พบผลลัพธ์ทั้งหมด 277 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1618/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเพิกถอนทะเบียนรถยนต์: ศาลไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินคำขอ แม้จะสั่งให้จำเลยดำเนินการถอนชื่อออกจากทะเบียน
คำว่า"สภาพแห่งข้อหา"ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสองหมายถึงเหตุหรือสิทธิของโจทก์ที่ขอให้ศาลบังคับเอาแก่จำเลยว่าโจทก์มีสิทธิหรือเหตุอย่างไรเหนือจำเลยเมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่1ขายรถยนต์พิพาทและส่งมอบรถแก่โจทก์โดยโจทก์ชำระราคาครบถ้วนแล้วจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความเสียหายแก่โจทก์โดยปรากฏต่อมาว่าจำเลยที่2เป็นผู้มีชื่อเป็นเจ้าของรถในเอกสารคู่มือจดทะเบียนรถทำให้โจทก์ไม่สามารถจดทะเบียนรถเป็นชื่อของโจทก์จึงขอให้เพิกถอนชื่อจำเลยที่2ออกแล้วใส่ชื่อโจทก์แทนเป็นการบรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วหาต้องบรรยายว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำอย่างไรให้มีรายละเอียดว่านี้ไม่เพราะเป็นเรื่องที่โจทก์นำสืบในชั้นพิจารณาได้ คำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องต้องการให้ศาลบังคับให้จำเลยที่2ถอนชื่อออกจากทะเบียนรถยนต์พิพาทย่อมมีความหมายในตัวว่าจำเลยที่2ต้องไปดำเนินการดังกล่าวมิฉะนั้นโจทก์ก็ไม่อาจให้นายทะเบียนดำเนินการใส่ชื่อโจทก์ลงไปแทนการที่ศาลบังคับให้จำเลยที่2ไปดำเนินการดังกล่าวหากไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาจึงไม่ใช่การพิพากษาเกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1014/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งเรียกค่าเช่าฉาง: คำขอให้บังคับชำระถือเป็นคำขอที่ชัดเจน
จำเลยฟ้องแย้งเรียกค่าเช่าฉางจากโจทก์โดยเมื่อจำเลยมีคำขอให้ยกฟ้องโจทก์แล้ว ต่อจากนั้นจำเลยได้บรรยายคำให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยได้ทวงถามค่าเช่าฉางจากโจทก์ แต่โจทก์เพิกเฉย จำเลยมีสิทธิจะได้รับค่าเช่าฉางและดอกเบี้ยจากโจทก์รวมเป็นเงิน 107,774.32 บาท และดอกเบี้ยอัตราเดียวกันจากต้นเงิน 61,585.33 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าโจทก์จะชำระเสร็จแก่จำเลยฟ้องแย้งดังกล่าวมึความหมายเป็นที่เข้าใจได้ว่าจำเลยขอให้ศาลบังคับโจทก์ชำระค่าเช่าฉางแก่จำเลย ถือได้ว่าฟ้องแย้งของจำเลยมีคำขอบังคับแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1014/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งค่าเช่าฉาง: ศาลบังคับได้หากคำบรรยายในฟ้องแย้งมีความหมายชัดเจนถึงการขอให้บังคับชำระหนี้
เมื่อจำเลยมีคำขอให้ยกฟ้องโจทก์แล้วต่อจากนั้นจำเลยได้บรรยายคำให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยได้ทวงถามค่าเช่าฉางจากโจทก์แต่โจทก์เพิกเฉยจำเลยมีสิทธิจะได้รับค่าเช่าฉางและดอกเบี้ยร้อยละ7.5ต่อปีจากโจทก์รวมเป็นเงิน107,774.32บาทและดอกเบี้ยอัตราเดียวกันจากต้นเงิน61,585.33บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าโจทก์จะชำระเสร็จแก่จำเลยมีความหมายเป็นที่เข้าใจได้ว่าจำเลยขอให้ศาลบังคับโจทก์ชำระค่าเช่าฉางแก่จำเลยถือได้ว่าฟ้องแย้งของจำเลยมีคำขอบังคับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4875/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาศาลอุทธรณ์ตั้งผู้จัดการทรัพย์สินร่วมกับจำเลยเดิม ไม่เกินคำขอและชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลสั่งถอดถอนจำเลยออกจากการเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ และแต่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ต่อไป จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ถอดถอนจำเลย และโจทก์ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทรวม 2 ประเด็น คือ สมควรถอดถอนจำเลยจากการเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่หรือไม่ เป็นประเด็นข้อแรกและสมควรตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่หรือไม่เป็นประเด็นข้อ 2 ดังนี้ ที่ศาลอุทธรณ์เห็นสมควรและมีคำพิพากษาตั้งโจทก์เข้าร่วมเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ จึงเป็นการวินิจฉัยในข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นโดยชอบและเป็นคำพิพากษาตามคำขอในประเด็นข้อ 2 ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ที่จำเลยฎีกาเฉพาะข้อกฎหมายว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการทรัพย์ของผู้ไม่อยู่ร่วมกับจำเลยเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันแล้วในศาลชั้นต้นโดยชอบและเป็นการพิพากษาเกินคำขอคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบนั้นเป็นฎีกาเกี่ยวกับคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเพียง 200 บาท ตามบัญชีท้าย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 1 ข้อ 2(ก) เมื่อปรากฏว่าจำเลยเสียค่าขึ้นศาลดังกล่าวเกินมา จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกินให้แก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4875/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอดถอนและแต่งตั้งผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ การวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่เกินคำขอ
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลสั่งถอดถอนจำเลยออกจากการเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ และแต่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ต่อไป จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ถอดถอนจำเลย และโจทก์ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทรวม 2 ประเด็น คือ สมควรถอดถอนจำเลยจากการเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่หรือไม่ เป็นประเด็นข้อแรกและสมควรตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่หรือไม่เป็นประเด็นข้อ 2 ดังนี้ ที่ศาลอุทธรณ์เห็นสมควรและมีคำพิพากษาตั้งโจทก์เข้าร่วมเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ จึงเป็นการวินิจฉัยในข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นโดยชอบ และเป็นคำพิพากษาตามคำขอในประเด็นข้อ 2 ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการทรัพย์ของผู้ไม่อยู่ร่วมกับจำเลย เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันแล้วในศาลชั้นต้นโดยชอบ และเป็นการพิพากษาเกินคำขอคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบนั้น เป็นฎีกาเกี่ยวกับคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเพียง 200 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 1 ข้อ 2(ก)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3643/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออก/ยกเลิกโฉนด เป็นคำขอที่บังคับแก่บุคคลภายนอกที่ไม่เป็นคู่ความ ย่อมไม่ชอบ
โจทก์บรรยายฟ้องไว้ชัดแจ้งว่า จำเลยได้กระทำการซึ่งเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ และฟ้องบังคับจำเลยไม่ให้กระทำการรบกวนสิทธิของโจทก์ ไม่ได้ฟ้องเจ้าพนักงานที่ดินเป็นจำเลยด้วยแต่อย่างใด ฉะนั้น ที่โจทก์มีคำขอให้เจ้าพนักงานที่ดินยกเลิกการออกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลย และออกโฉนดให้แก่โจทก์จึงเป็นคำขอที่บังคับแก่บุคคลภายนอกที่ไม่ได้เป็นคู่ความในคดี คำขอของโจทก์จึงไม่ชอบและไม่อาจบังคับได้ ป.วิ.พ. มาตรา 145 (2) เป็นเรื่องคำพิพากษาที่วินิจฉัยข้อกรรมสิทธิ์เป็นคุณแก่โจทก์สามารถใช้ยันแก่บุคคลภายนอกได้หาใช่เป็นเรื่องบังคับให้เจ้าพนักงานที่ดินกระทำการหรือไม่กระทำการแต่อย่างใดไม่
ปัญหาว่าศาลไม่อาจบังคับจำเลยตามคำขอของโจทก์ได้ เพราะเป็นการบังคับบุคคลภายนอก และมิได้เข้ามาเป็นคู่ความในคดี เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลจึงมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นกล่าวอ้าง
ป.ที่ดิน มาตรา 60 เป็นเรื่องที่มีกรณีโต้แย้งสิทธิกันเกี่ยวกับการออกโฉนดที่ดิน และไม่อาจตกลงกันได้ในชั้นเจ้าพนักงานที่ดิน และต้องฟ้องคดีต่อศาลซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินจะต้องรอเรื่องไว้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาอย่างหนึ่งอย่างใด แล้วจึงให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการต่อไป หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องจำเลยแล้วมีคำขอให้บังคับแก่เจ้าพนักงานที่ดินโดยไม่ได้ฟ้องเจ้าพนักงานที่ดินมาด้วยดังเช่นกรณีของโจทก์ไม่
ปัญหาว่าศาลไม่อาจบังคับจำเลยตามคำขอของโจทก์ได้ เพราะเป็นการบังคับบุคคลภายนอก และมิได้เข้ามาเป็นคู่ความในคดี เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลจึงมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นกล่าวอ้าง
ป.ที่ดิน มาตรา 60 เป็นเรื่องที่มีกรณีโต้แย้งสิทธิกันเกี่ยวกับการออกโฉนดที่ดิน และไม่อาจตกลงกันได้ในชั้นเจ้าพนักงานที่ดิน และต้องฟ้องคดีต่อศาลซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินจะต้องรอเรื่องไว้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาอย่างหนึ่งอย่างใด แล้วจึงให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการต่อไป หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องจำเลยแล้วมีคำขอให้บังคับแก่เจ้าพนักงานที่ดินโดยไม่ได้ฟ้องเจ้าพนักงานที่ดินมาด้วยดังเช่นกรณีของโจทก์ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2395/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่อาจบังคับได้เนื่องจากคำขอท้ายฎีกาไม่ตรงกับประเด็นที่ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์พิจารณา
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้บังคับเจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนแบ่งแยกออกโฉนดใหม่ให้แก่ อ. ซึ่งเป็นผู้ได้กรรมสิทธิ์บางส่วนในที่ดินมีโฉนดมาโดยการครอบครอง แต่คำขอท้ายฎีกาของผู้ร้องกลับขอให้ศาลฎีกาพิพากษาเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นในอีกคดีหนึ่งที่สั่งอายัดที่ดินดังกล่าวเพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินได้จดทะเบียนการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์บางส่วนในที่ดินโดยการครอบครองให้มาเป็นกรรมสิทธิ์ของ อ. ต่อไป จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่อาจบังคับให้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1236/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้ทางพิพาทโดยยินยอมไม่ก่อให้เกิดภาระจำยอม และประเด็นการพิพากษาเกินคำขอ
โจทก์ใช้ทางพิพาทโดย ส.เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินยินยอมให้ใช้ เมื่อเป็นการใช้โดยเจ้าของที่ดินยินยอม แม้จะเป็นเวลานานเท่าใดก็ไม่ได้ภาระจำยอม
โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาเกินคำขออุทธรณ์ของโจทก์เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องแล้ว ก็ต้องวินิจฉัยในประเด็นข้อต่อไปว่าโจทก์ทั้งสี่ได้สิทธิภาระจำยอมบนถนน จะมีสิทธิขอให้จำเลยทั้งสี่รื้อถอนกำแพงออกจากถนนพิพาทได้หรือไม่ และตามคำฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์ได้สิทธิภาระจำยอมบนถนนพิพาท ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันรื้อถอนกำแพงออกไป และในอุทธรณ์ของโจทก์ก็มีคำขอให้พิพากษาตามฟ้องของโจทก์ด้วย การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวจึงมิได้พิพากษาเกินคำขอ
โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาเกินคำขออุทธรณ์ของโจทก์เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องแล้ว ก็ต้องวินิจฉัยในประเด็นข้อต่อไปว่าโจทก์ทั้งสี่ได้สิทธิภาระจำยอมบนถนน จะมีสิทธิขอให้จำเลยทั้งสี่รื้อถอนกำแพงออกจากถนนพิพาทได้หรือไม่ และตามคำฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์ได้สิทธิภาระจำยอมบนถนนพิพาท ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันรื้อถอนกำแพงออกไป และในอุทธรณ์ของโจทก์ก็มีคำขอให้พิพากษาตามฟ้องของโจทก์ด้วย การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวจึงมิได้พิพากษาเกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4405/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอให้ไต่สวนราคาทรัพย์ขายทอดตลาดต้องมีคำขอให้ยกเลิกการขาย หากศาลไต่สวนแต่ไม่ยกเลิก ก็ไม่เป็นผล
ตามคำร้อง ของ จำเลยเพียงแต่ขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องเพื่อขอให้จำเลยพิสูจน์ถึงราคาทรัพย์ที่ขายทอดตลาดที่แท้จริงดังนั้น แม้หากศาลได้ไต่สวนคำร้อง ของ จำเลยตามที่จำเลยฎีกา กรณีก็ไม่อาจยกเลิกการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดได้เนื่องจากจำเลยมิได้มีคำขอมาเช่นนั้น จึงต้องยกคำร้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2588/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษฐานบุกรุกเมื่อฟ้องพยายามลักทรัพย์: ศาลไม่ถือว่าเป็นการลงโทษนอกคำขอ
โจทก์บรรยายฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามลักทรัพย์ และฐานบุกรุกตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80,335,362,364,365ทั้งสองกระทงความผิดเมื่อได้ความตามทางพิจารณาว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิดฐานพยายามลักทรัพย์แต่กระทำผิดฐานบุกรุกเท่านั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยฐานบุกรุกได้ไม่เป็นการลงโทษนอกคำขอของโจทก์