พบผลลัพธ์ทั้งหมด 926 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1124/2546
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลชั้นต้นงดสืบพยานคดีแบ่งแยกที่ดินไม่ชอบ เพราะข้อเท็จจริงยังไม่ยุติและต้องมีการสืบพยานเพิ่มเติม
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและนัดฟังคำพิพากษาโดยสอบถามโจทก์และจำเลย โดยต่างคนต่างแถลงตามข้ออ้างและข้อเถียงของตน มิได้แถลงรับข้อเท็จจริงอันสำคัญในประเด็นที่โต้แย้ง ข้อเท็จจริงจึงยังไม่ยุติ และข้อเท็จจริงตามคำฟ้องคำให้การและคำแถลงของคู่ความยังไม่เพียงพอวินิจฉัยชี้ขาดคดีได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองจึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1118/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาเรื่องภาระจำยอมต้องยกขึ้นว่ากันในศาลชั้นต้น หากฎีกาในประเด็นใหม่ถือว่าเป็นการขัดต่อข้อจำกัดการฎีกา
จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินที่ใช้วางท่อระบายน้ำทิ้งเป็นที่ดินของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ เป็นการ ต่อสู้กรรมสิทธิ์ จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่า ใช้ที่ดินตรงที่วางท่อระบายน้ำทิ้งโดยเจตนาจะให้ได้ภาระจำยอม ฎีกาของจำเลยจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง แม้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1118/2546
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินขัดแย้งกับสิทธิภารจำยอม ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยหากมิได้ยกขึ้นว่ากันในศาลชั้นต้น
จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินที่ใช้วางท่อระบายน้ำทิ้งเป็นที่ดินของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าใช้ที่ดินตรงที่วางท่อระบายน้ำทิ้งโดยเจตนาจะให้ได้ภารจำยอม ฎีกาของจำเลยที่ว่าจำเลยได้สิทธิภารจำยอมโดยอายุความในการใช้ที่ดินตรงที่วางท่อระบายน้ำทิ้งจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว โดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง แม้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลฎีกาก็วินิจฉัยให้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5441/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยประเด็นที่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัย และการพิจารณาฟ้องซ้ำ/ฟ้องซ้อน
ศาลอุทธรณ์จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยและพิพากษาในประเด็นที่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัยหรือไม่ เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ที่จะใช้ดุลพินิจกระทำได้เมื่อปรากฏว่าทั้งโจทก์และจำเลยต่างนำพยานหลักฐานของตนเข้าสืบจนเสร็จสิ้นกระแสความแล้ว เพื่อความรวดเร็วในการพิจารณาพิพากษาคดี ศาลอุทธรณ์จะใช้ดุลพินิจวินิจฉัยประเด็นที่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัยเสียให้เสร็จสิ้นโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ได้
คดีก่อนโจทก์ฟ้องอ้างว่าได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทมาโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 อันมีลักษณะเป็นการแย่งกรรมสิทธิ์ คดียังไม่ถึงที่สุด โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ว่าได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทแปลงเดียวกันมาจากการซื้อขายโดยสละและส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้และตกลงจะแบ่งแยกให้ภายหลัง ประเด็นข้อพิพาทคดีทั้งสองจึงแตกต่างกันฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อน
คดีก่อนโจทก์ฟ้องอ้างว่าได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทมาโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 อันมีลักษณะเป็นการแย่งกรรมสิทธิ์ คดียังไม่ถึงที่สุด โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ว่าได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทแปลงเดียวกันมาจากการซื้อขายโดยสละและส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้และตกลงจะแบ่งแยกให้ภายหลัง ประเด็นข้อพิพาทคดีทั้งสองจึงแตกต่างกันฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5374/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกา: ศาลชั้นต้นต้องสั่งการบังคับคดี ไม่ใช่แค่สั่งให้จำเลยปฏิบัติตาม
เมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี จำเลยต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยรื้อรั้วตามรูปกากบาทเส้นสีแดงในแผนที่เอกสารท้ายฟ้อง เฉพาะบางส่วนที่เริ่มตั้งแต่ด้านทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตกจนถึงแนวยุ้งข้าวของโจทก์ตามระยะทางที่โจทก์สามารถนำรถยนต์เข้าไปขนข้าวในยุ้งข้าวของโจทก์ได้ ฉะนั้น การที่จำเลยแถลงต่อศาลว่าไม่ได้รื้อรั้วตั้งแต่ด้านทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตกจนถึงแนวยุ้งข้าวของโจทก์แต่อย่างใดแสดงว่าจำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลฎีกา เมื่อศาลชั้นต้นออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว จึงมีอำนาจโดยชอบโดยตรงที่จะดำเนินการแก่จำเลยเพื่อให้คำพิพากษาของศาลฎีกามีผลบังคับใช้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 302 ส่วนวิธีดำเนินการกับจำเลยเกี่ยวกับการรื้อรั้วนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 เบญจ ได้บัญญัติไว้แล้ว แต่ศาลชั้นต้นหาได้กระทำไม่ กลับออกคำสั่งให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลฎีกาซึ่งเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ เพราะจำเลยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลฎีกาอยู่แล้วโดยไม่จำต้องให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีบังคับคดีต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4088/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษจำคุกเกินกว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดโดยศาลอุทธรณ์ โดยที่โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ ถือเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯมาตรา 4,55,78 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80,83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีลูกระเบิดอันเป็นเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ จำคุก 4 ปี ฐานร่วมกันใช้ลูกระเบิดอันเป็นเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้และฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 10 ปีรวมจำคุก 14 ปี จำเลยอุทธรณ์ฝ่ายเดียว ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80,83 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 55 ประกอบด้วยมาตรา 78 วรรคหนึ่งและวรรคสามความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ฐานร่วมกันมีวัตถุระเบิดและใช้วัตถุระเบิดเพื่อฆ่าผู้อื่นเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 78 วรรคสาม ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเท่ากับศาลอุทธรณ์ภาค 7 ลงโทษจำคุกจำเลยกระทงเดียว 14 ปีเกินกว่าที่ศาลชั้นต้นวางโทษจำคุกในแต่ละกระทงโดยที่โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ อันเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 ศาลฎีกาพิพากษาแก้ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 10 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4070/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาซ้ำ เมื่อศาลชั้นต้นและอุทธรณ์เคยมีคำสั่งไม่อนุญาตแล้ว แม้จะอ้างเหตุยากจนกว่าเดิม
เดิมจำเลยได้เคยยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์แล้วครั้งหนึ่งศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีของจำเลยไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะอุทธรณ์ให้ยกคำร้อง และศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น คำสั่งศาลอุทธรณ์ย่อมเป็นที่สุด คดีจึงฟังได้เป็นข้อยุติว่าคดีของจำเลยไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะอุทธรณ์ การที่จำเลยยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ครั้งใหม่ โดยอ้างเหตุว่ายากจนลงกว่าเดิมแม้จะฟังได้ตามข้ออ้างของจำเลย ศาลก็ไม่อาจอนุญาตให้จำเลยดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 406/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์ในคดีแรงงาน: จำเลยต้องยกข้อต่อสู้ในศาลชั้นต้นเท่านั้น จึงจะอุทธรณ์ได้
จำเลยผู้เป็นนายจ้างไม่ได้ให้การต่อสู้เกี่ยวกับค่าจ้างตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้อง และมิได้ต่อสู้ว่าค่ารับรอง ค่าน้ำมันรถ ค่าอาหาร เงินสะสม ค่าภาษีและเงินสมทบที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์แต่ละเดือนมิใช่ค่าจ้าง อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าจำนวนเงินตามฟ้องมิใช่ค่าจ้าง จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงาน ทั้งมิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 ประกอบด้วย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3514/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาต้องห้าม การฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้น
เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยเห็นว่าเป็นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(1) คำสั่งของศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 วรรคหนึ่ง ต้องห้ามฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3391/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตอำนาจศาลในการงดการบังคับคดี: เฉพาะคดีที่ยังมิได้บังคับสำเร็จ
จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเพื่อให้มีคำสั่งทุเลาการบังคับไว้ชั่วคราวจนกว่าจะมีคำสั่งของศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลย แปลได้ว่าจำเลยมุ่งประสงค์ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้เป็นการชั่วคราว ซึ่งศาลชั้นต้นอาจใช้ดุลพินิจสั่งให้งดการบังคับคดีได้ตามที่เห็นสมควรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292(2) แต่การบังคับคดีนั้นงดได้เฉพาะการบังคับคดีที่ยังไม่ได้กระทำหรือที่จะต้องกระทำต่อไป จะงดการบังคับคดีที่ได้ปฏิบัติมาแล้วไม่ได้ เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการยึดทรัพย์บางส่วนมอบให้โจทก์ถือว่าการบังคับคดีในส่วนนี้เสร็จแล้ว ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจสั่งให้งดการบังคับคดีในส่วนนี้ ส่วนทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียังไม่ได้ยึด ศาลชั้นต้นมีอำนาจให้งดการบังคับคดีได้