คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,640 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 182/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท และเป็นการโต้แย้งดุลพินิจรับฟังพยานหลักฐาน
คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000บาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งที่จำเลยฎีกาว่าสัญญากู้ฉบับลงวันที่14ตุลาคม2529ระหว่างโจทก์กับจำเลยมีอยู่จริงการที่ศาลอุทธรณ์มิได้หยิบยกเอาพยานเอกสารมาวินิจฉัยประกอบคำเบิกความของพยานโจทก์และจำเลยกลับฟังแต่คำเบิกความของพยานบุคคลเท่านั้นไม่ชอบด้วยเหตุผลและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในเรื่องการรับฟังพยานก็ดีหรือเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าสัญญากู้มีอยู่จริงโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งของศาลจึงต้องฟังว่าสัญญากู้มีอยู่จริงก็ดีหรือค่าเสียหายไม่เกินเดือนละ1,000บาทก็ดีล้วนเป็นฎีกาที่โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงทั้งสิ้นต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1737/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งสำเนาคำอุทธรณ์และวันนัดฟังคำพิพากษาแก่โจทก์ร่วมที่ศาลอนุญาตให้เข้าเป็นโจทก์ร่วม
ในคดีที่ศาลอนุญาตให้ผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วมแล้วโจทก์ร่วมและพนักงานอัยการต่างมีฐานะเป็นโจทก์ด้วยกัน เมื่อจำเลยยื่นอุทธรณ์ การที่ศาลชั้นต้นเพียงแต่สั่งให้ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้พนักงานอัยการโจทก์ โดยไม่ได้สั่งให้ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้โจทก์ร่วมด้วย และศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวไป จึงเป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 200 อีกทั้งการที่ศาลชั้นต้นมิได้แจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ร่วมทราบด้วยก็ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 182 ประกอบด้วยมาตรา 215 ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ปฏิบัติเสียให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1580/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิของคู่สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเมื่อสัญญาแรกสมบูรณ์ และการที่ศาลไม่รับวินิจฉัยฎีกาของผู้ร้องสอด
โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยตามสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทจำเลยให้การต่อสู้ว่าสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทไม่สมบูรณ์เมื่อผู้ร้องสอดเข้ามาในคดีก็มิได้กล่าวอ้างว่าสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยไม่สมบูรณ์การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินระหว่างโจทก์และจำเลยสมบูรณ์หรือไม่ก็เพื่อวินิจฉัยข้อพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยเท่านั้นไม่เกี่ยวกับผู้ร้องสอดฉะนั้นเมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างโจทก์และจำเลยสมบูรณ์จำเลยและผู้ร้องสอดอุทธรณ์ต่อมาจำเลยได้ขอถอนอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์อนุญาตแล้วถือว่าประเด็นข้อพิพาทข้อนี้ยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นผู้ร้องสอดไม่มีอำนาจอุทธรณ์ฎีกาในประเด็นข้อพิพาทข้อนี้ การที่ผู้ร้องสอดฎีกาว่าสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทระหว่างผู้ร้องสอดกับจำเลยมิได้ทำขึ้นโดยฉ้อฉลนั้นเมื่อข้อเท็จจริงที่ว่าสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นอันสมบูรณ์ยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วประกอบกับคำขอบังคับของผู้ร้องสอดก็มิได้ขอบังคับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายหรือให้โอนที่ดินให้แก่ผู้ร้องสอดการวินิจฉัยฎีกาของผู้ร้องสอดดังกล่าวย่อมไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไปฎีกาของผู้ร้องสอดจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1436/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลคดีอาญาเป็นข้อตกลงแพ้ชนะ: ศาลต้องรอคำพิพากษาถึงที่สุด
การที่คู่ความตกลงท้ากันให้ถือเอาผลคดีอาญาหมายเลขดำที่1758/2531 ของศาลชั้นต้นเป็นข้อแพ้ชนะในคดีนี้นั้น ไม่ได้หมายถึงผลของคำพิพากษาในศาลชั้นต้น การอ้างเลขคดีของศาลชั้นต้นเป็นแต่เพียงการอ้างผลคดีดำที่คู่ความท้ากันเท่านั้น เมื่อคู่ความท้ากันให้ถือเอาผลของคำพิพากษาย่อมต้องหมายถึงผลคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้ว
คู่ความไม่ได้ตกลงท้ากัน ให้ถือเอาผลคำพิพากษาของศาลชั้นต้นการที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีโดยถือเอาคำพิพากษาของศาลชั้นต้นโดยไม่รอผลคำพิพากษาถึงที่สุด และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เป็นการพิพากษาคดีไปโดยไม่ตรงตามคำท้าเป็นการไม่ชอบ แต่ในระหว่างการพิจารณาคดีนี้ของศาลฎีกาปรากฏว่าคดีอาญาที่คู่ความท้ากันนั้น ศาลฎีกาได้พิพากษาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1087/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดประเด็นข้อพิพาทที่จำกัดและการวินิจฉัยนอกประเด็นของศาล รวมถึงการรับฟังการยอมรับของจำเลย
ในการ ชี้สองสถานศาล กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้เพียงสองข้อคือโจทก์มี อำนาจฟ้องหรือไม่และจำเลยสั่งลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ของโจทก์หรือไม่โดยมิได้กำหนดเรื่องจำเลยขอยกเลิกการลงโฆษณาไว้หรือไม่เป็น ประเด็นข้อพิพาทไว้ด้วยเมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งในการกำหนดประเด็นข้อพิพาทถือว่าจำเลยได้ สละประเด็นข้อนี้แล้วทั้งประเด็นข้อที่ว่าจำเลยสั่งลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ของโจทก์หรือไม่กับข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยขอยกเลิกการลงโฆษณาแล้วหรือไม่เป็นข้อเท็จจริงที่แยกต่างหากจากกันได้ดังนั้นการที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่าจำเลยได้สั่งลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ของโจทก์หรือไม่ย่อมหมายความถึงว่าได้มีการยกเลิกการลงโฆษณาแล้วหรือไม่ด้วยแล้วหยิบยกขึ้นวินิจฉัยด้วยนั้นเป็นการ วินิจฉัยนอกประเด็น แม้คดีจะ ต้องห้ามฎีกาใน ปัญหาข้อเท็จจริง แต่เมื่อจำเลยให้การรับว่าได้สั่งลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์จริงดังที่โจทก์ฟ้องย่อมรับฟังได้โดยไม่ต้องฟังพยานหลักฐานอีกต่อไปจำเลยจึงต้องรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์ตามที่โจทก์ฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1056/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การผูกพันสัญญาค้ำประกันที่ทำต่อหน้าศาล แม้มีลายมือชื่อจำกัด
ในวันทำสัญญาประนีประนอมยอมความและมีคำพิพากษาตามยอมศาลชั้นต้นได้จดรายงานกระบวนพิจารณาว่าจำเลยได้นำตัว ช.มาทำสัญญาค้ำประกันตามที่ตกลงกันจึงให้ผู้ค้ำประกันทำสัญญาค้ำประกันเสนอมาในวันนี้ด้วยแล้วแม้หนังสือสัญญาค้ำประกันคงมีแต่เพียงลายมือชื่อของ ช. กับจ่าศาลลงไว้เท่านั้นก็ถือได้ว่า ช. ได้เข้าเป็นผู้ค้ำประกันในศาลตามความหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา274แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1050/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบด้วยกฎหมาย: คำแถลงก่อนศาลสั่งอนุญาตขายทอดตลาด ไม่ถือเป็นการคัดค้านการบังคับคดี
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสามมิได้ยื่นคำคัดค้านการขายทอดตลาดต่อศาลชั้นต้นภายใน 8 วัน นับแต่ทราบถึงเหตุที่ทำให้การขายทอดตลาดเป็นไปโดยมิชอบ และที่จำเลยที่ 1 ยื่นคำคัดค้านก่อนศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้ขายว่าผู้สู้ราคาให้ราคาต่ำ ขอให้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ขายนั้น เป็นคำแถลงเพื่อประกอบการใช้ดุลพินิจของศาลว่าจะสมควรอนุญาตให้ขายทอดตลาดหรือไม่ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามได้ยื่นคำร้องคัดค้านการบังคับคดีที่ผิดระเบียบหรือฝ่าฝืนต่อกฏหมายว่าด้วยการบังคับคดีตามที่ ป.วิ.พ. มาตรา 27 และมาตรา 296 วรรคสองกำหนดไว้ จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ยื่นคำแถลงต่อศาลก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตให้ขายทอดตลาดเพราะโจทก์จะพาพวกเข้าประมูลกดราคาให้ต่ำกว่าความเป็นจริงเพื่อให้ศาลระงับการขายไว้ก่อน การที่โจทก์พาพวกมาประมูลกดราคาถือว่าเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ทำให้ฝ่ายจำเลยเสียหาย ศาลมีอำนาจเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบได้ และที่ดินที่ขายกันในปัจจุบันราคาสูงเพราะอยู่ในเขตพัฒนา หากศาลฎีกาสั่งยกเลิกการขายแล้วให้ประมูลใหม่ จำเลยทั้งสามหาคนมาประมูลได้ราคาสูงกว่าที่โจทก์ประมูลนั้นฎีกาของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวมิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องหรือผิดพลาดอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1015/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิจำเลยร่วมที่เข้ามาตามมาตรา 57: การต่อสู้คดีเรื่องอำนาจฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นให้หมายเรียกบริษัท อ.เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (3) (ก) เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาต บริษัท อ.จึงเข้ามาในคดีโดยเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม ซึ่งตามมาตรา58 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ผู้ร้องสอดที่เข้ามาตามมาตราดังกล่าวมีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าตนได้ฟ้องหรือถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่ บริษัท อ.จำเลยร่วมจึงให้การต่อสู้คดีได้ทั้งโจทก์และจำเลยตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 177 วรรคท้าย แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ดังนั้น จำเลยร่วมจึงมีสิทธิที่จะให้การต่อสู้ในเรื่องโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1014/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งค่าเช่าฉาง: ศาลบังคับได้หากคำบรรยายในฟ้องแย้งมีความหมายชัดเจนถึงการขอให้บังคับชำระหนี้
เมื่อจำเลยมีคำขอให้ยกฟ้องโจทก์แล้วต่อจากนั้นจำเลยได้บรรยายคำให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยได้ทวงถามค่าเช่าฉางจากโจทก์แต่โจทก์เพิกเฉยจำเลยมีสิทธิจะได้รับค่าเช่าฉางและดอกเบี้ยร้อยละ7.5ต่อปีจากโจทก์รวมเป็นเงิน107,774.32บาทและดอกเบี้ยอัตราเดียวกันจากต้นเงิน61,585.33บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าโจทก์จะชำระเสร็จแก่จำเลยมีความหมายเป็นที่เข้าใจได้ว่าจำเลยขอให้ศาลบังคับโจทก์ชำระค่าเช่าฉางแก่จำเลยถือได้ว่าฟ้องแย้งของจำเลยมีคำขอบังคับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1009/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในคดีทุนทรัพย์น้อยกว่าสองแสนบาท และประเด็นฟ้องเคลือบคลุม
ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยให้การว่าหนังสือมอบอำนาจกระทำขึ้นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจไม่ใช่ลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจไม่ใช่ลายมือชื่อของโจทก์ที่ 1 ศาลต้องหยิบยกประเด็นเรื่องหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ที่ 1 กระทำขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ขึ้นวินิจฉัยนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีตัวโจทก์ที่ 1 มาเบิกความยืนยันว่าได้มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 2 ฟ้องคดีแทน โดยยืนยันว่าลายมือชื่อในช่องผู้มอบอำนาจเป็นลายมือชื่อของโจทก์ที่ 1 จริงโดยจำเลยไม่นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงฟังได้ว่าโจทก์ที่ 1 มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 2 ฟ้องคดีแทนเช่นนี้ถือได้ว่าศาลอุทธรณ์ได้ยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยให้แล้ว โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ขับรถยนต์ไปรับประทานอาหารที่ร้านอาหารของจำเลย ลูกจ้างของจำเลยรับรถยนต์ ของโจทก์ไปจอดยังที่จำเลยจัดไว้เป็นการบรรยายว่า จำเลยได้รับฝากรถยนต์ของโจทก์ และบรรยายฟ้องต่อไปว่า ลูกจ้างของจำเลยได้ย้ายรถยนต์ของโจทก์จากบริเวณหน้าห้องอาหารซึ่งมีพนักงานของจำเลยเฝ้าดูแลไปจอดยังริมถนนฝั่งตรงข้ามไม่มีพนักงานของจำเลยเฝ้าดูแลรถยนต์ของโจทก์จึงหายไปอันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ฟ้องของโจทก์จึงไม่ขัดกันไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
of 364