คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ทำร้ายร่างกาย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,834 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4581/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่า vs. ทำร้ายร่างกาย: การพิจารณาจากพฤติการณ์และบาดแผล
จำเลยใช้มีดดาบฟันผู้เสียหาย 2 ครั้ง ขณะผู้เสียหายอยู่ในมุ้งแล้วไม่ได้ฟันซ้ำอีกทั้งที่มีโอกาสกระทำได้ ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บที่แขนและใบหูไม่ถึงสาหัส การที่มีบาดแผลเพียงใบหูเกือบขาด แสดงว่าคมมีดถูกศีรษะผู้เสียหายไม่แรงส่วนที่มีมุ้งกีดขวาง ก็เป็นสภาพที่มีอยู่ก่อนจำเลยลงมือกระทำ หาใช่เหตุขัดขวางที่เกิดขึ้นภายหลังลงมือกระทำ พฤติการณ์แห่งคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 296 โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าบุพการี แม้ไม่ได้ฎีกาโต้แย้งว่า หากรับฟังว่าเป็นเพียงกรณีทำร้ายร่างกายก็จะต้องลงโทษฐานทำร้ายร่างกายบุพการี ก็ย่อมแปลได้ว่า โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ.มาตรา 296 ด้วยแล้ว ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าวตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4581/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาในการทำร้ายร่างกายบุพการี: ศาลพิจารณาจากพฤติการณ์และบาดแผลเพื่อวินิจฉัยความผิดฐานพยายามฆ่าหรือทำร้ายร่างกาย
จำเลยใช้มีดดาบฟันผู้เสียหาย 2 ครั้ง ขณะผู้เสียหายอยู่ในมุ้งแล้วไม่ได้ฟันซ้ำอีกทั้งที่มีโอกาสกระทำได้ ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บที่แขนและใบหูไม่ถึงสาหัส การที่มีบาดแผลเพียงใบหูเกือบขาด แสดงว่าคมมีดถูกศีรษะผู้เสียหายไม่แรงส่วนที่มีมุ้งกีดขวาง ก็เป็นสภาพที่มีอยู่ก่อนจำเลยลงมือกระทำหาใช่เหตุขัดขวางที่เกิดขึ้นภายหลังลงมือกระทำ พฤติการณ์แห่งคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 296 โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าบุพการีแม้ไม่ได้ฎีกาโต้แย้งว่า หากรับฟังว่าเป็นเพียงกรณีทำร้ายร่างกายก็จะต้องลงโทษฐานทำร้ายร่างกายบุพการี ก็ย่อมแปลได้ว่า โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296ด้วยแล้ว ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าวตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4581/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่า vs. ทำร้ายร่างกายบุพการี: ศาลฎีกาพิจารณาจากพฤติการณ์และบาดแผลเพื่อวินิจฉัยความผิด
จำเลยใช้มีดดาบฟันผู้เสียหาย 2 ครั้ง ขณะผู้เสียหายอยู่ในมุ้งแล้วจำเลยไม่ได้ฟันซ้ำอีกทั้งที่มีโอกาสกระทำได้ ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บที่แขนและใบหูไม่ถึงสาหัส บาดแผลที่ใบหูผู้เสียหายเป็นบาดแผลในแนวราบ ซึ่งหากคมมีดถูกศีรษะผู้เสียหายโดยแรง ใบหูผู้เสียหายย่อมขาด และคมมีดย่อมบาดเข้าในขมับผู้เสียหายเป็นแผลลึกการที่มีบาดแผลเพียงใบหูเกือบขาด แสดงว่าคมมีดถูกศีรษะผู้เสียหายไม่แรง ส่วนที่มีมุ้งกีดขวาง เป็นสภาพที่มีอยู่ก่อนจำเลยลงมือกระทำหากจำเลยมีเจตนาให้เกิดบาดแผลร้ายแรงแก่ผู้เสียหาย จำเลยย่อมกระทำให้สัมฤทธิ์ผลได้ เช่น ฟันให้แรงขึ้น หรือฟันสายมุ้งให้ขาดและผ้ามุ้งคลุมแนบตัวผู้เสียหายแล้วจึงฟันผู้เสียหาย หรือตลบมุ้งขึ้นก่อนแล้วจึงฟันผู้เสียหาย พฤติการณ์แห่งคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3976/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยิงต่อเนื่องจากโทสะหลังถูกทำร้าย ศาลฎีกาตัดสินความผิดฐานพยายามฆ่าโดยบันดาลโทสะ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่า แต่การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ จำเลยมิได้อุทธรณ์กลับแก้อุทธรณ์ของโจทก์และขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกัน ดังนี้ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้เสียหายโดยไม่มีเจตนาฆ่า จึงเป็นฎีกาในข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15
ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายชกต่อยทำร้ายจำเลยที่ชั้นสองของตึกแถว แล้ววิ่งขึ้นไปที่ห้องพักผู้เสียหายที่ชั้นสาม จำเลยตามผู้เสียหายขึ้นไป เพื่อจะทำร้ายผู้เสียหายเมื่อเห็นผู้เสียหายยืนอยู่ตรงทางเข้าห้องพักผู้เสียหาย จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย 1 นัดถูกที่บริเวณหน้าท้อง ดังนี้ แม้ผู้เสียหายจะเป็นฝ่ายก่อเหตุทำร้ายจำเลยก่อนแต่ขณะจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายผู้เสียหายไม่ได้จะเข้าทำร้ายจำเลย และที่ผู้เสียหายทำร้ายจำเลยที่ชั้นสองก็ไม่ใช่ภยันตรายที่ใกล้จะถึง แต่เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นไปแล้ว จำเลย จึงอ้างว่าเป็นการป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายไม่ได้ แต่การที่ผู้เสียหายทำร้ายจำเลยแล้ววิ่งขึ้นไปชั้นสาม จำเลยตามขึ้นไปแล้วใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายในเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิดกับที่จำเลยยังมีโทสะอยู่ เป็นการกระทำเนื่องจากถูกผู้เสียหายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เป็นความผิดฐานพยายามฆ่า โดยบันดาลโทสะ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3801/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายภริยา: ศาลฎีกาแก้ไขความผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายทางกาย และลดโทษพร้อมรอการลงโทษ
จำเลยใช้อาวุธมีดของกลางทำร้ายผู้เสียหายซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย มีบาดแผลที่คอและข้อมือซ้าย ตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ระบุว่า ผู้เสียหายมีบาดแผลฉีกขาดที่คอไม่ลึกยาว 3 เซนติเมตร กับแผลฉีกขาดที่ข้อมือซ้ายขนาด 4x1 เซนติเมตรลึก 2 เซนติเมตร มีเอ็นฉีกขาดและเส้นเลือดแดงเล็กฉีกขาด ต้องใช้เวลารักษาประมาณ 21 ถึง 28 วัน จึงจะหายเป็นปกติ แต่ผู้เสียหายเบิกความตอบโจทก์ว่านอนพักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลประมาณ 7 วัน และตอบทนายจำเลยถามค้านว่าเอ็นข้อมือซ้ายไม่ขาด ดังนี้ แม้แพทย์ผู้ตรวจรักษาจะมาเบิกความยืนยันบาดแผล แต่ที่ ระบุว่าต้องรักษาบาดแผลประมาณ 21 ถึง 28 วัน ก็เป็นเพียงความเห็น ของแพทย์เกี่ยวกับการรักษาบาดแผลให้หายเป็นปกติโดยคาดคะเนเอาเท่านั้น เมื่อโจทก์มิได้นำสืบให้ปรากฏว่าบาดแผลดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้เสียหายต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวันหรือประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันตลอดระยะเวลานั้นด้วย จึงฟังไม่ได้ว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8)
จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและสอบสวน แม้ในชั้นพิจารณาจำเลยให้การปฏิเสธ แต่จำเลยก็อ้างตัวเองเบิกความเป็นพยานทำนองรับสารภาพความผิดทุกข้อหาตามฟ้อง และข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่าจำเลยกับผู้เสียหายเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย หลังเกิดเหตุยังคงอยู่กินด้วยกัน ประกอบกับผู้เสียหายยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นและศาลฎีกาขอให้รอการลงโทษแก่จำเลย ตามพฤติการณ์จึงสมควรลดโทษแก่จำเลยกึ่งหนึ่งและรอการลงโทษแก่จำเลยด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3743/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากการทำร้ายด้วยอาวุธอันตราย และการไม่เข้าข่ายบันดาลโทสะ
ผู้เสียหายถูกจำเลยใช้มีดขอฟันที่หน้าผากอย่างแรงและเป็นการ เลือกฟันที่ส่วนสำคัญของร่างกายขนาดของมีดขอมีใบมีดยาว12 นิ้วและด้ามยาว 7 นิ้ว นับว่าเป็นมีดขอขนาดใหญ่ที่อาจใช้เป็นอาวุธฟันทำอันตรายบุคคลอื่นถึงแก่ความตายได้บาดแผลที่ศีรษะผู้เสียหาย หากมีการติดเชื้ออาจเป็นฝีที่สมองและผู้เสียหายอาจถึงแก่ความตายได้แม้จำเลยจะฟันถูกผู้เสียหายครั้งเดียว จำเลยก็ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า ผู้เสียหายอาจถึงแก่ความตายได้ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาพยาบาลจาก แพทย์ทันท่วงที การกระทำของจำเลยจึงถือได้ว่า เป็นการกระทำโดยมี เจตนาฆ่าผู้เสียหายเมื่อผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของ จำเลย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย
การกระทำโดยบันดาลโทสะที่ผู้กระทำความผิดจะได้รับความปรานีจากศาลให้ลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ได้นั้น จะต้องปรากฏว่า ผู้กระทำความผิดถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมจึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ก่อนเกิดเหตุ ผู้เสียหายได้พูดจาหยาบคายก้าวร้าวจำเลยโดยพูดให้ของลับแก่จำเลยขณะที่ผู้เสียหายเดินผ่านหน้าจำเลย แม้ผู้เสียหายพูดอีกว่า "จับผัวมันไว้ ปล่อยเมียมันมา"ก็ไม่ได้ความว่ามีความหมายอย่างไร หรือผู้เสียหายจะกระทำอย่างไรตามที่ตนพูด การกระทำของผู้เสียหายจึงน่าจะเป็นการยั่วโทสะจำเลยด้วยความคะนองปากตามประสาคนเมาสุราเท่านั้น ซึ่ง ไม่เพียงพอที่จะถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุ ไม่เป็นธรรม การที่จำเลยมีความโกรธแค้นและทำร้ายผู้เสียหาย ในขณะนั้น จำเลยจะมาอ้างว่าเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามกฎหมายไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3337/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย ลดโทษจากความพยายามช่วยเหลือและบรรเทาผลร้าย ไม่ริบของกลาง
จำเลยให้ผู้ตายดื่มสารพิษที่บ้านพักของผู้ตาย ความผิดอาญาที่จำเลยกระทำเกิดขึ้นที่บ้านพักของผู้ตาย ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของสถานีตำรวจนครบาลดอนเมือง ส่วนที่ผู้ตายถึงแก่ความตายที่โรงพยาบาล พ. เป็นผลของการกระทำผิดความผิดอาญาได้เกิดในเขตอำนาจพนักงานสอบสวนคนใด โดยปกติให้เป็นหน้าที่พนักงานสอบสวนผู้นั้นเป็นผู้รับผิดชอบในการสอบสวนความผิดนั้น ๆ เพื่อดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 18 วรรคสาม พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลดอนเมืองมีอำนาจสอบสวน
ถ้วยกาแฟและช้อนกาแฟของกลางเป็นของใช้ประจำบ้านผู้ตายส่วนสารพิษของกลางเป็นทรัพย์สินของโรงพยาบาล ร. มิใช่ทรัพย์ที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าทำหรือมีไว้เป็นความผิด จึงมิใช่ทรัพย์ที่ต้องริบเสียทั้งสิ้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32
จำเลยเป็นผู้นำผู้ตายไปส่งโรงพยาบาลและพยายามบอกความจริงให้แพทย์ผู้รักษาทราบว่าผู้ตายกินสารพิษโคลชิซินเพื่อแพทย์จะได้รักษาผู้ตายได้ถูกต้องทั้งจำเลยให้ผู้ตายรับประทานเม็ดคาร์บอนเพื่อช่วยดูดซึมสารพิษในร่างกายของผู้ตายให้หมดไป แสดงว่าจำเลยได้พยายามช่วยชีวิตผู้ตายอย่างเต็มความสามารถประกอบกับจำเลยได้ออกค่ารักษาพยาบาลผู้ตายตลอดมาโดยมุ่งหมายให้ผู้ตายรอดชีวิตอันเป็นการพยายามบรรเทาผลร้าย จึงมีเหตุอันควรปรานีลงโทษสถานเบา
จำเลยรับราชการที่โรงพยาบาล ร. ตั้งแต่ 2525 ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นเจ้าพนักงานวิทยาศาสตร์การแพทย์ 5 แสดงว่าจำเลยมีคุณงามความดีมาก่อน จำเลยกระทำผิดเนื่องจากความหึงหวงผู้ตายที่ไปมีหญิงอื่น หลังจากเกิดเหตุจำเลยพยายามบรรเทาผลร้ายอย่างสุดความสามารถเท่าที่จะทำได้นอกจากนี้ไม่ปรากฏว่าเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงสมควรให้โอกาสจำเลยได้กลับตัวเป็นคนดีโดยรอการลงโทษจำคุก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3237/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากการทำร้ายร่างกายส่วนสำคัญของร่างกายจนอาจถึงแก่ชีวิต
ผู้เสียหายมีบาดแผลฉีกขาดที่ด้านซ้ายของคอขนาดยาว 7 เซนติเมตรลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อคอและเส้นเลือดข้างคอ ตัดเส้นประสาทและกล้ามเนื้อข้างคอหลายมัด แพทย์ผู้ตรวจรักษาเบิกความว่าหากไม่ได้รับการรักษาโดยทันที อาจเสียเลือดและช็อคถึงแก่ชีวิตได้ ลักษณะบาดแผลที่ผู้เสียหายถูกฟัน ที่คอ แม้จะไม่ได้ความชัดว่าอาวุธที่ใช้ฟันดังกล่าวเป็นมีดหรือขวานก็ตาม แต่การที่จำเลยกับพวกใช้อาวุธดังกล่าวฟันไปที่คอของผู้เสียหายอันเป็น ส่วนสำคัญของร่างกายจนได้รับบาดแผลฉกรรจ์ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษา โดยทันทีแล้วผู้เสียหายจะถึงแก่ความตาย ฟังได้ว่าจำเลยกับพวกกระทำการ ดังกล่าวโดยมีเจตนาฆ่า เมื่อผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตายจำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3003/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ร่วมกันทำร้ายร่างกาย ศาลลดโทษจำเลยที่ให้การรับสารภาพตั้งแต่ชั้นจับกุม และพิจารณาจากพยานหลักฐานประกอบ
++ เรื่อง ความผิดต่อร่างกาย
++ คดีแดงที่ 3003-3004/2543
++ โปรดดูย่อจากหนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรม
++ เล่มที่ 6 หน้า 116 ++
++ ขอดูชุดพิเศษโปรดติดต่อห้องบริการเอกสารสำเนาคำพิพากษา (ห้องสมุด) ชั้น 4, 5
++
++ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยที่ 1 ยกขึ้นอ้างได้แม้จะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลล่างทั้งสองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันใช้เก้าอี้และใช้ของแข็งตีทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมและผู้เสียหายที่ 2 ถูกบริเวณร่างกายทำให้ได้รับบาดเจ็บอย่างไรบ้าง เช่นนี้ เพียงพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 158 (5) ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
บทบัญญัติแห่ง ป.วิ.อ. มาตรา 213 ต้องเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาในคดีนี้จะพิพากษายกฟ้องจำเลยคนหนึ่งซึ่งอุทธรณ์หรือฎีกาเพียงผู้เดียว ใช้อำนาจพิพากษาไปถึงจำเลยอื่นที่ไม่ได้อุทธรณ์หรือฎีกามิให้ต้องถูกรับโทษเช่นเดียวกับจำเลยผู้อุทธรณ์หรือฎีกา
แต่การที่ผู้ร่วมกระทำผิดถูกแยกฟ้องเป็นหลายคดี การที่พยานหลักฐานโจทก์เพียงพอจะรับฟังลงโทษจำเลยคนใดที่ร่วมกระทำผิดได้หรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำเลยแต่ละคนเป็นการเฉพาะตัวเป็นรายๆ ไปเฉพาะคดีนั้นๆ ซึ่งพยานหลักฐานของโจทก์อาจพาดพิงถึงจำเลยแต่ละคดีมากน้อยต่างกันได้ คดีที่พยานโจทก์มีน้ำหนักเพียงพอก็ลงโทษไป คดีที่พยานโจทก์มีน้ำหนักเบาบางก็ต้องยกฟ้องตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากทางนำสืบเป็นรายคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2987/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายด้วยอาวุธมีด การพิสูจน์เจตนา และการพิจารณาความผิดหลายกรรม
จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดของกลางฟันผู้เสียหายทั้งสองโดยยังไม่มีภยันตรายที่ใกล้จะถึง อันเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 จำต้องกระทำเพื่อป้องกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
การที่จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดทำสวนขนาดยาวประมาณ 35 เซนติเมตรซึ่งมีขนาดใหญ่และหนาพอสมควรฟันที่บริเวณคอผู้เสียหายทั้งสองอันเป็นอวัยวะสำคัญจำเลยที่ 1 ย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำได้ว่าผู้เสียหายทั้งสองอาจถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่าตาม ป.อ. มาตรา 59 วรรคสอง
การกระทำของจำเลยที่ 1 จะเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่าหรือเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ศาลย่อมวินิจฉัยได้จากพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน มิใช่ต้องถือเอาตามคำเบิกความของแพทย์เพียงอย่างเดียว
แม้ในฟ้องข้อ 1 โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันเพียง 2 ข้อ คือ ข้อ ก. จำเลยทั้งสองร่วมกันพาอาวุธมีดติดตัวไปในเมืองและชุมนุมชนโดยไม่มีเหตุสมควร กับข้อ ข. จำเลยทั้งสองร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสองก็ตาม แต่ในฟ้องข้อ ข.โจทก์ได้บรรยายให้เห็นว่าจำเลยทั้งสอง ร่วมกันใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายทั้งสองโดยเจตนาฆ่าและคมมีดถูกผู้เสียหายทั้งสองที่บริเวณคอ รายละเอียดบาดแผลปรากฏตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง ซึ่งปรากฏว่าผู้เสียหายที่ 1 มีบาดแผลที่บริเวณคอหนึ่งแผล และผู้เสียหายที่ 2 มีบาดแผลที่บริเวณคอสองแผล อันเป็นการกระทำต่อผู้เสียหายแต่ละคนแยกออกจากกันได้ อีกทั้งโจทก์ได้ระบุ ป.อ. มาตรา 91 มาในคำขอท้ายฟ้องด้วย ประกอบกับข้อเท็จจริงได้ความว่า หลังจากจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายที่ 1 แล้ว ได้เดินตามไปฟันผู้เสียหายที่ 2 ขณะกำลังเดินเข้าไปในงาน ห่างประมาณ 5 เมตร อันเป็นการฟันผู้เสียหายทั้งสองคนละคราวกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานพยายามฆ่าเป็นสองกระทงความผิด จึงมิใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ หรือมิได้กล่าวในฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคแรก
ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับ 60 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ป.อ. มาตรา 29, 30 นั้น ไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องปรับบทตามมาตรา 29 เพียงบทเดียว
of 184