาคาร ของจำเลยทั้งสองเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองเข้าใจว่ากำแพงพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสอง ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองไม่รู้ว่าความที่นำมาฟ้องโจทก์นั้นเป็นเท็จ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงขาดเจตนาที่จะทำให้เป็นความผิดฐานฟ้องเท็จ
of 408