พบผลลัพธ์ทั้งหมด 95 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13857-13858/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชอบเมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งระหว่างพิจารณาคดี และการฎีกาที่ไม่ชัดเจนโต้แย้งเหตุผลคำสั่ง
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยแล้วถือว่าคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการเรียกให้จำเลยนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควร จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาคำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 247 ประกอบมาตรา 226 (1) ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาข้อนี้ของจำเลยเป็นการไม่ชอบ จำเลยฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 เกี่ยวกับการงดการบังคับคดีโดยอ้างเพียงว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ได้ระบุชัดแจ้งว่าจำเลยต้องปฏิบัติอย่างไร เช่นนี้ฎีกาของจำเลยจึงมิได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ดังกล่าวว่าไม่ถูกต้องอย่างไร ด้วยเหตุผลใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6396/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์เจตนาสมคบร่วมกันในคดีค้ายาเสพติด: ฎีกาไม่ชอบเมื่อขาดหลักฐานชัดเจนเชื่อมโยงจำเลยกับขบวนการ
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองเป็นตัวแทนของ หจก. ค. ในการติดต่อขอเช่าตู้คอนเทนเนอร์ ว่าจ้างรถบรรทุกขนย้าย ดำเนินการพิธีการศุลกากร ไม่ปรากฏว่าเกี่ยวข้องกับการบรรจุสินค้า ดำเนินการทางพิธีการทางศุลกากรตามปกติ ไม่ทราบว่าเอกสารที่ยื่นปลอม จำเลยทั้งสองอาจไม่ทราบเรื่องกัญชาของกลาง โจทก์ฎีกาว่า การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองกับพวกเป็นการสมคบกันกระทำความผิดโดยมีเจตนาร่วมกันมาตั้งแต่ต้นที่จะกระทำความผิด เป็นการกระทำความผิดที่เป็นขบวนการ แบ่งหน้าที่กันทำตามความเหมาะสม ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ การรู้พื้นที่ที่จะกระทำความผิด แม้จะปรากฏข้อเท็จจริงดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก็ต้องถือว่าการกระทำความผิดดังกล่าวทั้งหมดเป็นการกระทำของผู้ร่วมขบวนการในการกระทำความผิดทุกคน รวมทั้งจำเลยทั้งสองเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดในฐานะตัวการ ฎีกาดังกล่าวของโจทก์มิได้โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ทั้งเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งว่าขบวนการค้ายาเสพติดมีขั้นตอนอย่างไร จำเลยทั้งสองเข้าไปยุ่งเกี่ยวอย่างไร พยานหลักฐานของโจทก์ส่วนใดที่ชี้ชัดว่าจำเลยทั้งสองร่วมขบวนการค้ายาเสพติด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9366/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชอบ หากจำเลยฎีกาให้ยกฟ้องจำเลยอื่นร่วมด้วย การดำเนินคดีกับจำเลยหลบหนีไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา
เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาเพื่อขอให้ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 3 และที่ 4 เสียด้วย เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการฎีกาในปัญหาใดต่อศาลฎีกา เป็นปัญหาเฉพาะตัวของจำเลยแต่ละคน จึงถือว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่มีข้อโต้แย้งและคัดค้านว่าศาลอุทธรณ์พิจารณาและพิพากษาคดีในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ถูกต้องและผิดต่อกฎหมายอย่างใด ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นออกหมายจับจำเลยที่ 3 และที่ 4 เพราะมีพฤติการณ์หลบหนี และมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ชั่วคราว การดำเนินกระบวนพิจารณาต่อจากนั้นไม่ได้กระทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลยที่ 3 และที่ 4 ถือว่ายังไม่ได้มีการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ในศาลชั้นต้น เมื่อไม่ได้มีการยกคดีในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ขึ้นพิจารณา การที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีต่อจากนั้นจึงไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 และที่ 4 คงเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีในส่วนของจำเลยอื่นที่ไม่ได้ถูกจำหน่ายคดี แม้หากคดีนี้จะฟังข้อเท็จจริงได้ดังที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 อ้าง ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่มีความผิดเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็ตาม ก็ไม่อาจถือเป็นเหตุในลักษณะคดีตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ให้มีผลถึงจำเลยที่ 3 และที่ 4 ด้วย
ศาลชั้นต้นออกหมายจับจำเลยที่ 3 และที่ 4 เพราะมีพฤติการณ์หลบหนี และมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ชั่วคราว การดำเนินกระบวนพิจารณาต่อจากนั้นไม่ได้กระทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลยที่ 3 และที่ 4 ถือว่ายังไม่ได้มีการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ในศาลชั้นต้น เมื่อไม่ได้มีการยกคดีในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ขึ้นพิจารณา การที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีต่อจากนั้นจึงไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 และที่ 4 คงเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีในส่วนของจำเลยอื่นที่ไม่ได้ถูกจำหน่ายคดี แม้หากคดีนี้จะฟังข้อเท็จจริงได้ดังที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 อ้าง ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่มีความผิดเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็ตาม ก็ไม่อาจถือเป็นเหตุในลักษณะคดีตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ให้มีผลถึงจำเลยที่ 3 และที่ 4 ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15549/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชอบ: การฎีกาโดยคัดลอกคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยไม่โต้แย้งเหตุผลศาลอุทธรณ์
ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นฎีกาที่คัดลอกคำพิพากษาศาลชั้นต้นตั้งแต่บรรทัดแรกจนถึงบรรทัดสุดท้ายทุกตัว ต่างแต่ลักษณะตัวอักษรที่ใช้ในการพิมพ์ มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ว่าไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบและมีเหตุผลประกอบข้อโต้แย้งอย่างไร ทั้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นมีขึ้นก่อนศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษา จึงไม่อาจโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ล่วงหน้าได้อยู่ในตัว ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นฎีกาไม่ชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12104/2553 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นฎีกาไม่ชอบด้วยกฎหมายเมื่อมิได้วางค่าทนายความตามที่ศาลอุทธรณ์กำหนด แม้ศาลชั้นต้นจะรับฎีกาไว้
ค่าทนายความที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์ชำระแก่จำเลยที่ 1 เป็นความรับผิดในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ผู้ฎีกาจะต้องปฏิบัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 หาใช่หนี้ตามคำพิพากษาในเนื้อหาคดี อันโจทก์จะพึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดี ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 231 วรรคหนึ่ง ได้ไม่ ดังนั้น การที่โจทก์ยื่นฎีกาโดยจงใจนำเพียงค่าธรรมเนียม (ค่าขึ้นศาล) ตามที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์มาวางศาลตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์พร้อมกับฎีกาโดยมิได้วางค่าทนายความที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์ชำระแก่จำเลยที่ 1 จึงเป็นการยื่นฎีกาโดยมิชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 ชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งจะมีคำสั่งไม่รับฎีกาได้ทันที เพราะมิใช่กรณีที่โจทก์ชำระให้ครบถ้วนภายในกำหนดระยะเวลาตามที่เห็นสมควรเสียก่อนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12104/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชอบ หากไม่ชำระค่าทนายความตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์พร้อมฎีกา แม้ศาลชั้นต้นรับฎีกาไว้ก็ไม่สมบูรณ์
ค่าทนายความเป็นค่าธรรมเนียมอย่างหนึ่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 เมื่อศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์ชำระค่าทนายความจำนวน 150,000 บาท แก่จำเลยที่ 1 จึงเป็นหลักเกณฑ์เคร่งครัดที่โจทก์ผู้ยื่นฎีกาจะต้องปฏิบัติตาม เพราะมิใช่หนี้ตามคำพิพากษาในเนื้อหาแห่งคดี ที่โจทก์จะพึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับตาม ป.วิ.พ. มาตรา 231 วรรคหนึ่ง
โจทก์ยื่นฎีกาโดยจงใจนำเพียงค่าขึ้นศาลตามที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาชั้นอุทธรณ์มาวางศาลพร้อมกับฎีกา เป็นการฝ่าฝืนต่อหลักเกณฑ์ที่บทบัญญัติมาตรา 229 กำหนดไว้ จึงเป็นการยื่นฎีกาโดยมิชอบ ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับฎีกาได้ทันที เพราะมิใช่กรณีโจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาไม่ครบถ้วนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นซึ่งมีหน้าที่ตรวจคำคู่ความจะต้องมีคำสั่งให้โจทก์ชำระให้ครบถ้วนเสียก่อนที่จะสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความ แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้แล้วก็ไม่ถือว่าเป็นฎีกาที่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ยื่นฎีกาโดยจงใจนำเพียงค่าขึ้นศาลตามที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาชั้นอุทธรณ์มาวางศาลพร้อมกับฎีกา เป็นการฝ่าฝืนต่อหลักเกณฑ์ที่บทบัญญัติมาตรา 229 กำหนดไว้ จึงเป็นการยื่นฎีกาโดยมิชอบ ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับฎีกาได้ทันที เพราะมิใช่กรณีโจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาไม่ครบถ้วนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นซึ่งมีหน้าที่ตรวจคำคู่ความจะต้องมีคำสั่งให้โจทก์ชำระให้ครบถ้วนเสียก่อนที่จะสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความ แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้แล้วก็ไม่ถือว่าเป็นฎีกาที่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10427/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชอบเนื่องจากเป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น และเป็นการอุทธรณ์ดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษเพียงเล็กน้อย
ศาลชั้นต้นรับฟังคำเบิกความของพยานโจทก์ผู้ร่วมจับกุมประกอบคำรับสารภาพชั้นจับกุมของจำเลยแล้ว เชื่อว่าพยานโจทก์เบิกความตามความเป็นจริง ฟังว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง ในชั้นอุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์แต่เฉพาะปัญหาข้อเท็จจริงว่า คำเบิกความของพยานโจทก์มีพิรุธไม่น่าเชื่อถือ และจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมโดยไม่สมัครใจเนื่องจากถูกข่มขู่และทำร้ายร่างกาย ศาลอุทธรณ์รับฟังคำเบิกความของพยานโจทก์ผู้ร่วมจับกุมแล้ว ฟังว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องโดยมิได้นำคำรับสารภาพในชั้นจับกุมของจำเลยมาฟังลงโทษจำเลยแต่อย่างใด ที่จำเลยฎีกาว่า คำรับสารภาพในชั้นจับกุมของจำเลยห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตาม ป.วิ.อ. มาตรา 84 วรรคท้าย จึงเป็นฎีกาที่โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น มิใช่ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องอย่างไร ฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6174/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชอบเมื่อไม่ได้คัดค้านข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และการลงโทษตามบทกฎหมายที่ถูกต้อง
ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 216 ฎีกาต้องมีข้อความคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยอ้างเหตุว่าการที่ศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงหรือไม่รับฟังข้อเท็จจริงข้อใดนั้นชอบหรือไม่ชอบเพราะเหตุใด ควรรับฟังข้อเท็จจริงอย่างไร เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายที่ 1 แล้วใช้อาวุธมีดแทงผู้เสียหายทั้งสอง ที่จำเลยฎีกาว่าผู้เสียหายทั้งสองมีส่วนร่วมกระทำความผิดด้วย เป็นฎีกาที่ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5158/2563
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชอบตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 27) พ.ศ.2558 ต้องขออนุญาตฎีกาก่อน
คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นแจ้งถอนอายัดที่ดินอันเป็นทรัพย์ที่ผู้ประกันของจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ขายตามสัญญาจะซื้อจะขายกับผู้ร้องนำมาวางเป็นหลักประกันต่อศาลในการร้องขอปล่อยชั่วคราวในคดีอาญา และผู้ประกันผิดสัญญาไม่ส่งตัวจำเลยที่ 3 จนศาลมีคำสั่งปรับตามสัญญาประกัน โดยผู้ร้องอ้างว่าผู้ร้องอยู่ในฐานะเป็นผู้มีสิทธิจดทะเบียนสิทธิในที่ดินดังกล่าวได้ก่อน ซึ่งมีความผูกพันทางแพ่งที่จะบังคับคดีกับที่ดินอันเป็นหลักประกันในคดีอาญาซึ่งถึงที่สุดแล้ว ผู้ร้องยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2562 หลังจาก พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 27) พ.ศ.2558 มีผลใช้บังคับ การยื่นฎีกาจึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติที่แก้ไขใหม่ เมื่อ ป.วิ.พ. มาตรา 244/1 ที่เพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่า "ภายใต้บังคับมาตรา 247 คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด" มาตรา 247 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ บัญญัติว่า "การฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ ให้กระทำได้เมื่อได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา" และวรรคสอง บัญญัติว่า "การขออนุญาตฎีกา ให้ยื่นคำร้องพร้อมกับคำฟ้องฎีกาต่อศาลชั้นต้นที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีนั้น..." การที่ผู้ร้องยื่นฎีกาโดยไม่ได้ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกามาด้วย จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 224/2562
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชอบ: จำเลยยกเหตุผลใหม่ในฎีกาที่ไม่เคยกล่าวอ้างในชั้นศาลล่าง
จำเลยให้การว่า ภายหลังจำเลยได้รับเงินมัดจำจากโจทก์จำนวน 3,400,000 บาท จำเลยได้นำเงิน 2,000,000 บาท ที่ได้รับจากโจทก์ไปวางมัดจำแก่ ส. ผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ขายให้แก่จำเลย ข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยไม่ได้รับเงินมัดจำตามเช็คจำนวน 3,000,000 บาท จึงอยู่นอกเหนือประเด็นข้อพิพาท การที่จำเลยยกข้อเท็จจริงที่ตนนำสืบนอกเหนือจากที่ให้การไว้เป็นเหตุผลในฎีกาของจำเลยเพื่อให้ศาลฎีกาวินิจฉัยให้จำเลยชนะคดี ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาที่ไม่ชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม) ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย