คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ชดใช้ค่าเสียหาย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 321 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 706/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการพิพากษาชดใช้ค่าเสียหายเมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยต้องรับผิด
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากลูกจ้างจำเลยกระทำละเมิดในทางการที่จ้างเป็นเหตุให้สามีโจทก์ถึงแก่ความตายศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ การที่โจทก์กล่าวไว้ท้ายอุทธรณ์ว่า ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ ย่อมเข้าใจได้ว่าโจทก์ประสงค์ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามจำนวนที่โจทก์ขอมาท้ายฟ้อง เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์ ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้องแก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6405/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้ขนส่งสินค้าทางทะเล, เหตุสุดวิสัย, และการชดใช้ค่าเสียหายตามสัญญาประกันภัย
จำเลยเป็นผู้ขนส่งสินค้าอ้างว่าสินค้าได้รับความเสียหายเพราะเหตุสุดวิสัยจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดจำเลยมีหน้าที่นำสืบว่าสินค้าดังกล่าวได้รับความเสียหายเพราะเหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา616 ในการขนส่งสินค้าทางทะเลข้อที่จำเลยนำสืบคงได้ความเพียงว่าในระหว่างการขนสินค้าได้เกิดพายุขึ้นและมีคลื่นใหญ่เท่านั้นจำเลยมิได้นำสืบว่ากรณีดังกล่าวมีความร้ายแรงผิดปกติจนไม่อาจคาดหมายได้หรือมิอาจป้องกันมิให้สินค้าเสียหายไว้ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าคลื่นลมและสภาวะอากาศดังกล่าวเป็นเหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา8 ผู้ร้องสอดใช้สิทธิร้องสอดเข้าแทนที่โจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา57(2)จึงมีฐานะเสมอด้วยโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความที่ผู้ร้องสอดเข้าแทนที่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา58วรรคสองเมื่อจำเลยไม่ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์จำเลยย่อมไม่มีสิทธิยกข้อต่อสู้ดังกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้ร้องสอด พระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเลพ.ศ.2534ไม่มีผลย้อนหลังเมื่อปรากฏว่าพระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่21กุมภาพันธ์พ.ศ.2535ซึ่งเป็นเวลาหลังจากเกิดเหตุคดีนี้จึงไม่มีผลบังคับแก่คดีนี้ฎีกาของจำเลยที่ว่าจำเลยไม่ใช่ผู้ขนส่งตามความหมายในพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงไม่จำต้องวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6141/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรื้อกำแพงต่อเติมที่บังทัศนียภาพและทางลม และการชดใช้ค่าเสียหายจากการกระทำละเมิด
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อกำแพงคอนกรีตที่สร้างต่อเติมติดกับบ้านโจทก์ออกและทำให้กลับสู่สภาพเดิมและจากการที่จำเลยทุบคานและฝาผนังภายในบ้านจำเลยทำให้บ้านโจทก์แตกร้าวเสียหายให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย85,000บาทแก่โจทก์ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย30,000บาทแก่โจทก์คำขออื่นให้ยกโจทก์และจำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยรื้อกำแพงที่สร้างต่อเติมด้านที่ติดกับบ้านพิพากษาออกและทำรั่วบ้านและฝาผนังบ้านกลับสู่สภาพเดิมผลเท่ากับพิพากษายืนคำพิพากษาศาลชั้นต้นในกรณีที่จำเลยทำละเมิดโจทก์ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย30,000บาทที่จำเลยฎีกาว่าการกระทำของจำเลยมิได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์และค่าเสียหายโจทก์ไม่เกิน10,000บาทเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงทุนทรัพย์ที่ฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248 คดีมีปัญหาว่ากำแพงที่จำเลยสร้างต่อเติมด้านที่ติดกับบ้านโจทก์บังทิศทางลมที่พัดมาจากทะเลสู่ห้องนอนโจทก์หรือไม่เป็นปัญหาขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5832/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อสิทธิเช่าซื้อผิดสัญญา การเลิกสัญญา และการคืนเงิน/ชดใช้ค่าเสียหายจากการใช้ประโยชน์
โจทก์ทำสัญญาซื้อสิทธิเช่าซื้อบ้านพิพาทจากจำเลยและชำระเงินแก่จำเลยครั้งแรก 50,000 บาท แล้วโจทก์ค้างชำระค่าเช่าซื้อแก่ผู้ให้เช่าซื้อ ต่อมาจำเลยกับพวกมาที่ บ้านพิพาท จำเลยพูดขับไล่ ส. บุตรโจทก์ออกจากบ้านพิพาทถ้าไม่ออกจะเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาจับ ส. และ น.กลัวจึงขนของออกแล้วจำเลยปิดประตูใส่กุญแจบ้านพิพาทเมื่อการกระทำของจำเลยเป็นการผิดสัญญาและเป็นการแสดงเจตนา เลิกสัญญา ดังนี้เมื่อโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลย สัญญาซื้อสิทธิเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยจึงเลิกกันคู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 กล่าวคือ จำเลยต้องคืนเงินที่โจทก์ชำระไปแล้วจำนวน 50,000 บาท กับค่าเช่าซื้อที่โจทก์ชำระแก่ผู้ให้เช่าซื้อแทนจำเลย 18 เดือน เป็นเงิน 65,070 บาทรวมเป็นเงิน 115,070 บาท แต่จำเลยได้มอบบ้านพิพาทให้โจทก์ครอบครองซึ่งเป็นการชำระหนี้บางส่วนแก่โจทก์ เมื่อบุตรโจทก์พักอาศัยอยู่ในบ้านพิพาท เป็นเวลา 49 เดือนเศษ โจทก์จึงต้องให้จำเลยกลับคืนสู่ฐานะเดิมด้วยการใช้เงินตามควรค่าแห่งการใช้บ้านพิพาท ปรากฏว่าการเคหะแห่งชาติคิดค่าเสียหายจากการที่จำเลยไม่ออกจากบ้านพิพาทเดือนละ2,000 บาท ซึ่งศาลเห็นว่าเป็นอัตราที่สมควร จึงกำหนดค่าที่โจทก์ได้ใช้ประโยชน์จากการอยู่บ้านพิพาทคิดเป็นเงิน98,000 บาท ซึ่งโจทก์จะต้องชำระแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคสาม เมื่อหักกลบลบกันแล้วจำเลยต้องคืนเงินแก่โจทก์ 17,070 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่เลิกสัญญาจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5782/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทเลินเล่อของจำเลยในการก่อสร้างทางหลวงทำให้เกิดอุบัติเหตุถึงแก่ความตาย จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย
กรมทางหลวงจำเลยขุดดินมากองไว้บนถนนทางหลวงที่ใช้สำหรับยวดยานพาหนะผ่านไปมาในลักษณะกีดขวางการจราจรในช่องเดินรถของผู้ตายโดยเพิ่งขุดกองไว้ในวันเกิดเหตุแต่มิได้ติดตั้งป้ายสัญญาณหรือไฟสัญญาณเตือนให้ผู้ขับยวดยานพาหนะผ่านไปมาทราบว่ามีกองกินอยู่ข้างหน้าจำเลยย่อมคาดได้แต่แรกว่าหากไม่มีป้ายสัญญาณและไฟสัญญาณในเวลากลางคืนให้เห็นชัดเจนแล้วก็อาจเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายจากกองดินดังกล่าวได้โดยง่ายเป็นการประมาทเลินเล่ออย่างมากการที่ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ในช่องเดินรถของตนในเวลากลางคืนด้วยความเร็วธรรมดาโดยไม่มีโอกาสเห็นกองดินที่จำเลยดำเนินการขุดไว้ข้างหน้าตามสมควรจนทำให้รถผู้ตายชนกองดินดังกล่าวเป็นผลโดยตรงจากการประมาทเลินเล่อของจำเลยจำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ แม้โจทก์จะได้รับเงินทำบุญในการจัดงานศพก็ถือว่าเป็นเงินที่ให้แก่กันตามประเพณีในสังคมจึงเป็นคนละส่วนกันค่าใช้จ่ายในการปลงศพไม่อาจนำมาหักออกจากค่าปลงศพที่โจทก์ได้จ่ายไปจริงเพื่อลดภาระหนี้ที่จำเลยทำละเมิดได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5177/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผูกพันของข้อตกลงชดใช้ค่าเสียหายและการเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้กระทำละเมิดและผู้ว่าจ้าง
จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 นายจ้างไปในทางการที่จ้างชนท้ายรถยนต์ของโจทก์ซึ่ง ร. ภรรยาโจทก์เป็นผู้ขับได้รับความเสียหายต่อมาจำเลยที่ 1 ทำบันทึกตกลงชดใช้ค่าเสียหายกับ ร. มีข้อความว่า จำเลยที่ 1ยอมชดใช้ค่าเสียหายที่รถยนต์โจทก์เสียหายแก่ ร. จำนวน 30,990 บาท ร.ตกลงตามข้อเสนอของจำเลยที่ 1 และมีข้อความต่อไปว่าการตกลงครั้งนี้จะยังไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 เท่านั้น จำเลยที่ 2 จะคงผูกพันอยู่จนกว่า ร. จะได้รับเงินจำนวนดังกล่าวครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว ร. จึงจะไม่ติดใจเรียกร้องใด ๆ กับจำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 2 อีก แม้จำเลยที่ 2 มิได้ร่วมลงลายมือในบันทึกก็ตามแต่ข้อความตอนท้ายของบันทึกดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงเจตนาของฝ่ายโจทก์ว่า หากจำเลยที่ 1 ยังไม่ชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ครบถ้วน โจทก์ก็ยังมิได้สละสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายในมูลละเมิดจากจำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเสียหายให้โจทก์ตามที่ได้ตกลงไว้ หนี้ในมูลละเมิดจึงยังไม่ระงับ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ได้ และมีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหายในมูลละเมิดได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5177/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงชดใช้ค่าเสียหายไม่ระงับสิทธิเรียกร้องจากผู้กระทำละเมิด หากอีกฝ่ายไม่ชำระหนี้
จำเลยที่1ขับรถยนต์ของจำเลยที่2นายจ้างไปในทางการที่จ้างชนท้ายรถยนต์ของโจทก์ซึ่งร. ภรรยาโจทก์เป็นผู้ขับได้รับความเสียหายต่อมาจำเลยที่1ทำบันทึกตกลงชดใช้ค่าเสียหายกับร. มีข้อความว่าจำเลยที่1ยอมชดใช้ค่าเสียหายที่รถยนต์โจทก์เสียหายแก่ร. จำนวน30,990บาทร. ตกลงตามข้อเสนอของจำเลยที่1และมีข้อความต่อไปว่าการตกลงครั้งนี้จะยังไม่ผูกพันจำเลยที่1เท่านั้นจำเลยที่2จะคงผูกพันอยู่จนกว่าร. จะได้รับเงินจำนวนดังกล่าวครบถ้วนเรียบร้อยแล้วร. จึงจะไม่ติดใจเรียกร้องใดๆกับจำเลยที่1หรือจำเลยที่2อีกแม้จำเลยที่2มิได้ร่วมลงลายมือในบันทึกก็ตามแต่ข้อความตอนท้ายของบันทึกดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงเจตนาของฝ่ายโจทก์ว่าหากจำเลยที่1ยังไม่ชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ครบถ้วนโจทก์ก็ยังมิได้สละสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายในมูลละเมิดจากจำเลยที่2เมื่อจำเลยที่1ผิดนัดไม่ชำระค่าเสียหายให้โจทก์ตามที่ได้ตกลงไว้หนี้ในมูลละเมิดจึงยังไม่ระงับโจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยที่1ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ได้และมีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยที่2ชดใช้ค่าเสียหายในมูลละเมิดได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4990/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การละเสียอายุความ: การยอมชดใช้ค่าเสียหายโดยไม่ยกอายุความถือเป็นการละเสียสิทธิเรียกร้อง
โจทก์ฟ้องคดีละเมิดเกินกว่า 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วโจทก์ก็ไม่จำต้องบรรยายฟ้องว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความเพราะเหตุใด เพราะอายุความมิใช่สภาพแห่งข้อหาที่จำเป็นต้องบรรยายในฟ้อง โจทก์ติดต่อจำเลยเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดจากมูลละเมิดจำเลยยอมชดใช้ค่าเสียหายเพียงบางส่วนจำนวน10,000 บาท แก่โจทก์ ไม่ได้ยกอายุความขึ้นปฏิเสธความรับผิดแม้สิทธิเรียกร้องของโจทก์ขาดอายุความแล้ว ก็ถือเป็นการแสดงออกโดยปริยายว่าได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความนั้นแล้ว การละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความไม่จำต้องแสดงเจตนาโดยชัดแจ้งเพียงอย่างเดียว จำเลยจึงไม่อาจอ้างอายุความมาปฏิเสธความรับผิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 192 เดิม และการนับอายุความต้องเริ่มนับต่อไปใหม่เสมือนไม่เคยนับอายุความมาก่อนโดยถืออายุความแห่งมูลหนี้เดิม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4990/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความสะดุดจากการชดใช้ค่าเสียหายบางส่วนของจำเลย ย่อมทำให้การนับอายุความเริ่มใหม่
โจทก์ไม่จำเป็นต้องบรรยายหรือกล่าวในฟ้องด้วยว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความเพราะเหตุใดเพราะอายุความมิใช่สภาพแห่งข้อหาที่จำเป็นต้องบรรยายหรือกล่าวในฟ้อง โจทก์ติดต่อกับจำเลยที่2เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจำเลยที่2ยอมชดใช้ค่าเสียหายเพียง10,000บาทแก่โจทก์แสดงว่าจำเลยที่2ไม่ได้ยกอายุความขึ้นปฏิเสธความรับผิดค่าเสียหายต่อโจทก์แม้สิทธิเรียกร้องของโจทก์ขาดอายุความแล้วก็ตามถือเป็นการแสดงออกโดยปริยายว่าได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความนั้นแล้วการละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความหาจำต้องแสดงเจตนาโดยชัดแจ้งเพียงอย่างเดียวไม่จำเลยที่2จึงไม่อาจอ้างอายุความมาเป็นข้อตัดฟ้องเพื่อปฏิเสธความรับผิดตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา192เดิม(มาตรา193/24ใหม่)การนับอายุความจึงเริ่มนับต่อไปใหม่เสมือนไม่เคยนับอายุความมาก่อนโดยถืออายุความแห่งมูลหนี้เดิมคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดโจทก์ยื่นคำฟ้องวันที่16ตุลาคม2532นับอายุความเริ่มต่อไปใหม่ตั้งแต่เดือนกันยายน2532จนถึงวันฟ้องยังไม่เกิน1ปีคดีโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่2จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4858/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บังคับให้โอนที่ดิน: ศาลฎีกายืนบังคับให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ หากไม่ทำตามให้คืนเงินและชดใช้ค่าเสียหาย
คดีเดิมศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ได้ให้จำเลยที่ 1 คืนเงินค่ามัดจำ และชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามฟ้องให้แก่โจทก์หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามให้จำเลยที่ 1 คืนเงินมัดจำและค่าเสียหายแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยศาลฎีกาตัดข้อความในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ส่วนที่ระบุว่า "...หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย..." ออกเพราะว่าในขณะที่ศาลฎีกามีคำพิพากษานั้น จำเลยที่ 1 ได้ทำนิติกรรมโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ไปแล้วและเพื่อให้เป็นไปตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์เท่านั้น การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เป็นคดีนี้แสดงให้เห็นว่าโจทก์ยังประสงค์จะให้บังคับจำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ เพราะหากศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี โจทก์ก็อาจขอให้บังคับจำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ก่อนได้ อันเป็นการบังคับให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติไปตามลำดับคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ในคดีเดิม หาใช่ให้จำเลยที่ 1 เลือกปฏิบัติ โดยเลือกคืนมัดจำและค่าเสียหายแทนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ได้ไม่
of 33