พบผลลัพธ์ทั้งหมด 443 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1567/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการจำนองเพื่อคุ้มครองเจ้าหนี้จากการกระทำที่เอื้อประโยชน์เจ้าหนี้รายหนึ่งก่อนล้มละลาย
การที่จำเลยขอกู้ยืมเงินจากผู้คัดค้าน และผู้คัดค้านตกลงยินยอมให้กู้ เมื่อผู้คัดค้านมอบเงินที่กู้ให้จำเลยรับไป การกู้ยืมก็เกิดขึ้น ผู้คัดค้านจึงอยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยในทันทีนั้นเอง หลังจากนั้นการที่จำเลยจำนองที่ดินพิพาทเพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ยืมดังกล่าวให้แก่ผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านจึงเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยอยู่ก่อนแล้วในขณะที่มีการทำสัญญาและจดทะเบียนจำนองตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115 การจำนองที่ดินพิพาทไว้เป็นประกันเงินกู้แก่ผู้คัดค้านมีผลบังคับนับแต่วันที่มีการทำสัญญาเป็นหนังสือและจดทะเบียนกันคือวันที่ 31 มกราคม 2527 โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลาย วันที่13 กุมภาพันธ์ 2527 จำเลยมอบอำนาจให้ ช. ไปทำการจำนองดังกล่าวจึงเป็นการที่จำเลยกระทำหรือยินยอมให้กระทำในระหว่างระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลาย และเมื่อจำเลยเป็นหนี้เจ้าหนี้ถึง 134 ราย รวมเป็นเงินประมาณ 99,000,000 บาท แต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมทรัพย์สินของจำเลยได้เพียง 711,227.45 บาทจำเลยมีหนี้สินรวมกันมากกว่าจำนวนทรัพย์สินที่จำเลยมีอยู่หลายเท่าตัว จำเลยจำนองที่ดินพิพาทเป็นประกันเงินกู้แก่ผู้คัดค้านเป็นจำนวนเงิน 500,000 บาท ก่อนที่จำเลยจะถูกฟ้องขอให้ล้มละลายเพียง 13 วัน ทั้งผู้คัดค้านก็มิได้นำสืบว่ากิจการของจำเลยกำลังรุ่งเรืองแต่อย่างใด พฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าวแสดงว่า จำเลยกระทำโดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นตามมาตรา 115
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1420/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดูหมิ่นซึ่งหน้าต้องเป็นการกระทำฝ่ายเดียว หากทั้งสองฝ่ายโต้ตอบกัน ถือว่าไม่เป็นความผิด
การที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกล่าวถ้อยคำดูหมิ่นซึ่งหน้า โดยมิใช่เป็นการกระทำของจำเลยแต่ฝ่ายเดียว แต่เป็นการที่ทั้งสอง ฝ่ายต่างสมัครใจกล่าวถ้อยคำดูหมิ่นซึ่งหน้าโต้ตอบซึ่งกันและกัน ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๓ จำเลยไม่มีความผิดตามฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4792/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาชิงทรัพย์: การกระทำโดยคะนองเพื่อแสดงอวด ไม่ถือเป็นเจตนาทุจริต
ฝ่ายจำเลยกับฝ่ายผู้เสียหายต่างเป็นนักเรียนอาชีวะ ในระยะเกิดเหตุนักเรียนอาชีวะมีเรื่องตีกันบ่อย แต่ไม่มีเจตนาที่จะปล้นหรือฆ่ากัน วันเกิดเหตุเป็นเวลากลางวันและเหตุเกิดที่สถานีรถไฟซึ่งปกติมีผู้คนพลุกพล่าน จำเลยที่ 1 แต่งกายนักเรียนพร้อมกับพวกเมาสุราเข้ามาหาผู้เสียหายในลักษณะเป็นการหยามน้ำหน้าจำเลยที่ 1 กล่าวหาผู้เสียหายว่าผู้เสียหายไปหาเรื่องเพื่อนจำเลยที่ 1 เมื่อผู้เสียหายปฏิเสธ จำเลยที่ 1 ได้ล้วงเอามีดออกมาจากกระเป๋าย่าม ทำท่าจะฟันผู้เสียหาย จำเลยอื่นห้ามไว้ จำเลยที่ 1จึงเก็บมีดและดึงเอาปากกาและกระเป๋าของผู้เสียหายไป แล้วพูดว่าอยากได้ของก็ตามมาเอา จำเลยที่ 1 กับพวกไม่ได้หลบหนีไปไหนคงอยู่ที่สถานีรถไฟจนกระทั่งถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุม พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 กระทำไปด้วยความคะนองเพื่อแสดงอวดให้เพื่อน ๆ เห็นเท่านั้น จำเลยที่ 1ไม่มีเจตนาเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายไปโดยทุจริต จึงไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2423/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำเพื่อป้องกันตัวจากภยันตรายใกล้จะถึง แม้จะใช้อาวุธ แต่พอสมควรแก่เหตุ
โจทก์ร่วมมีเรื่องขัดแย้งกับบุตรจำเลยและเป็นฝ่ายไปที่บ้านจำเลย ถึงแม้จำเลยด่าโจทก์ร่วมแต่ก็ยังไม่มีพฤติการณ์อื่นให้เห็นว่าจำเลยสมัครใจจะเข้าต่อสู้กับโจทก์ร่วมด้วยกำลังกาย นอกจากนี้โจทก์ร่วมรูปร่างใหญ่ แข็งแรง และหนุ่มกว่าจำเลย หากสู้กันตัวต่อตัวแล้วจำเลยสู้โจทก์ร่วมไม่ได้ ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยสมัครใจวิวาทต่อสู้กับโจทก์ร่วม ดังนั้น การที่โจทก์ร่วมเข้าชกและกอดปล้ำจำเลยไว้เป็นเวลานาน และหากยังกอดปล้ำจำเลยต่อไปอาจทำให้จำเลยได้รับอันตรายแก่กายได้จึงเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงจำเลยใช้มีดแทงโจทก์ร่วม 2 ที ก็เพื่อให้พ้นจากการกอดปล้ำของโจทก์ร่วมเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2423/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย: การกระทำเพื่อหลีกพ้นจากการถูกทำร้าย
โจทก์ร่วมมีเรื่องขัดแย้งกับบุตรจำเลยและเป็นฝ่ายไปที่บ้านจำเลย ถึงแม้จำเลยด่าโจทก์ร่วมแต่ก็ยังไม่มีพฤติการณ์อื่นให้เห็นว่าจำเลยสมัครใจจะเข้าต่อสู้กับโจทก์ร่วมด้วยกำลังกายนอกจากนี้โจทก์ร่วมรูปร่างใหญ่ แข็งแรง และหนุ่มกว่าจำเลย หากสู้กันตัวต่อตัวแล้วจำเลยสู้โจทก์ร่วมไม่ได้ ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยสมัครใจวิวาทต่อสู้กับโจทก์ร่วม ดังนั้น การที่โจทก์ร่วมเข้าชกและกอดปล้ำจำเลยไว้เป็นเวลานาน และหากยังกอดปล้ำจำเลยต่อไปอาจทำให้จำเลยได้รับอันตรายแก่กายได้จึงเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงจำเลยใช้มีดแทงโจทก์ร่วม 2 ที ก็เพื่อให้พ้นจากการกอดปล้ำของโจทก์ร่วมเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2066/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ: การกระทำต่อเนื่องหลังพ้นอันตราย
ผู้ตายกับพวกรวม 3 คน ถีบประตูห้องพักของจำเลยจนกลอนประตูหลุดประตูเปิด แล้วเข้าไปทำร้ายจำเลยและจะทำร้ายภรรยาจำเลยซึ่งมีครรภ์ เป็นการกระทำที่อุกอาจและเป็นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย ทั้งเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง การที่จำเลยใช้มีดแทงคนทั้งสาม แม้จะแทงหลายทีก็เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยในขณะนั้นจึงไม่มีความผิด หลังจากผู้ตายวิ่งออกมาจากห้องพักของจำเลยแล้ว จำเลยติดตามออกมาและใช้มีดแทงผู้ตายอีก 3 ที เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย แม้การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกระชั้นชิดกับการกระทำของจำเลยในตอนแรกซึ่งเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายแต่เมื่อจำเลยแทงผู้ตายในขณะที่หมดโอกาสทำร้ายจำเลยแล้ว การกระทำของจำเลยในตอนนี้จึงเป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1937/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รับของโจร: การกระทำที่แสดงถึงความรู้ว่าทรัพย์เป็นของที่ได้มาจากการลักทรัพย์
จำเลยรู้ว่ายางพาราแผ่นของกลางเป็นทรัพย์ที่คนร้ายไปลักมาแล้วนำไปซ่อน ไว้ การที่จำเลยลงมือเก็บยางพาราแผ่นเตรียมขนไปจึงเป็นการช่วย พาเอาไปเสียซึ่ง ทรัพย์ที่ได้ มา จากการลักทรัพย์จำเลยจึงมีความผิดฐาน รับของโจร.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 98/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์: สิ่งกีดกั้นต้องปรากฏการกระทำและผ่านเข้าไปได้จริง ข้อหาอื่นต้องยกขึ้นในชั้นอุทธรณ์ก่อนฎีกา
การลักทรัพย์โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(3) นั้น จะต้องมีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับสิ่งกีดกั้นแล้วผ่านเข้าไป ประตูห้องนอนของผู้เสียหายเปิดอยู่แล้วจึงมิได้มีสภาพเป็นสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลและทรัพย์จำเลยเข้าไปลักทรัพย์ในห้องนอนของผู้เสียหาย คงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 เท่านั้น โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(3)(8)ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 335(3) เท่านั้นเท่ากับศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(8) เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 335(8) ด้วย เพื่อให้เป็นประเด็นขึ้นมาในชั้นอุทธรณ์ ปัญหาที่ว่าจำเลยมีความผิดตามบทมาตราดังกล่าวหรือไม่ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์จะยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาไม่ได้ เพราะเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 670/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าและการกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อน การใช้สิ่งของเป็นอาวุธร้ายแรง
จำเลยใช้วัตถุซึ่งห่อด้วยกระดาษขนาดโตเท่าหัวแม่เท้า ยาวประมาณ 1 แขน ตีผู้ตายที่ศีรษะบริเวณหูขวาซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ แม้จำเลยตีเพียงครั้งเดียวแต่จำเลยก็ตีโดยแรงเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลา 1 หรือ 2 ชั่วโมงต่อมาเพราะระบบหายใจล้มเหลวเนื่องจากมีเลือดออกในสมอง ฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 574/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำโดยบันดาลโทสะจากเหตุถูกทำร้ายร่างกาย
ผู้ตายเข้ามาถาม จำเลยถึง เรื่องที่จำเลยตี บุตรสาวของผู้ตายแล้วผู้ตายได้ ชกต่อย เตะ ทำร้ายร่างกายจำเลยทันที โดย จำเลยมิได้ต่อสู้ ซึ่ง ถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วย เหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยเข้าไปนำเอาอาวุธปืนออกมายิงผู้ตายในขณะนั้นจึงเป็นการกระทำโดย บันดาลโทสะ.