พบผลลัพธ์ทั้งหมด 298 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 763/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ฎีกาข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้ว ถือเป็นการต้องห้ามอุทธรณ์และฎีกา
ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยไถดินบนทางพิพาทอันเป็นทางสาธารณะ โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยไถคันดินและโค่นต้นไม้ในที่ดินของโจทก์ เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัย โจทก์ฎีกาว่า จำเลยไถทางและต้นไม้เข้าไปในที่ดินของโจทก์เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัย จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7268/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำคดีกรรมสิทธิ์ที่ดิน: คดีเกี่ยวเนื่องต้องห้ามตามกฎหมาย
แม้คดีก่อนที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยกับคดีนี้คู่ความที่ฟ้องและถูกฟ้องจะผลัดกันเป็นโจทก์ จำเลย แต่คดีฟ้องเรียกอสังหาริมทรัพย์ในคดีก่อนกับคดีฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยในคดีนี้ก็ถือเป็นคดีประเภทเดียวกัน ตามป.วิ.พ. มาตรา 142 (1) เมื่อคดีก่อนศาลชั้นต้นได้พิพากษาในประเด็นแห่งคดีว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย โจทก์ฟ้องคดีนี้ให้ขับไล่จำเลยอีก โดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นเดียวกับคดีก่อนว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทคดีโจทก์จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลเดียวกัน อันเกี่ยวกับประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว ฟ้องโจทก์จึงต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7020/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทุนทรัพย์โจทก์แต่ละคนกำหนดสิทธิฎีกา คดีโจทก์ที่ 2 ทุนทรัพย์ไม่ถึง 200,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
โจทก์ทั้งสองต่างใช้สิทธิเฉพาะตัวของโจทก์แต่ละคน ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากมูลละเมิดรวมกันมา การพิจารณาทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจะต้องถือตามทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคน ดังนั้น เมื่อทุนทรัพย์ของโจทก์ที่ 2ที่เรียกร้องไม่เกิน 200,000 บาท คดีสำหรับโจทก์ที่ 2 จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง โจทก์ที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาท เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6539/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาในคดีเยาวชนที่ศาลอุทธรณ์ยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ย่อมเป็นเหตุให้ฎีกาต้องห้ามตามกฎหมาย
การเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นการส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกลาง มิได้เป็นการลงโทษจำเลยที่ 1 โดยจำคุกเกิน 5 ปี เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวฯ มาตรา 124ที่จำเลยฎีกาว่า ผู้เสียหายจำหน้าจำเลยไม่ได้ คำเบิกความของผู้เสียหายและเอกสารพยานโจทก์มีพิรุธ คำเบิกความของผู้เสียหายคดีนี้แตกต่างกับคำเบิกความอีกคดีหนึ่งในข้อสำคัญ และจำเลยให้การชั้นสอบสวนเพราะถูกบังคับ เป็นการฎีกาเกี่ยวกับดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้าม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5556/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากประเด็นอายุความไม่ได้ยกขึ้นว่ากันในชั้นอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยไม่วินิจฉัยปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เมื่อโจทก์อุทธรณ์จำเลยไม่ได้ยกปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์ขาดอายุความตั้งเป็นประเด็นไว้ในคำแก้อุทธรณ์ จึงถือว่าไม่มีประเด็นเรื่องอายุความในชั้นอุทธรณ์ ดังนั้น ปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง และไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4998/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากทุนทรัพย์เกินและข้อพิพาทเกี่ยวกับข้อเท็จจริง
โจทก์ทั้งสามฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสามศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินจำนวน 77,000 บาทแก่โจทก์ที่ 1 ใช้เงินจำนวน 150,000 บาท แก่โจทก์ที่ 2 ใช้เงินจำนวน 50,000 บาท แก่โจทก์ที่ 3 พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1โจทก์ทั้งสามฎีกาขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงินให้โจทก์ทั้งสามตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ทุนทรัพย์พิพาทในชั้นฎีกาของโจทก์ทั้งสามจึงแยกกันตามความรับผิดที่ขอให้จำเลยที่ 1 ชำระแก่โจทก์แต่ละคนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงมีจำนวนไม่เกินรายละ 200,000 บาทต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ฎีกาของโจทก์ทั้งสามในปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า นายจ้างต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิดที่ลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425 หรือไม่นั้น ข้ออ้างเป็นปัญหาข้อกฎหมายของโจทก์ทั้งสามย่อมต้องอาศัยข้อเท็จจริงเพื่อการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายการเถียงข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามฎีกาเพื่อสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามจึงมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 314/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อวินิจฉัยข้อกฎหมาย ถือเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามกฎหมาย
การฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย มีผลเป็นอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษปรับจำเลยและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2560/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำต้องห้าม: ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่สามารถหยิบยกประเด็นฟ้องซ้ำขึ้นฎีกาได้อีก
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้มีคำพิพากษาว่า การกระทำตามฟ้องคดีนี้ต่างกรรมต่างวาระกัน ฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จำเลยมิได้ฎีกา ปัญหาดังกล่าวจึงยุติและถึงที่สุดไปแล้วตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีใหม่แล้ว จำเลยจะหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นฎีกาอีกไม่ได้ เพราะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 220/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติแล้วว่าไม่มีประเด็นขับไล่ และค่าเสียหายไม่เกินสองแสนบาท
คดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ต้องแปลว่ามีประเด็นในเรื่องขับไล่ในชั้นฎีกาด้วย เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติแล้วตั้งแต่ศาลชั้นต้นว่าจำเลยได้ขนย้ายออกจากสถานที่เช่าและได้ส่งมอบสถานที่เช่าให้โจทก์แล้วตั้งแต่ก่อนโจทก์จะนำคดีมาฟ้องคดีจึงไม่มีประเด็นเรื่องขับไล่ในชั้นฎีกาคงมีปัญหาเฉพาะเรื่องค่าเสียหายเพียงอย่างเดียว เมื่อค่าเสียหายไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2158/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งงดสืบพยานและการไม่โต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณา ทำให้ต้องห้ามอุทธรณ์ตามกฎหมาย
การที่ศาลชั้นต้นสอบถามข้อเท็จจริงจากคู่ความแล้วสั่งงดสืบพยาน ในวันนัดสืบพยานโจทก์และพิพากษาคดีโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ได้ความ ถือไม่ได้ว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อโจทก์เห็นว่าชอบที่จะมีการสืบพยานต่อไปก็ต้องโต้แย้งคำสั่งไว้ มิฉะนั้นต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2)