คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ทำร้ายร่างกาย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,834 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1316/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ เมื่อถูกทำร้ายด้วยอาวุธและการใช้กำลังป้องกันตนเอง
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน ผู้ตายซึ่งมีรูปร่างใหญ่โตกว่าจำเลยถือก้อนหินขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว 2 นิ้วฟุตเศษ หนาราว 1 นิ้วฟุตวิ่งไล่ทำร้ายจำเลย ทำให้ริมฝีปากบนของจำเลยแตกทั้งด้านนอกและด้านในโลหิตไหล ฟันบนหัก 2 ซี่ จนหินกระเด็นหลุดจากมือผู้ตาย แล้วผู้ตายยังได้ชกจำเลยอีกหลายทีติด ๆ กัน จำเลยจึงชักเหล็กขูดชาร์ฟจากเอวแทงผู้ตายไปหลายที ถือได้ว่าจำเลยไม่มีโอกาสที่จะเลือกแทงผู้ตายให้ถูกในที่สำคัญได้ นอกจากกระทำไปเพื่อหยุดยั้งการกระทำของผู้ตายเท่านั้นฉะนั้นการกระทำของจำเลยตามพฤติการณ์ดังกล่าวย่อมถือได้ว่าเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1271/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยิงเพื่อป้องกันตัวที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย: เหตุการณ์ต่อเนื่องจากการทำร้ายร่างกาย
จำเลยกับผู้ตายและคนอื่นอีก 2 คน ร่วมดื่มสุรากันในร้านจนต่างมึนเมาเกิดทะเลาะวิวาทกัน จำเลยถูกตีศีรษะโลหิตไหล และจำเลยก็ตีผู้ตายแล้ววิ่งหนีออกจากร้านไปได้ 6 - 7 เมตร แล้วหันกลับมาใช้ปืนยิงผู้ตายซึ่งถือขวดโซดาตามออกมาที่หน้าร้าน การที่จำเลยยิงผู้ตายเช่นนี้จะอ้างว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัวไม่ได้ เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องจากการสมัครใจทำร้ายกันในร้าน ยังไม่ขาดตอน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 110/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาแทงทำร้ายร่างกาย vs. เจตนาฆ่า: การพิจารณาจากลักษณะการกระทำและเหตุผล
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยไม่พอใจผู้เสียหายขึ้นมาในขณะที่ดื่มสุรากัน จำเลยจึงใช้มีดยาวทั้งด้าม 35 เซนติเมตร ตัวมีดยาว 15 เซนติเมตร ใบมีดกว้าง 3 เซนติเมตร แทงผู้เสียหาย 1 ที ที่บนเรือน ถูกผู้เสียหายที่หน้าอกขวา ทะลุปอด แล้วมิได้แทงซ้ำอีกทั้ง ๆ ที่มีโอกาสจะแทงอีกได้ แม้เมื่อผู้เสียหายตกลงไปข้างล่างแล้ว จำเลยก็หาได้ติดตามลงไปทำร้ายอีกไม่ ย่อมถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาแต่เพียงทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเท่านั้น มิได้มีเจตนาฆ่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 110/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทำร้ายร่างกาย vs. เจตนาฆ่า: การพิจารณาจากพฤติการณ์การกระทำและความต่อเนื่องของการทำร้าย
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยไม่พอใจผู้เสียหายขึ้นมาในขณะที่ดื่มสุรากันจำเลยจึงใช้มีดยาวทั้งด้าม 35 เซ็นติเมตรตัวมีดยาว15เซ็นติเมตร ใบมีดกว้าง3 เซ็นติเมตร แทงผู้เสียหาย 1 ทีที่บนเรือนถูกผู้เสียหายที่หน้าอกขวา ทะลุปอดแล้วมิได้แทงซ้ำอีก ทั้ง ๆ ที่มีโอกาสจะแทงอีกได้ แม้เมื่อผู้เสียหายตกลงไปข้างล่างแล้ว จำเลยก็หาได้ติดตามลงไปทำร้ายอีกไม่ ย่อมถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาแต่เพียงทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเท่านั้น มิได้มีเจตนาฆ่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 849/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกันทำร้ายและฆ่าผู้อื่นโดยไม่มีเจตนาไตร่ตรองไว้ก่อน
จำเลยที่ 1 เป็นผู้ใหญ่บ้านเคยมีสาเหตุกับผู้ตาย.จำเลยที่ 1 หาพรรคพวกไปแกล้งจับผู้ตาย หาว่ากระทำความผิดอาญา. โดยที่ผู้ตายเองก็เป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าร่วมกับพวกหลอกลวงเอาเงินจากพ่อค้าและราษฎรไปอยู่เหมือนกัน. จำเลยที่ 1 กับพวกเอาโซ่มัดผู้ตาย เอาผู้ตายไปล่ามโซ่ไว้ใต้ถุนบ้าน. แล้วจำเลยที่ 1-2-3-4 กับพวกเอาตัวผู้ตายออกจากบ้านไป บอกว่าจะเอาตัวไปส่งจังหวัดในคืนวันเกิดเหตุ. ผู้ตายพยายามขัดขืนไม่ยอมไป. จำเลยกับพวกเอาโซ่ลากคอผู้ตายไป. แล้วร่วมกันฆ่าผู้ตายในระหว่างทาง. เห็นได้ว่าเมื่อตอนที่จำเลยกับพวกนำตัวผู้ตายออกจากบ้านไปนั้น. จำเลยกับพวกอาจจะยังไม่มีเจตนาจะฆ่าผู้ตาย. แต่การที่กลับมาเปลี่ยนใจฆ่าผู้ตายน่าจะเป็นเพราะผู้ตายพยายามขัดขืนไม่ยอมไปก็ได้. พฤติการณ์ยังไม่พอฟังว่าเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 425/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินเหตุบันดาลโทสะและการลดโทษจากคำรับสารภาพในคดีทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย
เพื่อนของผู้ตายกับเพื่อนของจำเลยจะต่อยกัน จำเลยเข้าไปถีบเพื่อนผู้ตายเพื่อช่วยเหลือเพื่อนของจำเลย ผู้ตายจึงเตะจำเลยเพื่อช่วยเหลือเพื่อนของผู้ตาย ดังนี้ จะถือว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมจากผู้ตายไม่ได้ เพราะจำเลยทำร้ายเพื่อนผู้ตายก่อนความผิดของจำเลยจึงไม่ใช่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
จำเลยเข้ามอบตัวกับเจ้าพนักงานเป็นการลุแก่โทษชั้นสอบสวนก็ให้การรับสารภาพอย่างเดียวกับข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบในชั้นศาลที่จำเลยให้การสู้คดีชั้นศาลว่าป้องกันตัว ก็เป็นความเข้าใจของจำเลยว่าลักษณะเช่นนี้เป็นการป้องกันตัวจำเลยมิได้บิดเบือนข้อเท็จจริง และในที่สุดก็รับสารภาพว่าได้กระทำผิดจริงตามฟ้องแม้จะเป็นการรับสารภาพเมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นแล้ว ก็ยังเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาที่ศาลพิพากษาวางบทกำหนดโทษและลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่ง จึงเป็นการสมควรแก่พฤติการณ์แห่งคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 425/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมิน 'บันดาลโทสะ' และการลดโทษจาก 'การรับสารภาพ' ในคดีทำร้ายร่างกายถึงแก่ความตาย
เพื่อนของผู้ตายกับเพื่อนของจำเลยจะต่อยกัน. จำเลยเข้าไปถีบเพื่อนผู้ตายเพื่อช่วยเหลือเพื่อนของจำเลย. ผู้ตายจึงเตะจำเลยเพื่อช่วยเหลือเพื่อนของผู้ตาย. ดังนี้ จะถือว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมจากผู้ตาย.ไม่.ได้. เพราะจำเลยทำร้ายเพื่อนผู้ตายก่อน. ความผิดของจำเลยจึงไม่ใช่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72.
จำเลยเข้ามอบตัวกับเจ้าพนักงานเป็นการลุแก่โทษ.ชั้นสอบสวนก็ให้การรับสารภาพอย่างเดียวกับข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบในชั้นศาล. ที่จำเลยให้การสู้คดีชั้นศาลว่าป้องกันตัว ก็เป็นความเข้าใจของจำเลยว่าลักษณะเช่นนี้เป็นการป้องกันตัว. จำเลยมิได้บิดเบือนข้อเท็จจริง และในที่สุดก็รับสารภาพว่าได้กระทำผิดจริงตามฟ้อง. แม้จะเป็นการรับสารภาพเมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นแล้ว. ก็ยังเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา. ที่ศาลพิพากษาวางบทกำหนดโทษและลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่ง จึงเป็นการสมควรแก่พฤติการณ์แห่งคดี.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1604-1605/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีทำร้ายร่างกาย: ผู้เสียหายต้องมีสิทธิฟ้องจริง แม้คดีก่อนหน้าศาลพิพากษาว่าไม่ใช่ผู้เสียหาย
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จะไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น. ก็ฎีกาได้.
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 3 ใช้กำลังกาย ไม้ตะพด เป็นอาวุธ. ชกต่อยและตีประทุษร้ายร่างกายโจทก์ถูกบริเวณศีรษะแตกจนโลหิตไหล และถูกตามใบหน้าและลำตัวจนฟกช้ำดำเขียวหลายแห่ง. เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่โจทก์. ดังนี้ เป็นฟ้องที่บรรยายถึงข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำผิดของจำเลยว่า.จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายโจทก์จนโจทก์ได้รับอันตรายแก่กายของส่วนใดของร่างกาย และลักษณะบาดแผลที่เกิดจากถูกจำเลยทำร้ายเป็นอย่างไร ไว้ชัดแจ้งเพียงพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว. ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่เคลือบคลุม. และเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5).
พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 ในคดีนี้แต่ผู้เดียวในข้อหาว่าทำร้ายร่างกายโจทก์ในคดีนี้ มิได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ด้วย. แม้มูลคดีเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องเดียวกับคดีนี้ และโจทก์ในคดีนี้จะได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการในคดีนั้นก็ตาม. ฟ้องโจทก์คดีนี้ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลย ที่ 1 ที่ 2 ก็หาเป็นฟ้องซ้ำไม่. เพราะจำเลยที่ 1 ที่ 2 ยังไม่เคยถูกฟ้องและมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องในมูลคดีเดียวกันนี้มาก่อน.
โจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่3 กระทำความผิดรวม 4 กระทงคือความผิดต่อร่างกายความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม และความผิดต่อเสรีภาพ. โดยเฉพาะข้อหาว่าจำเลยร่วมกันกระทำความผิดต่อร่างกายนั้น. ปรากฏว่าเป็นข้อหาเดียวกับที่พนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยที่ 3 ในคดีนี้หาว่าทำร้ายร่างกายโจทก์ไว้ในสำนวนคดีอื่นซึ่งโจทก์ในคดีนี้ได้เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ. คดีนั้นถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า โจทก์ในคดีนี้มิใช่ผู้เสียหาย.เพราะเป็นกรณีต่างวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน. โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องหรือเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นคำพิพากษาในลักษณะคดี. แม้จำเลยที่ 1 ที่2 จะมิได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าว. ก็ย่อมได้รับผลนี้ด้วย. ฉะนั้น โจทก์จะมาฟ้องหาว่าจำเลยที่ 1 ที่2 ร่วมกับจำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายโจทก์ในมูลคดีเดียวกับคดีที่ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 3 แล้วหาได้ไม่. ส่วนความผิดข้ออื่นๆ โจทก์ยังเป็นผู้เสียหาย และมีอำนาจฟ้องในความผิดนั้นๆ ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1603/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ วิวาททำร้ายร่างกาย การพิเคราะห์เจตนา การป้องกันตัว และบันดาลโทสะ
เมื่อพฤติการณ์เกิดขึ้นเป็นกรณีวิวาทสมัครใจต่อสู้ทำร้ายซึ่งกันและกัน จำเลยจะยกข้อต่อสู้ว่าที่จำเลยกระทำไปนั้นมีลักษณะเป็นการป้องกันหาได้ไม่ และจำเลยจะอ้างว่ากระทำไปด้วยบันดาลโทสะก็ไม่ได้ เพราะจำเลยสมัครใจต่อสู้มาตั้งแต่แรก จำเลยมิได้ถูกฝ่ายผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมก่อน แล้วจำเลยจึงได้ทำร้ายฝ่ายผู้ตาย แต่การที่จำเลยถูกฝ่ายผู้ตายซึ่งมีจำนวนมากกว่าและมีอาวุธดีกว่ารุมทำร้ายจำเลย และการที่จำเลยเหวี่ยงมีดกราดไปมาถูกผู้ตายที่ขมับเพราะผู้ตายโผเข้ามา จำเลยไม่มีโอกาสเลือกแทงผู้ตายให้ถูกที่สำคัญได้ เพราะเป็นการชุลมุนต่อสู้กันหลายคน จะฟังว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายยังไม่ได้ คงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไม่เจตนาเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1603/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ วิวาทสมัครใจ การป้องกันตัว และเจตนาในการทำร้ายร่างกาย ศาลฎีกาพิจารณาพฤติการณ์และอาวุธที่ใช้
เมื่อพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นกรณีวิวาทสมัครใจต่อสู้ทำร้ายซึ่งกันและกัน จำเลยจะยกข้อต่อสู้ว่าที่จำเลยกระทำไปนั้นมีลักษณะ เป็นการป้องกันหาได้ไม่ และจำเลยจะอ้างว่ากระทำไปด้วยบันดาลโทสะก็ไม่ได้ เพราะจำเลยสมัครใจต่อสู้มาตั้งแต่แรก จำเลยมิได้ถูกฝ่ายผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมก่อน แล้วจำเลยจึงได้ทำร้ายฝ่ายผู้ตาย แต่การที่จำเลยถูกฝ่ายผู้ตายซึ่งมีจำนวนมากกว่าและมีอาวุธดีกว่ารุมทำร้ายจำเลย และการที่จำเลยเหวี่ยงมีดกราดไปมาถูกผู้ตายที่ขมับเพราะผู้ตายโผเข้ามา จำเลยไม่มีโอกาสเลือกแทงผู้ตายให้ถูกที่สำคัญได้ เพราะเป็นการชุลมุนต่อสู้กันหลายคน จะฟังว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายยังไม่ได้ คงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาเท่านั้น
of 184