พบผลลัพธ์ทั้งหมด 138 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 857/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้เงินกู้ไม่เป็นลาภมิควรได้ แม้จะมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้กู้เงินจำเลย 5,000 บาท แต่ทำสัญญากู้กันไว้ 8,000 บาท โจทก์ผ่อนชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้จำเลยแล้วรวม 5,300 บาท ต่อมาจำเลยฟ้องโจทก์เรียกเงินต้นและดอกเบี้ย รวม 9,150 บาท โจทก์จำเลยได้ตกลงกันนอกศาล โดยจำเลยยอมให้โจทก์หักเงินจำนวน 5,300 บาท ออกจากทุนทรัพย์ในคดีและจำเลยยอมรับเงินเพียง 4,200 บาท แต่โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลโดยโจทก์ยอมชำระเงินให้จำเลยเต็มตามฟ้องภายใน 1 เดือน ครั้นครบกำหนดตามยอมจำเลยไม่ยอมรับชำระเงิน 4,200 บาท แต่กลับขอให้บังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามที่ทำกันไว้ในศาลดังกล่าว จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยคืนเงิน 5,300 บาท ที่โจทก์ได้ชำระให้แก่จำเลยไปดังกล่าว ดังนี้ เมื่อตามฟ้องปรากฏชัดอยู่แล้วว่า ที่จำเลยได้รับเงิน 5,300 บาทจากโจทก์ไว้ เพราะโจทก์ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่จำเลย (ชำระหนี้เงินจำนวนดังกล่าวก็โดยอาศัยที่โจทก์เป็นหนี้เงินกู้จำเลยอยู่) จึงเป็นกรณีที่มีมูลอันจำเลยจะอ้างได้ตามกฎหมาย ไม่เป็นลาภมิควรได้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406 โจทก์จึงเรียกเงินที่ชำระไปดังกล่าวแล้วคืนไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 857/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้เงินกู้ ไม่ถือเป็นลาภมิควรได้ แม้จะมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้กู้เงินจำเลย 5,000 บาท แต่ทำสัญญากู้กันไว้ 8,000 บาท โจทก์ผ่อนชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้จำเลยแล้วรวม 5,300 บาท ต่อมาจำเลยฟ้องโจทก์เรียกเงินต้นและดอกเบี้ยรวม 9,150 บาท โจทก์จำเลยได้ตกลงกันนอกศาลโดยจำเลยยอมให้โจทก์หักเงินจำนวน 5,300 บาท ออกจากทุนทรัพย์ในคดีและจำเลยยอมรับเงินเพียง 4,200 บาทแต่โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลโดยโจทก์ยอมชำระเงินให้จำเลยเต็มตามฟ้องภายใน 1 เดือน ครั้นครบกำหนดตามยอมจำเลยไม่ยอมรับชำระเงิน 4,200 บาท แต่กลับขอให้บังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามที่ทำกันไว้ในศาลดังกล่าวจึงขอให้ศาลบังคับจำเลยคืนเงิน 5,300 บาท ที่โจทก์ได้ชำระให้แก่จำเลยไปดังกล่าวดังนี้ เมื่อตามฟ้องปรากฏชัดอยู่แล้วว่า ที่จำเลยได้รับเงิน 5,300 บาท จากโจทก์ไว้ เพราะโจทก์ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่จำเลย (ชำระหนี้เงินจำนวนดังกล่าวก็โดยอาศัยที่โจทก์เป็นหนี้เงินกู้จำเลยอยู่) จึงเป็นกรณีที่มีมูลอันจำเลยจะอ้างได้ตามกฎหมายไม่เป็นลาภมิควรได้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406 โจทก์จึงเรียกเงินที่ชำระไปดังกล่าวแล้วคืนไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2569/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บัญชีเดินสะพัด: การตัดบัญชีที่ถูกต้องและการฟ้องเรียกหนี้คงเหลือ ไม่เป็นลาภมิควรได้
ธนาคารนำเช็คของผู้อื่นเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยผิดไปธนาคารเพิกถอนรายการนั้นได้ จำเลยขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับธนาคาร ธนาคารอนุมัติ ถือเป็นบัญชีเดินสะพัดตาม มาตรา 856 จำเลยนำเงินเข้าและเบิกเงินไปตลอดมา ธนาคารเรียกเงินคงเหลือจากจำเลยเมื่อตัดทอนบัญชีเดินสะพัด ไม่ใช่ลาภมิควรได้ ไม่ใช้อายุความ 1 ปีตาม มาตรา 419
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1393/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือค้ำประกันไม่ใช่เงินมัดจำ จำเลยริบไม่ได้ ถือเป็นลาภมิควรได้
ห้างหุ้นส่วนจำกัด ว. รับเหมาก่อสร้างอาคารของจำเลยในราคา2,471,000 บาท โดยต้องวางมัดจำร้อยละ 5 ของราคาก่อสร้างคิดเป็นเงิน 123,500 บาท หรือมิฉะนั้นจะต้องให้ธนาคารค้ำประกันในวงเงินดังกล่าว โจทก์ได้ออกหนังสือค้ำประกันชดใช้ค่าเสียหายกรณีผิดสัญญาของ ว.ให้แก่จำเลยความว่า หากว. ผิดสัญญาโจทก์ขอรับผิดชดใช้เงินแทนในวงเงินไม่เกิน 123,500 บาท โดยมิได้วางเงินตามหนังสือค้ำประกัน จึงมิใช่มัดจำตามกฎหมาย ตามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างระหว่างจำเลยและ ว. ก็มิได้มีข้อความให้จำเลยริบเงินตามหนังสือค้ำประกันได้ เพียงแต่ให้ปรับได้เป็นรายวัน เมื่อ ว. ผิดสัญญาจำเลยจึงได้บอกเลิกสัญญาและแจ้งให้โจทก์ทราบว่าได้สั่งริบมัดจำตามหนังสือค้ำประกันให้ส่งเงินให้จำเลย โจทก์จึงส่งเงินให้จำเลย เช่นนี้ เป็นเรื่องโจทก์ชำระเงินให้จำเลยไปโดยที่ ว. ไม่มีหน้าที่ต้องชำระ โจทก์จึงไม่มีหน้าที่ชำระแก่จำเลยและเป็นทรัพย์ที่จำเลยได้มาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ เป็นลาภมิควรได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 921/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเรียกคืนภาษีที่ชำระเกิน สิทธิเรียกร้องไม่เป็นลาภมิควรได้ และการประเมินภาษี
โจทก์สั่งวัตถุดิบจากต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรการที่จำเลยเก็บภาษีจากโจทก์ตามที่โจทก์ชำระก็โดยอาศัยประมวลรัษฎากรเป็นหลักจึงเป็นการได้มาโดยมีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ขณะรับทรัพย์นั้นกรณีมิใช่ลาภมิควรได้อันจะขาดอายุความหนึ่งปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 419
โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้ายื่นคำขอชำระค่าภาษีเอง มิใช่โดยการประเมินของเจ้าพนักงานตามมาตรา 87 หรือ 18 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ที่มาตรา 77 ทวิ บัญญัติว่า ภาษีการค้าเป็นภาษีอากรประเมินก็เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 14 หาใช่หมายความว่าภาษีการค้าทุกรายแม้ผู้ประกอบการค้าชำระภาษีเอง จักต้องถือว่าได้มีการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินไม่ จึงนำบทบัญญัติเรื่องอุทธรณ์ตามมาตรา 30 มาใช้บังคับไม่ได้
โจทก์เพียงแต่ฎีกาขอให้ศาลชั้นต้นสืบพยาน มิได้ขอให้ชนะคดี จึงควรเสียค่าขึ้นศาล 50 บาท ตามตาราง 1 ข้อ 2 ก ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่แก้ไขใหม่
โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้ายื่นคำขอชำระค่าภาษีเอง มิใช่โดยการประเมินของเจ้าพนักงานตามมาตรา 87 หรือ 18 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ที่มาตรา 77 ทวิ บัญญัติว่า ภาษีการค้าเป็นภาษีอากรประเมินก็เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 14 หาใช่หมายความว่าภาษีการค้าทุกรายแม้ผู้ประกอบการค้าชำระภาษีเอง จักต้องถือว่าได้มีการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินไม่ จึงนำบทบัญญัติเรื่องอุทธรณ์ตามมาตรา 30 มาใช้บังคับไม่ได้
โจทก์เพียงแต่ฎีกาขอให้ศาลชั้นต้นสืบพยาน มิได้ขอให้ชนะคดี จึงควรเสียค่าขึ้นศาล 50 บาท ตามตาราง 1 ข้อ 2 ก ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่แก้ไขใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2518/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดินตกเป็นโมฆะเมื่อไม่ได้จดทะเบียนโอน สิทธิเรียกร้องได้เฉพาะเงินคืนในฐานลาภมิควรได้
เมื่อข้อความในสัญญาแสดงถึงเจตนาของคู่สัญญาโดยชัดแจ้งว่ามุ่งประสงค์ต่อการซื้อขายที่ดินระหว่างกันเด็ดขาด ไม่มีความตอนใดแสดงให้เห็นถึงเจตนาว่าจะไปจดทะเบียนโอนที่ดินกันในภายหลัง กล่าวคือคู่สัญญาตกลงซื้อขายที่ดินกันเอง โดยมิได้คำนึงถึงการแบ่งแยกโฉนดและจดทะเบียนโอนที่ดินต่อกันแต่ประการใดกรณีเช่นนี้ ย่อมเป็นผลให้สัญญาดังกล่าวตกเป็นโมฆะเสียเปล่าไปและเมื่อสัญญาซื้อขายตกเป็นโมฆะ เงินราคาที่ดินซึ่งผู้ซื้อชำระต่อกันไปเสร็จแล้ว ผู้ซื้อชอบที่จะเรียกร้องเอาคืนจากผู้ขายได้ในฐานลาภมิควรได้ แต่ผู้ซื้อหามีสิทธิที่จะเรียกร้องเอาค่าเสียหายใด ๆ จากผู้ขายได้ไม่ เพราะมิใช่เป็นผลจากการผิดสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 258/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจำนองที่ทำโดยผู้ไม่มีสิทธิ จำนองแล้วรับเงินโดยไม่มีมูลอ้างฐานลาภมิควรได้
ล. เจ้าของที่ดินขายที่ดินให้ ม. โดยทำหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แล้ว ล. นำที่ดินนั้นไปจำนองต่อจำเลยที่ 3โดยทำหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เช่นกันต่อมาภายหลัง ล. ได้นำที่ดินรายเดียวกันนี้ไปขายให้โจทก์อีกโจทก์ไม่ทราบเรื่องที่ ล. ขายให้ ม. จึงรับซื้อไว้ และชำระราคาที่ดินให้จำเลยที่ 3 เป็นค่าไถ่ถอนจำนอง ดังนี้ ถือว่าในขณะที่ ล.จำนองที่ดินนั้น ล. ผู้จำนอง ไม่ใช่เจ้าของที่ดิน สัญญาจำนองระหว่าง ล. กับจำเลยที่ 3 จึงไม่มีผลบังคับได้ตามกฎหมายการที่โจทก์มอบเงินให้จำเลยที่ 3 ไปเป็นการไถ่ถอนจำนองและจำเลยที่ 3 รับไว้จึงเป็นการรับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายและทำให้โจทก์เสียเปรียบ. โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกเงินที่ชำระไปคืนจากจำเลยที่ 3 ได้ในฐานลาภมิควรได้
คำฟ้องของโจทก์บรรยายว่า จำเลยที่ 3 ไม่มีสิทธิอันใดที่จะได้เงินค่าที่ดินไปจากโจทก์. ขอให้จำเลยที่ 3คืนเงินให้โจทก์เป็นที่เห็นได้แล้วว่าโจทก์ขอบังคับให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์ฐานลาภมิควรได้
คำฟ้องของโจทก์บรรยายว่า จำเลยที่ 3 ไม่มีสิทธิอันใดที่จะได้เงินค่าที่ดินไปจากโจทก์. ขอให้จำเลยที่ 3คืนเงินให้โจทก์เป็นที่เห็นได้แล้วว่าโจทก์ขอบังคับให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์ฐานลาภมิควรได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 258/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำนองโดยผู้ไม่มีสิทธิ & ลาภมิควรได้: ผู้รับจำนองต้องคืนเงินไถ่ถอนให้ผู้ซื้อที่ดิน
ล. เจ้าของที่ดินขายที่ดินให้ ม. โดยทำหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แล้ว ล. นำที่ดินนั้นไปจำนองต่อจำเลยที่ 3 โดยทำหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เช่นกัน ต่อมาภายหลัง ล. ได้นำที่ดินรายเดียวกันนี้ไปขายให้โจทก์อีก โจทก์ไม่ทราบเรื่องที่ ล. ขายให้ ม. จึงรับซื้อไว้ และชำระราคาที่ดินให้จำเลยที่ 3 เป็นค่าไถ่ถอนจำนอง ดังนี้ ถือว่าในขณะที่ ล. จำนองที่ดินนั้น ล. ผู้จำนอง ไม่ใช่เจ้าของที่ดิน สัญญาจำนองระหว่าง ล. กับจำเลยที่ 3 จึงไม่มีผลบังคับได้ตามกฎหมาย การที่โจทก์มอบเงินให้จำเลยที่ 3 ไปเป็นการไถ่ถอนจำนอง และจำเลยที่ 3 รับไว้จึงเป็นการรับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมาย และทำให้โจทก์เสียเปรียบ. โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกเงินที่ชำระไป คืนจากจำเลยที่ 3 ได้ในฐานลาภมิควรได้
คำฟ้องของโจทก์บรรยายว่า จำเลยที่ 3 ไม่มีสิทธิอันใดที่จะได้เงินค่าที่ดินไปจากโจทก์. ขอให้จำเลยที่ 3คืนเงินให้โจทก์ เป็นที่เห็นได้แล้วว่าโจทก์ขอบังคับให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์ฐานลาภมิควรได้
คำฟ้องของโจทก์บรรยายว่า จำเลยที่ 3 ไม่มีสิทธิอันใดที่จะได้เงินค่าที่ดินไปจากโจทก์. ขอให้จำเลยที่ 3คืนเงินให้โจทก์ เป็นที่เห็นได้แล้วว่าโจทก์ขอบังคับให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์ฐานลาภมิควรได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2484/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำประเด็นเดิมที่ศาลวินิจฉัยแล้วย่อมต้องห้ามตามกฎหมาย และการชำระหนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่ลาภมิควรได้
คดีก่อน จำเลยที่ 1 ฟ้องขับไล่โจทก์และบริวารให้ออกไปจากห้องเช่าพร้อมกับเรียกค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหาย ศาลพิพากษาให้ขับไล่โจทก์และบริวาร และให้โจทก์ชำระค่าเช่าที่ค้าง 4 เดือนเป็นเงิน 2,000 บาท กับค่าเสียหายต่อไปอีกเดือนละ 1,500 บาทจนกว่าโจทก์จะคืนห้องเช่าให้จำเลยที่ 1 คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยที่ 1 ว่า ศาลพิพากษาในคดีก่อน กำหนดค่าเสียหายให้จำเลยที่ 1 เดือนละ 1,500 บาท ไม่ถูก ความจริงควรเป็นเดือนละ 500 บาท ดังนี้ เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ต้องห้าม มิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
การที่จำเลยรับชำระหนี้จากโจทก์ไปตามคำพิพากษาของศาลซึ่งมีผลบังคับตามกฎหมายนั้น หาใช่ลาภมิควรได้ไม่
การที่จำเลยรับชำระหนี้จากโจทก์ไปตามคำพิพากษาของศาลซึ่งมีผลบังคับตามกฎหมายนั้น หาใช่ลาภมิควรได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2484/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำประเด็นค่าเสียหายที่เคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว และการรับชำระหนี้ตามคำพิพากษา มิใช่ลาภมิควรได้
คดีก่อน จำเลยที่ 1 ฟ้องขับไล่โจทก์และบริวารให้ออกไปจากห้องเช่าพร้อมกับเรียกค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหาย ศาลพิพากษาให้ขับไล่โจทก์และบริวาร และให้โจทก์ชำระค่าเช่าที่ค้าง 4 เดือน เป็นเงิน 2,000 บาท กับค่าเสียหายต่อไปอีกเดือนละ 1,500 บาท จนกว่าโจทก์จะคืนห้องเช่าให้จำเลยที่ 1 คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยที่ 1 ว่า ศาลพิพากษาในคดีก่อน กำหนดค่าเสียหายให้จำเลยที่ 1 เดือนละ 1,500 บาท ไม่ถูก ความจริงควรเป็นเดือนละ 500 บาท ดังนี้ เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
การที่จำเลยรับชำระหนี้จากโจทก์ไปตามคำพิพากษาของศาลซึ่งมีผลบังคับตามกฎหมายนั้นหาใช่ลาภมิควรได้ไม่
การที่จำเลยรับชำระหนี้จากโจทก์ไปตามคำพิพากษาของศาลซึ่งมีผลบังคับตามกฎหมายนั้นหาใช่ลาภมิควรได้ไม่