คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ซื้อขาย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,032 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6549/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายไม่สมบูรณ์เมื่อยังไม่ได้ติดตั้งสินค้า ผู้ซื้อมีสิทธิระงับการจ่ายเช็คและเลิกสัญญาได้
ส. สั่งซื้อเครื่องเสียงจากโจทก์โดยชำระราคาให้บางส่วน ที่เหลือได้ออกเช็คให้โจทก์ไว้ ซึ่งการส่งมอบโอนกรรมสิทธิ์เครื่องเสียงซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญาซื้อขายจะสำเร็จครบถ้วนได้ก็ด้วยการที่โจทก์จะต้องติดตั้งให้เรียบร้อยก่อน การที่โจทก์นำเครื่องเสียงส่วนหนึ่งไปติดตั้งให้แล้วคิดเป็นเงิน 100,000 บาทเศษ ส่วนที่เหลือยังไม่ได้ติดตั้ง ส.จึงสั่งจ่ายเช็คสองฉบับ ฉบับแรกจำนวนเงิน 200,000 บาท ซึ่งโจทก์ได้รับชำระเงินไปแล้ว อีกฉบับคือเช็คพิพาท ลงวันที่ 8 ตุลาคม 2537 ซึ่งเห็นได้ชัดแจ้งว่าในการชำระราคานั้น ส. ชำระให้เฉพาะส่วนที่ส่งมอบด้วยการติดตั้งแล้วส่วนเช็คพิพาทลงวันที่ล่วงหน้าระยะเวลานานเพราะถือว่ายังไม่ได้ติดตั้งจึงไม่เป็นการส่งมอบที่สมบูรณ์ เมื่อปรากฏว่าสินค้าที่โจทก์ติดตั้งให้ในคราวแรกนั้นมีความชำรุดบกพร่อง ส. จึงมีสิทธิสั่งธนาคารให้ระงับการชำระเงินตามเช็คพิพาทได้เมื่อการซื้อขายยังไม่เสร็จสมบูรณ์แม้ต่อมาส. จะถึงแก่ความตาย จำเลยซึ่งเป็นทายาทของ ส. ได้ตกลงเลิกสัญญากับโจทก์โดยโจทก์ยอมรับสินค้าคืน โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับชำระราคาสินค้า จำเลยก็ไม่มีหน้าที่ชำระเงินตามเช็คพิพาทให้โจทก์เช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6526/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปฏิเสธหนี้และการนำสืบเพื่อสนับสนุนข้อปฏิเสธ: ไม่ถือว่าเป็นการนำสืบนอกประเด็น
จำเลยให้การปฏิเสธเรื่องการซื้อขายกับโจทก์โดยอ้างเหตุว่าไม่เคยมีการสั่งซื้อหรือรับวัสดุก่อสร้างจากโจทก์เลย ทั้งยังให้การต่อไปอีกว่าจำเลยไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์มาก่อนโจทก์นำความเท็จมาฟ้อง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้องคำให้การของจำเลยดังกล่าวได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้น รวมทั้งเหตุแห่งการนั้นแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จำเลยจึงนำสืบได้ว่า จำเลยได้ว่าจ้าง ล. รับเหมาก่อสร้างอาคารพาณิชย์ซึ่งรวมทั้งค่าแรงและค่าวัสดุก่อสร้างด้วยที่ ล ติดต่อซื้อวัสดุก่อสร้างจากโจทก์ จำเลยไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย อันเป็นการนำสืบในรายละเอียดเพื่อสนับสนุนข้อปฏิเสธของตน ไม่เป็นการนำสืบนอกประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5602/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดิน: การซื้อขายที่ดินทับซ้อนกับผู้ครอบครองเดิม ศาลยืนตามสิทธิผู้ครอบครอง
จำเลยที่ 2 ขายที่ดินพิพาทและส่งมอบที่ดินที่ขายให้แก่โจทก์ครอบครองแล้ว โดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้ขายและจำเลยที่ 2 ทำสัญญาไว้เป็นสาระสำคัญต่อโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์รวมกับที่ดินของจำเลยที่ 2 แล้วจึงจะโอนแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 2 แล้วครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาก่อนที่จำเลยที่ 1 จะได้ซื้อที่ดินของจำเลยที่ 2 โจทก์ย่อมเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 2 ชอบที่จะแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามข้อตกลงกัน การที่จำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 2 โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น เมื่อตามสัญญาปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ระบุข้อความไว้เองว่า ซื้อที่นา ไม่ได้ซื้อที่ดินพิพาทด้วย เนื่องจากที่ดินพิพาทมีสิ่งปลูกสร้าง อีกทั้งก่อนที่จำเลยที่ 1 จะซื้อก็ได้ไปดูที่ดินแล้วก็เห็นว่าโจทก์ปลูกบ้านอยู่ เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทมาก่อน และโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาโดยสุจริต เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายครอบครองและร้องขอต่อศาลให้ปลดเปลื้องการรบกวนของจำเลยที่ 1 ที่ให้โจทก์รื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินพิพาท การใช้สิทธิของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5279/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดินสาธารณสมบัติ: การซื้อขายและการเช่าที่ดินในเขตป่าสงวนมีผลต่อสิทธิอย่างไร
ที่ดินพิพาทเดิมเป็นที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติจึงเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน การเข้ายึดถือครอบครองย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีผลให้ราษฎรผู้ครอบครองไม่อาจยกสิทธิใด ๆ ขึ้นโต้แย้งรัฐได้ แต่ในระหว่างราษฎรด้วยกันย่อมยกการยึดถือครอบครองก่อนขึ้นยันคนอื่นที่เข้ามารบกวนได้ การยึดถือครอบครองเช่นนี้สามารถเปลี่ยนมือกันได้ด้วยการส่งมอบการครอบครองให้หรือสละการครอบครองเมื่อโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจาก ช. บิดาจำเลย โจทก์จึงได้มาซึ่งสิทธิในการยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทแต่ผู้ยึดถือครอบครองที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเช่นนี้จะหวงกันผู้อื่นได้แต่ขณะที่ตนยังยึดถือครอบครองอยู่เท่านั้น ดังนั้น การที่โจทก์ให้จำเลยและผู้อื่นเช่าที่ดินพิพาทจึงเป็นการกระทำที่ไม่มีสิทธิเพราะเท่ากับนำที่ดินของรัฐไปให้บุคคลอื่นเช่าโดยรัฐไม่ยินยอมและมีผลเป็นการมอบการยึดถือครอบครองให้จำเลยและผู้เช่าอื่น ทำให้โจทก์ขาดการยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทจำเลยจึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5205/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ แม้การซื้อขายตกเป็นโมฆะ แต่เจตนาสละการครอบครองทำให้ผู้ครอบครองได้กรรมสิทธิ์
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 24 ที่ให้ศาลมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายนั้น กฎหมายมีความประสงค์จะให้ใช้ในศาลชั้นต้นเท่านั้น ดังจะเห็นได้ว่าวรรคสุดท้ายของมาตรา 24 ดังกล่าวได้บัญญัติไว้ว่าคำสั่งใด ๆ ของศาลที่ได้ออกตามมาตรานี้ให้อุทธรณ์และฎีกาได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 227 , 228 และ 247 ผู้คัดค้านจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย
การซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่าง จ. และ ช. กับผู้ร้องไม่ได้ไปดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การซื้อขายที่ดินดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆะ แต่ผู้ร้องได้ชำระเงินค่าที่ดินให้แก่ จ. และ ช. ครบถ้วนแล้ว จ. และ ช. ก็ได้มอบโฉนดที่ดินพร้อมกับทำหนังสือมอบอำนาจให้ผู้ร้องไปดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าว นอกจากนี้ในการซื้อขายที่ดินดังกล่าวนี้ จ. และ ช. และผู้ร้องได้ร่วมกันทำบันทึกข้อตกลงกันไว้ว่า จ. และ ช. ได้ลงชื่อและพิมพ์มือในใบมอบอำนาจพร้อมทั้งมอบโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ร้องเพื่อนำไปโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใดได้นับแต่วันทำบันทึกเป็นต้นไปโดยไม่จำกัดเวลา แสดงให้เห็นเจตนาของ จ. และ ช. ว่าต้องการมอบอำนาจเด็ดขาดให้ผู้ร้องไปจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ซื้อขายให้แก่ผู้ใดและเวลาใดก็ได้สุดแล้วแต่ผู้ร้อง ทั้งไม่มีข้อจำกัดว่าการโอนกรรมสิทธิ์ขายที่ดินที่ผู้ร้องได้รับมอบอำนาจดังกล่าวนี้ ผู้ร้องจะต้องขายที่ดินดังกล่าวในราคาเท่าใด ก็สุดแล้วแต่ความพอใจของผู้ร้อง หลังจากที่ จ. และ ช. มอบโฉนดที่ดินและมอบอำนาจให้ผู้ร้องแล้วก็ไม่ปรากฏว่า จ. และ ช. ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดินอีกเลย จนกระทั่ง จ. ถึงแก่ความตาย พฤติการณ์ของ จ. และ ช. ดังกล่าวถือได้ว่ามีเจตนาสละการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้อง การที่ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาท ต่อมาฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินดังกล่าวแทน จ. และ ช. เมื่อผู้ร้องได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 30 ปี ไม่เคยมีผู้ใดโต้แย้งหรือคัดค้านผู้ร้อง การที่ผู้ร้องครอบครองที่ดินดังกล่าวโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันตลอดมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4999/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวแทนเชิด การซื้อขายคอนกรีต และการรับผิดชอบหนี้ แม้มิได้ระบุในฟ้อง โจทก์นำสืบได้
แม้โจทก์จะฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันซื้อคอนกรีตผสมเสร็จจากโจทก์ แต่การสั่งซื้อคอนกรีตผสมเสร็จของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3 ได้สั่งซื้อเพื่อใช้ในการสร้างบ้านเรือนแถวให้แก่จำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 นำรายจ่ายค่าวัสดุนี้ไปหักจากบัญชีของจำเลยที่ 1 ดังนั้นจำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการสั่งซื้อคอนกรีตผสมเสร็จของโจทก์โดยตรงแม้จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะเป็นผู้สั่งซื้อจากโจทก์ แต่ตามพฤติการณ์แล้วจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3 ได้สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์เพื่อจำเลยที่ 1 นั่นเอง จำเลยที่ 2และที่ 3 จึงเป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1 แม้โจทก์จะมิได้ กล่าวในฟ้องเกี่ยวกับการเป็นตัวแทน โจทก์ก็นำสืบในเรื่องนี้ได้เพราะ เป็นการนำสืบข้อเท็จจริงในรายละเอียดเนื่องจากในการติดต่อทำสัญญาซื้อขาย กันอาจทำโดยตนเองหรือมีตัวแทนไปติดต่อทำสัญญาซื้อขายแทนก็ได้ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4708/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อหากำไร และหน้าที่เสียภาษี
แม้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่า พยานหลักฐานยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีรายรับจากการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางการค้าหรือหากำไรอันเข้าลักษณะประเภทการค้า 11 การค้าอสังหาริมทรัพย์ และให้ปลดภาษีการค้าแก่โจทก์ แต่คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ก็ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติให้ศาลจำต้องถือตาม
โจทก์ซื้อที่ดินพิพาท จำนวน 3 โฉนด เป็นเงิน 7,000,000 บาทจาก ส. ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2528 โจทก์ได้ จ่ายเงินเกี่ยวกับที่ดินพิพาทเป็นค่าถมที่ดินและค่าจ้างเหมารื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ปรับ ขุด ถอน และขนต้นไม้ไปทิ้ง เป็นเงิน 3,400,000 บาท เห็นได้ชัดว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทแล้วปรับปรุงไว้เพื่อประโยชน์ในทางการค้าหรือหากำไร โจทก์ถือครองเพียง 3 ปีเศษ แล้วขายไปเป็นเงิน 16,340,000 บาท พฤติการณ์แสดงว่าโจทก์ซื้ออสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวมาโดยมีเจตนามุ่งในทางการค้าหรือหากำไร แม้จะกระทำเพียงครั้งเดียวก็ถือได้ว่าเป็นการขายโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเลือกที่จะไม่นำเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวรวมกับเงินได้อื่นตาม ป. รัษฎากร มาตรา 48 (4)
โจทก์มีพฤติการณ์เป็นผู้ซื้อและขายอสังหาริมทรัพย์โดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไรมีหน้าที่ต้องเสีย ภาษีการค้าและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีและการที่โจทก์ได้รับประโยชน์จากคำวินิจฉัยอุทธรณ์เกี่ยวกับภาษีการค้าที่ให้ปลดภาษีการค้าไปแล้ว นับว่าเป็นประโยชน์แก่โจทก์ จึงไม่มีเหตุที่จะงดหรือ ลดเบี้ยปรับแต่อย่างใด
กรณีเงินเพิ่มตามมาตรา 27 แห่ง ป.รัษฎากรนั้น กฎหมายกำหนดไว้แน่นอนโดยไม่มีข้อยกเว้นให้งดได้และ จะลดได้ก็จะต้องเป็นไปตามกฎหมาย ศาลจึงไม่อาจพิจารณางดหรือลดได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 261/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาการกระทำความผิดร่วม ลักทรัพย์ จำเลยต้องรู้ว่าการซื้อขายไม่สำเร็จ
จำเลยที่ 1 ได้ติดต่อขอซื้อยูคาลิปตัส จากที่ดินของผู้เสียหายแล้ว เพียงแต่ยังมิได้มีการตกลงราคากันให้แน่นอน จำเลยที่ 2 ได้เข้ามาในที่เกิดเหตุและช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ในการตัดต้นยูคาลิปตัส โดยได้กระทำการโดยเปิดเผยมีการจ้างคนงานหลายคน ใช้เวลาในการตัดทั้งกลางวันและกลางคืน เป็นเวลานานถึง 17 วัน ประกอบกับจำเลยที่ 1 มีอาชีพซื้อต้นยูคาลิปตัส เพื่อตัดส่งโรงงานข้อเท็จจริงจึงยังเป็นที่น่าสงสัยว่า จำเลยที่ 2 จะรู้หรือไม่ว่าการตกลงซื้อขายกันยังไม่สำเร็จบริบูรณ์ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นผลดีแก่จำเลยที่ 2 ยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาร่วมลักทรัพย์ ต้นยูคาลิปตัส กับจำเลยที่ 1 เมื่อโจทก์สืบไม่ได้ว่าพวกจำเลยอีก 1 คน ซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้ร่วมกระทำผิดด้วย จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกในการ พาทรัพย์นั้นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1) วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย มาตรา 336 ทวิ แต่ไม่ผิดฐานร่วมกระทำความผิด ด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปตามมาตรา 335(7) โดยที่ปัญหานี้ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยที่ 1 มิได้ฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2305/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวแทนเชิด/ตัวแทนจำลอง: การรับผิดในสัญญาซื้อขายเมื่อมีเจตนาซ่อนเร้นและความร่วมมือในการดำเนินงาน
แม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะตกลงให้จำเลยที่ 3 รับเหมาช่วงงานก่อสร้างบางส่วนแต่ตามข้อเท็จจริงมีพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้เชิดจำเลยที่ 3 ผู้รับเหมาช่วงออกแสดงเป็นตัวแทนหรือรู้แล้วยอมให้จำเลยที่ 3 เชิดตัวเองออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในการติดต่อซื้อวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างจากโจทก์ เมื่อโจทก์ เชื่อโดยสุจริตว่าจำเลยที่ 3 ได้สั่งซื้ออุปกรณ์การก่อสร้าง จากโจทก์แทนและในนามจำเลยที่ 1 มิใช่กระทำเป็นส่วนตัว ของจำเลยที่ 3 แต่อย่างใด จำเลยที่ 1 ตัวการจึงต้องรับผิด ในผลแห่งการกระทำของจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นตัวแทน จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระราคาค่าสินค้าที่ค้างชำระให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 และเป็น หุ้นส่วนที่ไม่จำกัดความรับผิดจึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ด้วย แต่จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว ตามคำฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทน หรือตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1 ในการติดต่อซื้อวัสดุอุปกรณ์ การก่อสร้างจากโจทก์ ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระ เงินค่าสินค้าที่ค้างชำระแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยโดยมิได้ กล่าวอ้างเลยว่าจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 1 ดำเนินกิจการก่อสร้าง ร่วมกัน กรณีจึงเป็นเรื่องที่โจทก์มิได้ฟ้องให้จำเลยที่ 3 รับผิดต่อโจทก์เพราะเหตุที่จำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 1 ดำเนินกิจการก่อสร้างร่วมกันตามที่โจทก์ยกขึ้นอ้างในฎีกา ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นฎีกาในเรื่องที่เกินไปกว่า หรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องของโจทก์ เป็นข้อที่มิได้ ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2230/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินช่วงล้มละลายเป็นโมฆะ และการครอบครองปรปักษ์ต้องแสดงการยึดถือครอบครองจริง
การซื้อขายที่ดินพิพาทซึ่งทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่ได้กระทำในช่วงเวลาที่โจทก์ถูกศาลสั่ง พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว อำนาจในการจัดการทรัพย์สินย่อม ตกอยู่แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ โจทก์ไม่มีอำนาจกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตนตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 22 และ 24 ดังนั้นการซื้อขายที่ดินพิพาทดังกล่าว จึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113(เดิม)ไม่มีผลบังคับ การซื้อขายที่ดินพิพาทก่อนโจทก์มีสถานะเป็นบุคคลล้มละลาย เมื่อมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456ไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย ไม่อาจฟังว่ามีการซื้อขายที่ดินพิพาท คดีแพ่ง การยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้เป็นการปฏิเสธ ข้ออ้างของโจทก์ จำเลยจะต้องแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การ ว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความเพราะเหตุใด จำเลยให้การแต่เพียงว่า โจทก์จะต้องเรียกร้องภายในกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์ ได้รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืน หรือภายในกำหนด 10 ปี นับแต่ เวลาสิทธินั้นได้มีขึ้นฟ้องโจทก์ขาดอายุความ โดยมิได้แสดงให้ ชัดแจ้งว่าคดีขาดอายุความเรื่องอะไรและเพราะเหตุใด คำให้การ ของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในปัญหาเรื่องอายุความ จึงชอบแล้ว การได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 จะต้องแสดง อาการยึดถือครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเพื่อตนจริง ๆ โดยสงบและโดยเปิดเผยติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ลำพังการมีชื่อ เป็นเจ้าของที่ดินในโฉนดและการเสียภาษีบำรุงท้องที่ย่อม มิใช่เป็นการครอบครองที่ดิน ที่ดินที่พิพาทคือที่ดินโฉนดเลขที่ 102174 แต่ศาลชั้นต้นพิพากษาไปตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์เป็นโฉนดเลขที่ 102175 ก็เนื่องจากการพิมพ์ผิดพลาดจากเลข 4 เป็นเลข 5 มาแต่แรก จึงเป็นข้อผิดพลาดหรือผิดหลงเล็กน้อย ดังนี้ศาลอุทธรณ์ย่อมมี อำนาจแก้ไขได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 วรรคแรก กรณีหาใช่โจทก์นำสืบแตกต่างกับ ฟ้องหรือจำเลยหลงต่อสู้แต่อย่างใดไม่
of 104