คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฎีกาไม่รับวินิจฉัย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 124 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 543/2481

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม – การคัดค้านซ้ำข้อที่เคยยกขึ้นในศาลอุทธรณ์
จำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น มิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นั้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 10 ปี ศาลอุทธรณ์ได้ให้จำคุกจำเลย 5 ปี ดังนี้เป็นแก้น้อย ฎีกาในข้อเท็จจริงมิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2176/2559

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากจำเลยอ้างเหตุใหม่ในชั้นฎีกา และคำฟ้องไม่เคลือบคลุม
แม้ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ไม่ได้ระบุโดยตรงว่า จำเลยที่ 2 รับประกันภัยรถยนต์ไว้จากจำเลยที่ 1 หากจำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับ จำเลยที่ 2 ก็สามารถให้การต่อสู้คดีได้ แต่ตามคำให้การของจำเลยที่ 2 รับว่า ได้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน สย 9160 กรุงเทพมหานคร ไว้จริง เพียงแต่ปฏิเสธว่า เหตุละเมิดไม่ได้เกิดในขณะมีการขับเคลื่อนรถยนต์ แสดงว่า จำเลยที่ 2 ได้ตรวจสอบกรมธรรม์ประกันภัยและทราบอยู่แล้วว่าจำเลยที่ 2 รับประกันภัยรถยนต์ไว้จากจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 2 อ้างว่า จำเลยที่ 1 มิได้กระทำละเมิดในขณะขับรถ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิด กรณีตามคำให้การดังกล่าว จำเลยที่ 2 หาได้หลงต่อสู้ไม่ คำฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 จึงไม่เคลือบคลุม
จำเลยที่ 2 อ้างทำนองว่า ถังสีตกมาจากด้านบนของตึก จำเลยที่ 2 ก็เพิ่งยกข้อเท็จจริงนี้ขึ้นอ้างในชั้นฎีกา เกี่ยวกับความเสียหายที่อ้างว่าโจทก์เรียกร้องสูงเกินจริง จำเลยที่ 2 ก็มิได้โต้แย้งให้ชัดแจ้งว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยที่ 2 รับผิดตามจำนวนเงินค่าซ่อมตามที่โจทก์มีใบเสนอราคาและใบเสร็จรับเงินเป็นหลักฐานนั้น ค่าซ่อมรายการใดที่ไม่จำเป็น ฎีกาของจำเลยที่ 2 ในปัญหาที่กล่าวมาจึงไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 โดยชัดแจ้งว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนหรือไม่ถูกต้องในส่วนใด และที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ด้วยเหตุผลใด ทั้งยังมีข้อเท็จจริงบางส่วนที่จำเลยที่ 2 เพิ่งยกขึ้นอ้าง หาได้เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ถือเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10288/2559

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงเกิน 2 แสน และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นนอกฟ้องชอบแล้ว
การที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยในฐานะผู้ขนส่งต้องรับผิดในกรณีสินค้าที่จำเลยรับขนส่งสูญหายในขณะที่จำเลยขับรถประสบอุบัติเหตุตามข้อสันนิษฐานของ ป.พ.พ. มาตรา 616 เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบยังรับฟังไม่ได้ว่ามีสินค้าที่จำเลยรับขนสูญหายจริง ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกิน สองแสนบาท และไม่ปรากฏว่าผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีความเห็นแย้ง หรือผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้รับรองไว้หรือรับรองในเวลาตรวจฎีกาว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาได้ จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง (เดิม)
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเข้าร่วมรับจ้างขนสินค้ากับโจทก์และต้องรับผิดในการสูญหายหรือบุบสลายของสินค้าที่จำเลยรับขนเนื่องจากการขับรถโดยประมาทเลินเล่อ ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาคือ ความรับผิดในฐานะผู้ขนสินค้า มิใช่ขอให้รับผิดในฐานะเป็นผู้กระทำละเมิด แม้ศาลชั้นต้นกำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทและวินิจฉัยว่า จำเลยไม่ได้กระทำละเมิด ก็เป็นการวินิจฉัยนอกคำฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของโจทก์ที่ไม่เห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในข้อนี้เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง นั้น เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยโดยชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 246 แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4474/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่ชอบ ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์พิพากษามาแล้ว ฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีไว้ชั่วคราวจนกว่าคดีร้องขัดทรัพย์ที่ สข.8/2554 จะถึงที่สุด จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ดังนั้น คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของจำเลยที่ 3 ที่ขอให้ยกคดีนี้ขึ้นพิจารณาใหม่และยกคำร้องขอเฉลี่ยของผู้ร้อง ซึ่งไม่ทำให้คดีตามคำร้องขอเฉลี่ยของผู้ร้องเสร็จไปจากศาล และมิใช่เป็นคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 227, 228 ย่อมต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226 (1) ที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 และศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษามาจึงไม่ชอบ แม้จำเลยที่ 3 ฎีกาต่อมา ก็ต้องถือว่าฎีกาของจำเลยที่ 3 เป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15313/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสน และเป็นการโต้แย้งดุลพินิจศาลอุทธรณ์
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินเนื้อที่ 1 ไร่ 79 ตารางวา และเนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 45 ตารางวา เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 4366 และ 4367 ตามลำดับ เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง กับให้จำเลยรื้อถอนพืชผลทางการเกษตรในส่วนที่รุกล้ำและทำให้ที่ดินเป็นไปตามสภาพเดิม จำเลยให้การว่า จำเลยครอบครองและเข้าทำประโยชน์ตามเนื้อที่โฉนดเลขที่ 4360 ซึ่งจำเลยเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ มิได้รุกล้ำแนวเขตที่ดินของโจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดิน อันเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ซึ่งศาลต้องแยกพิจารณาที่ดินแต่ละแปลงออกต่างหากจากกันเป็นรายแปลงว่าเป็นดังที่โจทก์กล่าวอ้างหรือเป็นดังที่จำเลยปฏิเสธ ทุนทรัพย์จึงต้องแยกออกเฉพาะที่ดินแต่ละแปลง เมื่อปรากฏตามบัญชีกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินว่าที่ดินมีราคาประเมินตารางวาละ 200 บาท หรือไร่ละ 80,000 บาท ที่ดินส่วนที่จำเลยรุกล้ำทั้งสองแปลงตามโฉนดเลขที่ 4366 และ 4367 มีราคา 95,800 บาท และ 129,000 บาท ตามลำดับ ซึ่งราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาในที่ดินแต่ละแปลงไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ฎีกาว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย จึงต้องฟังว่า เนื้อที่ดินในส่วนที่พิพาทตามแผนที่พิพาท อยู่ในเขตโฉนดที่ดินของโจทก์และเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์นั้น เป็นฎีกาที่โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 อันเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12603/2558 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากฎีกาโจทก์ไม่ได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่โต้แย้งการออกหมายจำคุกหลังยื่นขอขยายเวลาฎีกา
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นที่ว่า ฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ และมีเหตุสมควรรอการลงโทษจำเลยหรือไม่ แล้วพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นฎีกาของโจทก์ที่ว่า การออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะคดียังอยู่ในระหว่างที่โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกา คดีจึงยังไม่ถึงที่สุด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ได้คัดค้านคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 3 หรือกล่าวอ้างว่าศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาคดีไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายในข้อใด อย่างไร อันเป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 และ พ.ร.บ.ให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ.2520 มาตรา 3 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12603/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากประเด็นฎีกาไม่ได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่โต้แย้งกระบวนการออกหมายจำคุก
คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นที่ว่า ฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ และมีเหตุสมควรรอการลงโทษจำเลยหรือไม่ แล้วพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ฎีกาของโจทก์ที่ว่า การออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดให้แก่จำเลยเพื่อให้จำเลยได้รับพระราชทานอภัยโทษไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากคดียังอยู่ในระหว่างที่โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกา คดีจึงยังไม่ถึงที่สุด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ได้คัดค้านคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 3 หรือกล่าวอ้างว่าศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาคดีไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายในข้อใด อย่างไร อันเป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 และ พ.ร.บ.ให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ.2520 มาตรา 3 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9379/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยคดีเกี่ยวกับยาเสพติด เนื่องจากจำเลยไม่ได้ยื่นคำร้องขอฎีกาตามขั้นตอนที่กฎหมายวิธีพิจารณาคดียาเสพติดกำหนด
ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม การที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้แก้ไขหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดนั้น จึงเป็นคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอันอยู่ในบังคับของ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 ซึ่งมาตรา 18 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์เฉพาะการกระทำซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้เป็นที่สุด และมาตรา 19 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า คู่ความอาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องไปพร้อมกับฎีกาต่อศาลฎีกาภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลนั้นให้คู่ความฝ่ายที่ขออนุญาตฎีกาฟัง เพื่อขอให้พิจารณารับฎีกาไว้วินิจฉัยก็ได้ เมื่อจำเลยฎีกาโดยไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามมาตรา 18 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1825/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยกรณีจำเลยให้การรับสารภาพแล้วมาฎีกาปฏิเสธความผิด และศาลยืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิสูจน์ความผิดจำเลย
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นลงโทษประหารชีวิต จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 ดังนั้น จำเลยที่ 1 จะกลับมาฎีกาว่ามิได้กระทำความผิดหาได้ไม่ เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพแล้ว ทั้งยังเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกา ซึ่งเป็นปัญหาที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยที่ 1 จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7269/2556

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นแปลงหนี้ใหม่ เนื่องจากมิได้ยกขึ้นว่ากันในศาลอุทธรณ์และไม่ใช่ประเด็นความสงบเรียบร้อย
คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 7 มิถุนายน 2553 ในส่วนของจำเลยที่ 2 และให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นฉบับเดิม คือฉบับลงวันที่ 24 มีนาคม 2551 โดยศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นไม่อาจทำคำพิพากษาในส่วนของจำเลยที่ 2 ใหม่ให้เปลี่ยนแปลงผลคำพิพากษาฉบับเดิมได้ ในชั้นอุทธรณ์จึงมีประเด็นว่า ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ในส่วนของจำเลยที่ 2 นั้น ชอบหรือไม่ ไม่มีประเด็นว่าหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ได้ระงับไปด้วยการแปลงหนี้ใหม่หรือไม่ การที่จำเลยที่ 2 ฎีกา ว่าหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ได้ระงับสิ้นไปเพราะมีการแปลงหนี้ใหม่ ย่อมเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ข้อที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
of 13