คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลชั้นต้น

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 926 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8489/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอ้างพยานเอกสารในชั้นอุทธรณ์ต้องยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลชั้นต้นตามกฎหมาย
คำเบิกความของพยานในคดีอื่นเป็นพยานเอกสาร หากคู่ความประสงค์จะอ้างเป็นพยานหลักฐานแห่งตนจะต้องยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 88

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7668/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาล: คดีพิพาทกรรมสิทธิ์ที่ดินที่มีราคาไม่เกิน 300,000 บาท อยู่ในอำนาจศาลชั้นต้น
โจทก์ฟ้องว่าที่ดินเป็นของโจทก์ โจทก์เพียงแต่ให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานอาศัยวางลำเหมืองและท่อส่งน้ำ จำเลยให้การว่า โจทก์ยกที่ดินส่วนที่ใช้วางลำเหมืองและท่อส่งน้ำให้เป็นสาธารณประโยชน์แล้ว จึงเป็นกรณีโต้แย้งกันว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือตกเป็นที่สาธารณประโยชน์ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อที่พิพาทมีราคาไม่เกิน 300,000 บาท คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลแขวง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7432/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องอนาถา: ไม่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาท
การพิจารณาสั่งคำร้องขอให้พิจารณาคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการอนุญาตหรือยกคำร้องก็ตาม หาใช่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีไม่ ศาลชั้นต้นโดยผู้พิพากษาคนเดียวจึงมีอำนาจพิจารณาสั่งได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 (1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7028/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนฟ้องหลังศาลชั้นต้นพิพากษา และผลกระทบจากกฎหมายใหม่ต่อความผิดฐานพิมพ์
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 326 และมาตรา 328 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 35 และทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องในความผิดดังกล่าวเป็นอันระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) ที่ศาลอุทธรณ์มิได้สั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความในส่วนนี้จึงไม่ชอบ
ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา มี พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 มาตรา 3 ยกเลิก พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ.2484 ซึ่งใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2550 เป็นต้นไป และไม่ปรากฏว่า พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 บัญญัติให้บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ต้องรับผิดเป็นตัวการในความผิดอันเกี่ยวด้วยหนังสือพิมพ์อีก ฉะนั้น การกระทำของจำเลยที่ 2 ซึ่งเดิมเป็นความผิดเพราะมีฐานะเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์จึงไม่เป็นความผิดอีกต่อไป จำเลยที่ 2 พ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 2 วรรคสอง แต่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ยังมีความผิดฐานนี้เป็นความผิดต่อแผ่นดิน โจทก์ไม่อาจขอถอนฟ้องหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาได้ จึงต้องกำหนดโทษเสียใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6086/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลชั้นต้นสั่งทิ้งอุทธรณ์คำสั่งโดยมิชอบ ก้าวล่วงอำนาจศาลอุทธรณ์ และวินิจฉัยข้ามขั้นตอน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยนำส่งสำเนาอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำขอดำเนินคดีชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถาให้โจทก์ แต่จำเลยได้วางค่าธรรมเนียมในการส่งหมายโดยมิได้นำส่งเอง จำเลยจึงมีหน้าที่ติดตามผลการส่งหมายว่าส่งได้หรือไม่อย่างไร เมื่อปรากฏว่าส่งสำเนาอุทธรณ์คำสั่งให้แก่โจทก์ไม่ได้ และจำเลยมิได้แถลงว่าจะดำเนินการอย่างไรภายใน 15 วัน ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดจึงเป็นการทิ้งอุทธรณ์คำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา 246
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยแล้ว กระบวนพิจารณาเกี่ยวกับคดีทั้งหมดภายหลังจากนั้นเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลอุทธรณ์ที่จะใช้ดุลพินิจวินิจฉัยสั่งหรือมีคำพิพากษาต่อไป การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยทิ้งอุทธรณ์คำสั่ง จึงเป็นคำสั่งที่ก้าวล่วงอำนาจหน้าที่และดุลพินิจของศาลอุทธรณ์และไม่มีบทกฎหมายใดสนับสนุนให้ศาลชั้นต้นสั่งเช่นนั้นได้ จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งหากศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเกี่ยวกับการทิ้งอุทธรณ์คำสั่งไปอย่างไรย่อมทำให้การดำเนินคดีอย่างคนอนาถาสิ้นสุดลงและศาลอุทธรณ์ต้องมีคำสั่งกำหนดระยะเวลาให้จำเลยวางเงินค่าธรรมเนียมศาลเพื่อที่จะมีคำสั่งรับหรือไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษาต่อไปเนื่องจากในขณะที่จำเลยใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งที่ศาลชั้นต้นยกคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถานั้น ระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระได้ล่วงพ้นไปแล้ว ศาลชั้นต้นจึงยังไม่ควรก้าวล่วงไปสั่งไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษาของจำเลยเสียในตอนนี้ การที่ศาลชั้นต้นด่วนไปสั่งไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษาถือเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ถูกต้องและเป็นการไม่ชอบ การที่ต่อมาจำเลยอุทธรณ์คำสั่งกรณีขอให้เพิกถอนคำสั่งทิ้งอุทธรณ์คำสั่งและไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษา แต่ศาลอุทธรณ์มิได้มีคำสั่งแก้ไขคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่ถูกต้อง กลับวินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งทิ้งอุทธรณ์คำสั่งและไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษาของจำเลยเป็นการชอบแล้ว จึงเป็นการวินิจฉัยที่ข้ามขั้นตอนของกฎหมายและเป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5818/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาล: จำเลยไม่โต้แย้งหลังศาลชั้นต้นเห็นต่างเรื่องอำนาจศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ ย่อมถือว่ายอมรับอำนาจศาลชั้นต้น
หลังจากจำเลยให้การว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศแล้ว ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีชัดแจ้งอยู่แล้วว่าอยู่ในอำนาจศาลชั้นต้น ไม่ใช่กรณีที่มีปัญหาว่าอยู่ในอำนาจของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศหรือไม่ และได้งดชี้สองสถานและดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมา จำเลยทั้งสองมิได้ยกเรื่องนี้ขึ้นโต้แย้งและมิได้มีคำขอให้ศาลชั้นต้นรอการพิจารณาคดีไว้ชั่วคราวเพื่อเสนอปัญหาดังกล่าวให้ประธานศาลฎีกาเป็นผู้วินิจฉัย แสดงว่าจำเลยทั้งสองยอมรับอำนาจศาลชั้นต้นและคดีไม่มีปัญหาเรื่องอำนาจศาลที่ต้องเสนอให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยอีกแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3545/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ องค์คณะผู้พิพากษาไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ชอบ
ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี แต่ปรากฏว่าองค์คณะของผู้พิพากษาศาลชั้นต้นที่ทำคำพิพากษาครั้งหลังมิได้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 29 (3), 30 เนื่องจากคดีนี้คู่ความทั้งสองฝ่ายได้นำพยานเข้าสืบจนเสร็จการพิจารณาแล้ว แต่องค์คณะผู้พิพากษาที่ลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาครั้งหลังเป็นคนละองค์คณะกันกับครั้งแรก ทั้งมิใช่เป็นกรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้ จึงเป็นการทำคำพิพากษาที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ส่วนที่ปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาในวันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังว่า ศาลชั้นต้นเลื่อนคดีไปนัดฟังคำพิพากษาใหม่ โดยมีผู้พิพากษาหัวหน้าศาลของศาลชั้นต้นในขณะนั้น กับผู้พิพากษาศาลชั้นต้นอีกคนหนึ่งลงลายมือชื่อในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับดังกล่าวก็ถือไม่ได้ว่า ผู้พิพากษาทั้งสองคนนั้นเป็นองค์คณะพิจารณาคดีนี้มาแต่ต้น อันจะมีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาในครั้งหลังได้ คำพิพากษาของศาลชั้นต้นฉบับนี้จึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3102/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการแก้ไขกระบวนพิจารณาคดีล้มละลาย: ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจก้าวล่วงการพิจารณาของศาลล้มละลายกลาง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์ในการพิจารณาคดีล้มละลาย แต่คำขอท้ายฟ้องมีใจความว่า ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งเพิ่มเติม รายงานกระบวนพิจารณาของศาลล้มละลายกลาง และมีคำสั่งให้ศาลล้มละลายกลางนัดคู่ความมาพร้อมกันแล้วดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปอย่างเที่ยงธรรม หากไม่สามารถทำได้ก็ขอให้ถือเอาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นแทนคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลล้มละลายกลาง เป็นกรณีที่ไม่มีบทกฎหมายใดให้อำนาจศาลชั้นต้นก้าวล่วงเข้าไปแก้ไขกระบวนพิจารณาในคดีล้มละลายของศาลล้มละลายกลางซึ่งเป็นศาลที่อยู่ในลำดับชั้นเดียวกันได้ ศาลชั้นต้นชอบที่จะไม่รับคดีโจทก์ไว้พิจารณาโดยยกฟ้องโจทก์เสีย เพราะเป็นการวินิจฉัยถึงเนื้อหาแห่งคดีแล้วว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง แทนที่จะสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1798/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากจำเลยไม่ได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น และประเด็นฎีกาไม่เคยถูกยกขึ้นในศาลอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานรับของโจรแต่โทษจำคุกรอการลงโทษไว้ โจทก์อุทธรณ์ไม่ให้รอการลงโทษ ส่วนจำเลยมิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแต่ประการใด และศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นไม่รอการลงโทษ ข้อเท็จจริงในความผิดฐานนี้จึงยุติแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดฐานรับของโจรจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 3 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14835/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่จดบันทึกคำคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้น ทำให้ไม่อาจอุทธรณ์ฎีกาได้
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 26 ถ้าศาลได้ตั้งข้อถามหรือออกคำสั่งหรือชี้ขาดเกี่ยวด้วยการดำเนินคดีเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในคดีเรื่องนั้นคัดค้านข้อถามหรือคำสั่ง หรือคำชี้ขาดนั้นว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก่อนที่ศาลจะดำเนินคดีต่อไปให้ศาลจดข้อถามหรือคำสั่งหรือคำชี้ขาดที่ถูกคัดค้านและสภาพแห่งการคัดค้านลงไว้ในรายงาน แต่ส่วนเหตุผลที่ผู้คัดค้านยกขึ้นอ้างอิงนั้นให้ศาลใช้ดุลพินิจจดลงไว้ในรายงาน หรือกำหนดให้คู่ความฝ่ายที่คัดค้านยื่นคำแถลงเป็นหนังสือเพื่อรวมไว้ในสำนวน แต่ตามสำนวนไม่ปรากฏว่าศาลได้จดไว้ว่าโจทก์คัดค้านคำสั่งที่อ้างว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้ ธ. ถามค้านพยานโจทก์ไว้เป็นการไม่ชอบ เมื่อไม่มีคำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นหลักฐานก็ไม่อาจถือได้ว่ามีคำสั่งของศาลชั้นต้นในอันที่จะอุทธรณ์ฎีกาได้ ดังนั้น แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะรับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในเรื่องนี้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
of 93