พบผลลัพธ์ทั้งหมด 100 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2016/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกที่ดิน: การร้องทุกข์ การงดรอการดำเนินคดี และการนำสืบพฤติการณ์ใหม่เพื่อพิสูจน์การผิดสัญญา
นาแปลงที่จำเลยบุกรุก โจทก์ร่วมได้โอนไปให้บุตรและบุตรไปแจ้ง ส.ค.1 แล้ว โจทก์ร่วมจึงไม่ใช่เจ้าของที่นาดังกล่าว ดังนั้นการร้องทุกข์ของโจทก์ร่วมจึงไม่เป็นการร้องทุกข์ตามกฎหมาย
วันที่ 16 มี.ค. 99 จำเลยเข้าไปบุกรุกยกคันนา นายเชิดผู้เสียหาย (โจทก์ร่วมอีกคนหนึ่ง) ไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านผู้ใหญ่บ้านห้ามจำเลยจำเลยว่า "เป็นนาของนายเชิด ผมก็ไม่ทำ" ผู้ใหญ่บ้านถามนายเชิด โจทก์ร่วมว่าจะให้ทำอย่างไรต่อไป นายเชิดว่า" ถ้าเขาหยุดแล้วก็ไม่เอาเรื่อง" ต่อมาวันที่ 3 พ.ค. 99 จำเลยกลับเข้าไปหว่านข้าวในนานั้นอีก นายเชิดจึงไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านและอำเภอได้ดำเนินการสอบสวนคดีนี้ แสดงให้เห็นว่าถ้าจำเลยเชื่อฟังนายเชิดก็ไม่เอาเรื่อง ถ้าไม่ฟังก็ต้องเอาเรื่องกันต่อไป ซึ่งเท่ากับให้งดรอการดำเนินคดีของเจ้าพนักงานไว้ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น เมื่อจำเลยกลับเข้าไปทำอีก ผู้เสียหายจึงเอาเรื่องคือให้เจ้าพนักงานดำเนินคดีที่งดรอไว้นั้นเอง ไม่มีทางที่จะให้รับฟังว่าความผิดฐานบุกรุกตอนแรกในวันที่ 16 มี.ค. 99 นั้นเป็นอันสูญสิ้นไปแล้ว
คดีนี้ได้ความว่าจำเลยกระทำผิด 2 คราวคือในวันที่ 16 มี.ค. 99 กับในวันที่ 3 พ.ค. 99 และผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ไว้ทั้ง 2 คราว แต่ฟ้องโจทก์ระบุชัดเจนว่าผู้เสียหายร้องทุกข์สำหรับความผิดในตอนแรก (16 มี.ค. 99) เท่านั้น โจทก์จึงไม่ได้กล่าวฟ้องถึงความผิดในตอนหลัง (3 พฤษภาคม 2499) เลย จึงถือว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้อง จึงลงโทษจำเลยสำหรับความผิดตอนหลังนี้ไม่ได้ แต่โจทก์มีสิทธิ์ที่จะนำสืบถึงพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ในตอนหลังคือในวันที่ 3 พฤษภาคม 2499 เพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยทำผิดคำรับรองในตอนต้น(16 มีนาคม 2499) ซึ่งเป็นข้อความที่เกี่ยวกับประเด็นโดยตรง หาเป็นนอกฟ้องนอกประเด็นไม่ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่2/2501)
วันที่ 16 มี.ค. 99 จำเลยเข้าไปบุกรุกยกคันนา นายเชิดผู้เสียหาย (โจทก์ร่วมอีกคนหนึ่ง) ไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านผู้ใหญ่บ้านห้ามจำเลยจำเลยว่า "เป็นนาของนายเชิด ผมก็ไม่ทำ" ผู้ใหญ่บ้านถามนายเชิด โจทก์ร่วมว่าจะให้ทำอย่างไรต่อไป นายเชิดว่า" ถ้าเขาหยุดแล้วก็ไม่เอาเรื่อง" ต่อมาวันที่ 3 พ.ค. 99 จำเลยกลับเข้าไปหว่านข้าวในนานั้นอีก นายเชิดจึงไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านและอำเภอได้ดำเนินการสอบสวนคดีนี้ แสดงให้เห็นว่าถ้าจำเลยเชื่อฟังนายเชิดก็ไม่เอาเรื่อง ถ้าไม่ฟังก็ต้องเอาเรื่องกันต่อไป ซึ่งเท่ากับให้งดรอการดำเนินคดีของเจ้าพนักงานไว้ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น เมื่อจำเลยกลับเข้าไปทำอีก ผู้เสียหายจึงเอาเรื่องคือให้เจ้าพนักงานดำเนินคดีที่งดรอไว้นั้นเอง ไม่มีทางที่จะให้รับฟังว่าความผิดฐานบุกรุกตอนแรกในวันที่ 16 มี.ค. 99 นั้นเป็นอันสูญสิ้นไปแล้ว
คดีนี้ได้ความว่าจำเลยกระทำผิด 2 คราวคือในวันที่ 16 มี.ค. 99 กับในวันที่ 3 พ.ค. 99 และผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ไว้ทั้ง 2 คราว แต่ฟ้องโจทก์ระบุชัดเจนว่าผู้เสียหายร้องทุกข์สำหรับความผิดในตอนแรก (16 มี.ค. 99) เท่านั้น โจทก์จึงไม่ได้กล่าวฟ้องถึงความผิดในตอนหลัง (3 พฤษภาคม 2499) เลย จึงถือว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้อง จึงลงโทษจำเลยสำหรับความผิดตอนหลังนี้ไม่ได้ แต่โจทก์มีสิทธิ์ที่จะนำสืบถึงพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ในตอนหลังคือในวันที่ 3 พฤษภาคม 2499 เพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยทำผิดคำรับรองในตอนต้น(16 มีนาคม 2499) ซึ่งเป็นข้อความที่เกี่ยวกับประเด็นโดยตรง หาเป็นนอกฟ้องนอกประเด็นไม่ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่2/2501)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 643/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อที่ดินร่วมกันและแบ่งครอบครองเป็นสัดส่วน การบุกรุกที่ดินส่วนแบ่งของผู้อื่นเป็นเหตุให้ต้องรับผิด
หลายคนตกลงร่วมกันซื้อที่ดินมีโฉนดเดียวกันแปลงหนึ่งเมื่อซื้อแล้วก็รังวัดแบ่งเขตกันครอบครองเป็นส่วนสัดที่ตกลงซื้อ เช่นนี้ย่อมทำได้ และในกรณีนี้ต่อมาหากผู้ซื้อผู้หนึ่งบุกรุกส่วนของอีกผู้หนึ่งก็ต้องรับผิดในเรื่องค่าเสียหาย จะอ้างสิทธิในฐานะเป็นเจ้าของร่วมขึ้นต่อสู้หาได้ไม่+
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 739/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกที่ดินและการห้ามเกี่ยวข้อง: ศาลพิพากษาตามประเด็นฟ้องเรื่องการบุกรุกและผลกระทบต่อเจ้าของที่ดิน
โจทก์ฟ้องอ้างว่า จำเลยที่ 1 เช่านาของโจทก์ทำภายหลังโจทก์ไม่ให้เช่า จำเลยที่ 1 กลับบุกรุกเข้าทำนาของโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายและว่าจำเลยที่ 2 ขอประกาศขายนาพิพาทของโจทก์นี้แก่จำเลยที่ 1 ขอให้ห้ามมิให้เกี่ยวข้อง
จำเลยให้การต่อสู้ว่าเป็นนาของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ทำต่างดอกเบี้ยกับต่อสู้ว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความ ดังนี้ เมื่อศาลวินิจฉัยว่านาพิพาทเป็นของโจทก์ ไม่ใช่ของจำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ทำนาพิพาทต่างดอกเบี้ย จำเลยที่ 1ไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหาย จึงพิพากษาห้ามมิให้จำเลยทั้งสองเข้าเกี่ยวข้องนั้น ถือว่า ได้วินิจฉัยไปตามประเด็นในฟ้องแล้ว
จำเลยให้การต่อสู้ว่าเป็นนาของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ทำต่างดอกเบี้ยกับต่อสู้ว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความ ดังนี้ เมื่อศาลวินิจฉัยว่านาพิพาทเป็นของโจทก์ ไม่ใช่ของจำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ทำนาพิพาทต่างดอกเบี้ย จำเลยที่ 1ไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหาย จึงพิพากษาห้ามมิให้จำเลยทั้งสองเข้าเกี่ยวข้องนั้น ถือว่า ได้วินิจฉัยไปตามประเด็นในฟ้องแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 642/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกที่ดินของเจ้าของที่ดินที่ให้เช่าแล้ว: สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายของเจ้าของที่ดิน
โจทก์เป็นเจ้าของนาพิพาท ได้ให้ ผ. เช่าไปเด็ดขาดแล้ว จำเลยบุกรุกเข้าทำในที่นาพิพาทนี้ ซึ่งเป็นการละเมิดโจทก์-ฟ้องเรียกค่าเสียหายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 642/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกที่ดินของผู้อื่น: สิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย แม้มีการเช่าช่วง
โจทก์เป็นเจ้าของนาพิพาท ได้ให้ ผ. เช่าไปเด็ดขาดแล้ว จำเลยบุกรุกเข้าทำในที่นาพิพาทนี้ ซึ่งเป็นการละเมิดโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 740/2487 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกที่ดินของผู้อื่นและการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง
บุกรุกเข้าไปทำที่ฝักศพไนที่ดินของผู้อื่น เมื่อไม่ปรากตเจ้าของที่ดินประมาทเลินเล่อไห้ทองเข้าไปทำแล้ว เจ้าของฟ้องขอไห้รื้อถอนและทำที่ดินไห้เปนไปตามสภาพเดิมได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 701/2487
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีบุกรุกที่ดินในสมรส: ไม่เป็นคดีอุทลุม
โจทก์ผู้เป็นหลานเขยฟ้องจำเลยซึ่งเป็นยายของภรรยาโจทก์ในคดีที่จำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินพิพาทอันเป็นสมรสระหว่างหลานเขยกับหลานสาวได้ ไม่เป็นคดีอุทลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5234/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากผู้บุกรุกที่ดินเช่า โดยพิสูจน์การกระทำละเมิดและกระจายความรับผิดตามพฤติการณ์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 15 อ้างว่าอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิมาจากการที่ ม. เช่าที่พิพาทจากโจทก์ที่ 1 แล้วสืบสิทธิต่อเนื่องกันมา แต่มิได้มีหลักฐานเกี่ยวกับสัญญาเช่าหรือหลักฐานการชำระเงินค่าเช่ามาแสดง ทั้งยังได้ความว่า ม. ถึงแก่ความตายไปแล้ว สิทธิการเช่าที่พิพาทย่อมสิ้นสุดลง จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 15 จึงไม่อาจที่จะอ้างการสืบสิทธิของ ม. เพื่ออยู่ในที่พิพาทต่อไปได้ จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 1 เมื่อโจทก์ที่ 2 ได้ใช้สิทธิแห่งตนในการฟ้องคดี โดยมีโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทร่วมฟ้องขับไล่มาด้วย จึงเป็นการใช้สิทธิแห่งตนที่มีอยู่เพื่อขับไล่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 15 ผู้กระทำละเมิดได้
โจทก์ที่ 2 ทำสัญญาเช่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากโจทก์ที่ 1 หนังสือมอบอำนาจ ย. ผู้ว่าการของโจทก์ที่ 1 ได้ลงลายมือชื่อมอบอำนาจให้โจทก์ที่ 2 ฟ้องคดีนี้แทน โจทก์ที่ 2 ย่อมมีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 7 ที่ 9 และที่ 13 กล่าวอ้างว่าอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของ ม. อันเป็นการอยู่โดยไม่มีสิทธิ จึงถือว่าเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นคู่สัญญาเช่าจากโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 2 มีสิทธิที่จะใช้ประโยชน์ในที่พิพาท จึงอยู่ในฐานะผู้ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการทำละเมิด เมื่อโจทก์ที่ 2 ฟ้องคดีร่วมกับโจทก์ที่ 1 อันเป็นการใช้สิทธิในกรณีที่ผู้เช่าไม่สามารถเข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่านั้นได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 477 และมาตรา 549 จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 7 ที่ 9 และที่ 13 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในผลแห่งละเมิดตามพฤติการณ์ความร้ายแรงให้แก่โจทก์ที่ 2
เมื่อพิจารณาการทำละเมิดของจำเลยทั้งสิบห้าแล้ว เห็นว่า จำเลยแต่ละกลุ่มแต่ละรายได้เข้าไปอยู่อาศัยหรือก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างในที่พิพาทตามจำนวนเนื้อที่มากน้อยแตกต่างกันคนละเวลา จึงเป็นความรับผิดเฉพาะส่วนของตนเท่านั้น ไม่ได้ร่วมกันทำละเมิด จึงต้องกระจายความรับผิดของจำเลยแต่ละกลุ่มแต่ละรายโดยอาศัยพฤติการณ์แห่งคดีในการกำหนดค่าเสียหายทางละเมิด
โจทก์ที่ 2 ทำสัญญาเช่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากโจทก์ที่ 1 หนังสือมอบอำนาจ ย. ผู้ว่าการของโจทก์ที่ 1 ได้ลงลายมือชื่อมอบอำนาจให้โจทก์ที่ 2 ฟ้องคดีนี้แทน โจทก์ที่ 2 ย่อมมีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 7 ที่ 9 และที่ 13 กล่าวอ้างว่าอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของ ม. อันเป็นการอยู่โดยไม่มีสิทธิ จึงถือว่าเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นคู่สัญญาเช่าจากโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 2 มีสิทธิที่จะใช้ประโยชน์ในที่พิพาท จึงอยู่ในฐานะผู้ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการทำละเมิด เมื่อโจทก์ที่ 2 ฟ้องคดีร่วมกับโจทก์ที่ 1 อันเป็นการใช้สิทธิในกรณีที่ผู้เช่าไม่สามารถเข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่านั้นได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 477 และมาตรา 549 จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 7 ที่ 9 และที่ 13 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในผลแห่งละเมิดตามพฤติการณ์ความร้ายแรงให้แก่โจทก์ที่ 2
เมื่อพิจารณาการทำละเมิดของจำเลยทั้งสิบห้าแล้ว เห็นว่า จำเลยแต่ละกลุ่มแต่ละรายได้เข้าไปอยู่อาศัยหรือก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างในที่พิพาทตามจำนวนเนื้อที่มากน้อยแตกต่างกันคนละเวลา จึงเป็นความรับผิดเฉพาะส่วนของตนเท่านั้น ไม่ได้ร่วมกันทำละเมิด จึงต้องกระจายความรับผิดของจำเลยแต่ละกลุ่มแต่ละรายโดยอาศัยพฤติการณ์แห่งคดีในการกำหนดค่าเสียหายทางละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1070/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีบุกรุกที่ดิน: ศาลไม่ต้องกำหนดทุนทรัพย์ หากจำเลยไม่ได้ต่อสู้กรรมสิทธิ์
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสามบุกรุกที่ดินของโจทก์ ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสามและบริวารกับเรียกค่าเสียหาย 100,000 บาท ในส่วนคำขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสามและบริวารนั้น ถือว่าเป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เมื่อจำเลยทั้งสามให้การเพียงว่าไม่เคยบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ หาได้ให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทว่าเป็นที่ดินของจำเลยทั้งสาม กรณีจึงไม่ทำให้กลายเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาทที่จำต้องตีราคาทรัพย์พิพาทเพื่อให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมศาล คดีจึงอยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลจังหวัดที่จะพิจารณาพิพากษาคดีได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 18 การที่ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดจำนวนทุนทรัพย์ที่ดินพิพาทก่อนที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป จึงไม่ใช่การดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ
โจทก์ฎีกาเฉพาะขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบแล้วให้ศาลชั้นต้นเริ่มต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่เพียงประการเดียว ถือว่าเป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้
โจทก์ฎีกาเฉพาะขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบแล้วให้ศาลชั้นต้นเริ่มต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่เพียงประการเดียว ถือว่าเป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14596/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีบุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์: โจทก์ใช้ประโยชน์จริง จึงมีสิทธิฟ้อง
แม้คดีนี้เริ่มต้นโดยการที่โจทก์ทั้งห้ามีหนังสือฉบับลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2540 ร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่ามีกลุ่มบุคคลบุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์หนองปลาแขยง หนองหินตั้ง และบุ่งกระเบา และมีการออกเอกสารสิทธิในที่ดินสาธารณประโยชน์ดังกล่าว ต่อมาคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ให้โอนเรื่องร้องทุกข์ของโจทก์ทั้งห้าไปยังศาลปกครองตามมาตรา 103 วรรคสาม แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ศาลปกครองกลางรับเป็นคำฟ้องคดีหมายเลขดำที่ 99/2544 โดยไม่ปรากฏว่า ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งห้าจัดทำคำฟ้องมายื่นใหม่ แต่เมื่อศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้โอนคดีนี้มายังศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นเห็นว่า การดำเนินกระบวนพิจารณาในคดีนี้ต้องเป็นไปตาม ป.วิ.พ. จึงมีคำสั่งให้โจทก์จัดทำคำฟ้องมายื่นใหม่และโจทก์ทั้งห้าได้ยื่นคำฟ้องใหม่ต่อศาลชั้นต้นและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับคำฟ้องของโจทก์ทั้งห้า โดยจำเลยทั้งสี่และผู้ร้องทั้งสิบสองมิได้โต้แย้งคัดค้านว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งห้าจัดทำคำฟ้องตาม ป.วิ.พ. มายื่นใหม่และมีคำสั่งรับคำฟ้องของโจททั้งห้าเป็นการไม่ถูกต้อง จึงต้องถือว่า คำฟ้องฉบับใหม่ของโจทก์ทั้งห้า เป็นคำฟ้องของโจทก์ทั้งห้าในคดีนี้ เมื่อพิจารณาคำฟ้องดังกล่าว โจทก์ทั้งห้าบรรยายมาด้วยว่า โจทก์ทั้งห้าเป็นราษฎรอำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ใช้ประโยชน์ในที่ดินสาธารณประโยชน์หนองปลาแขยง หนองหินตั้ง และบุ่งกระเบา โดยจับปลา เลี้ยงสัตว์ และเก็บฟืน ทั้งบรรยายด้วยว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานของรัฐมีหน้าที่รับจดทะเบียนและออกเอกสารสิทธิในที่ดินท้องที่ จำเลยที่ 2 เป็นหน่วยงานของรัฐ ต้นสังกัดของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมีอำนาจหน้าที่ปกครองและกำกับดูแลจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 4 เป็นหน่วยงานปกครองท้องถิ่นมีอำนาจตามกฎหมายในการดูแลรักษาที่ดินสาธารณประโยชน์รวมทั้งดำเนินคดีแก่ผู้บุกรุกและฟ้องขอให้เพิกถอนเอกสารสิทธิผู้บุกรุก ทั้งมีอำนาจตรวจสอบรังวัดที่ดินสาธารณประโยชน์ในท้องที่ของตนด้วย จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันออกเอกสารสิทธิให้ผู้บุกรุกโดยมิชอบ ส่วนจำเลยที่ 3 และที่ 4 ละเลยต่อหน้าที่ดูแลรักษา เป็นเหตุให้ผู้บุกรุกเข้าครอบครองที่ดินสาธารณประโยชน์โดยมิชอบ ดังนี้ หากข้อเท็จจริงเป็นดังที่โจทก์ทั้งห้ากล่าวอ้างมาในคำฟ้อง ย่อมทำให้โจทก์ทั้งห้าไม่อาจใช้ประโยชน์ในที่ดินสาธารณประโยชน์ดังกล่าวได้ตามปกติ ต้องถือว่าโจทก์ทั้งห้ามีข้อโต้แย้งสิทธิกับจำเลยทั้งสี่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 แล้ว โจทก์ทั้งห้าจึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้