คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลพิจารณา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 292 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1971/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งที่ดินมรดก: ศาลพิจารณาความเสียหายจากการแบ่งแยก และการครอบครองที่ดินเป็นส่วนสัด
โจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทร่วมกันคนละครึ่ง จำเลยครอบครองส่วนด้านทิศเหนือ โจทก์ครอบครองส่วนด้านทิศใต้ โจทก์ฟ้องคดีนี้ขอแบ่งตาม ความยาวของรูปที่ดินประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 บัญญัติเรื่องการแบ่งที่ดินระหว่างเจ้าของรวมว่า "...ถ้าเจ้าของรวมไม่ตกลงกันว่าจะแบ่งทรัพย์สินอย่างไรไซร้ เมื่อเจ้าของรวมคนหนึ่งคนใดขอศาลอาจสั่งให้เอาทรัพย์สินนั้นออกแบ่ง..." เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการแบ่งที่ดินพิพาทตามความยาวของรูปที่ดินน่าจะทำให้เกิดความเสียหายมากถึงขนาดต้องรื้อบ้านจำเลย ซึ่งบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้นไม่มีความประสงค์ให้เป็นเช่นนั้น และทั้งโจทก์จำเลยได้แบ่งแยกที่ดินพิพาทออกครอบครองเป็นส่วนสัดอยู่แล้ว จึงไม่ชอบที่จะแบ่งตามความยาวของรูปที่ดินดังที่โจทก์ขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 998/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยุบสภาและการจำหน่ายคดีเลือกตั้งซ่อม เนื่องจากไม่มีประโยชน์ในการพิจารณาต่อ
ผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้การเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นโมฆะและให้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่ภายหลัังได้มี พระราชกฤษฎีกา ยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2531 และกำหนดให้หมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการเลือกตั้งทั่วไปจึงเป็นกรณีที่ศาลฎีกาไม่สามารถจะสั่งให้ได้ ส่วนที่ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของ ส. และ บ. นั้น เมื่อศาลชั้นต้นนัดผู้ร้องมาเพื่อสอบถามว่ายังติดใจที่จะให้ศาลมีคำสั่งดังกล่าวอยู่หรือไม่ ผู้ร้องก็ไม่มาศาลซึ่งถือได้ว่าไไม่ติดใจที่จะให้ศาลมีคำสั่งเช่นนั้นอีกดังนี้ คดีของผู้ร้องจึงไม่มีประโยชน์ที่ศาลฎีกาจะพิจารณาต่อไป ต้องจำหน่ายคดีจากสารบบความ.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3370/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสารภาพในความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถาน ศาลพิจารณาจากคำรับสารภาพแม้ไม่ได้ระบุรายละเอียดชัดเจน
โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างเวลากลางคืนก่อนเที่ยงถึงเวลากลางวันวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยได้เข้าไปลักทรัพย์ของผู้เสียหายซึ่งอยู่ในเคหสถานไปโดยทุจริตหรือมิฉะนั้นจำเลยได้กระทำผิดฐานรับของโจรทรัพย์ที่ถูกลักไป เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางวันจริงตามฟ้องเช่นนี้ ก็ต้องฟังว่าจำเลยลักทรัพย์ในเคหสถานตามที่ปรากฏในคำฟ้องโจทก์ด้วยศาลลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(8) วรรคแรกได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2974/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดพิจารณาคดีเนื่องจากความเข้าใจผิดในวันนัดสืบพยาน: ศาลพิจารณาว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัด
ในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก ทนายจำเลยมอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นคำร้องขอเลื่อนคดีเพราะป่วย ศาลอนุญาตให้เลื่อนไปนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 28 และ 29 กรกฎาคม 2529 แต่เสมียนทนายเข้าใจผิดได้แจ้งให้ทนายจำเลยทราบว่าศาลเลื่อนไปนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2529 เพียงวันเดียว ซึ่งในวันดังกล่าวทนายจำเลยก็มาศาลและได้ยื่นบัญชีระบุพยานจำเลยในคดีดังกล่าวเพิ่มเติมด้วย แม้เสมียนทนายจำเลยได้ลงลายมือชื่อในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลก็ตามก็อาจเข้าใจผิดได้ การที่ทนายจำเลยไม่ทราบวันนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2529 และไม่มาศาลถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจขาดนัดพิจารณา.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1290/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายเวลายื่นฎีกา: เหตุพิเศษที่ศาลพิจารณา
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2530ต่อมาวันที่ 8 เมษายน 2530 จำเลยยื่นคำร้องขอขยายเวลายื่นฎีกาออกไปอีก 30 วัน อ้างว่าจำเลยเพิ่งตามตัวทนายความที่ต้องการพบและทนายความคนใหม่ไม่สามารถยื่นฎีกาได้ทัน แม้จำเลยจะเปลี่ยนทนายความใหม่และอยู่ในกรุงเทพมหานครก็สามารถยื่นฎีกาได้ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เหตุล่าช้าของจำเลยยังถือไม่ได้ว่าเป็นเพราะมีพฤติการณ์พิเศษอันศาลจะพึงขยายเวลายื่นฎีกาให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2142/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การท้าคดีตามคำเสนอของจำเลย ศาลต้องพิจารณาตามคำท้าหากคู่ความตกลงและสละประเด็นอื่น
ในระหว่างพิจารณาจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลรอการพิจารณาคดีไว้ก่อน เพื่อรอฟังผลในคดีอาญา โดยให้ถือเอาผลของคดีอาญาที่ถึงที่สุดเป็นข้อแพ้ชนะในคดีนี้ ศาลชั้นต้นสั่งนัดพร้อม ในวันนัดพร้อมคู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงรับค่าเสียหายกันตามฟ้อง และโจทก์มิได้คัดค้านคำเสนอท้าของจำเลย คงตกลงกันให้รอการพิจารณาคดีนี้ไว้เพื่อรอฟังผลคดีอาญาตามที่จำเลยร้องขอ ต่อมาจำเลยยื่นคำแถลงว่าคดีอาญาถึงที่สุดแล้วขอให้ศาลนำคดีนี้ขึ้นมาพิจารณาและพิพากษาให้เป็นไปตามที่คู่ความแถลงรับไว้ก่อนรอคดีด้วยศาลชั้นต้นสั่งนัดพร้อม ถึงวันนัดโจทก์แถลงรับว่าคดีอาญาถึงที่สุดแล้ว และคู่ความแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า ไม่ติดใจสืบพยานต่อไปขอให้ศาลพิจารณาคดีไปตามคำท้าของจำเลยซึ่งโจทก์เห็นชอบด้วย เช่นนี้จึงฟังได้ว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายได้ท้ากันให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีไปตามคำท้าที่จำเลยเสนอไว้ ศาลจึงต้องพิจารณาพิพากษาคดีไปตามคำท้านั้น และถือว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายต่างสละประเด็นข้อพิพาทอื่นนอกจากคำท้าโดยสิ้นเชิง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2142/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยอมรับข้อเสนอคำท้าของจำเลยหลังรอผลคดีอาญา ศาลต้องพิจารณาพิพากษาตามข้อตกลง
ในระหว่างพิจารณาจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลรอการพิจารณาคดีไว้ก่อน เพื่อรอฟังผลในคดีอาญา โดยให้ถือเอาผลของคดีอาญาที่ถึงที่สุดเป็นข้อแพ้ชนะในคดีนี้ ศาลชั้นต้นสั่งนัดพร้อมในวันนัดพร้อมคู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงรับค่าเสียหายกันตามฟ้อง และโจทก์มิได้คัดค้านคำเสนอท้าของจำเลย คงตกลงกันให้รอการพิจารณาคดีนี้ไว้เพื่อรอฟังผลคดีอาญาตามที่จำเลยร้องขอต่อมาจำเลยยื่นคำแถลงว่าคดีอาญาถึงที่สุดแล้วขอให้ศาลนำคดีนี้ขึ้นมาพิจารณาและพิพากษาให้เป็นไปตามที่คู่ความแถลงรับไว้ก่อนรอคดีด้วย ศาลชั้นต้นสั่งนัดพร้อม ถึงวันนัดโจทก์แถลงรับว่าคดีอาญาถึงที่สุดแล้ว และคู่ความแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า ไม่ติดใจสืบพยานต่อไปขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีไปตามคำท้าของจำเลยซึ่งโจทก์เห็นชอบด้วยเช่นนี้ จึงฟังได้ว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายได้ท้ากันให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีไปตามคำท้าที่จำเลยเสนอไว้ศาลจึงต้องพิจารณาพิพากษาคดีไปตามคำท้านั้น และถือว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายต่างสละประเด็นข้อพิพาทอื่นนอกจากคำท้าโดยสิ้นเชิง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1421/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำให้การอ้างโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเป็นคดีความสงบเรียบร้อย ศาลต้องพิจารณาตามขั้นตอน
การขอแก้ไขคำให้การโดยอ้างว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเป็นคดีเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะยื่น คำร้องในวันชี้สองสถานก็ไม่ต้องห้าม แต่ศาลชั้นต้นยังมิได้ดำเนินการ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 181 ศาลฎีกาจึงให้ ยกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นปฏิบัติ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 181 แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5806/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีอาญาเกินกำหนด 72 ชั่วโมง: ศาลต้องพิจารณาเวลาเดินทางจากที่จับกุม
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องโจทก์โดยเห็นว่าโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเมื่อล่วงเลยระยะเวลา 72 ชั่วโมงนับแต่เวลาที่จำเลยถูกจับโดยมิได้นำข้อยกเว้นที่กฎหมายมิให้นับเวลาเดินทางปกติที่นำผู้ต้องหาจากที่จับมายังที่ทำการพนักงานสอบสวนขึ้นวินิจฉัยด้วย ยังไม่เป็นการถูกต้องตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 7ศาลชั้นต้นต้องดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงให้ได้ความก่อนว่าระยะเวลาที่กฎหมายยกเว้นมิให้นำมานับรวมเข้าดังกล่าวใช้เวลาเท่าใด แล้วจึงมีคำสั่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5770/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพยายามฆ่าหลายกรรมต่างวาระ ศาลพิจารณาการบรรยายฟ้องและเจตนาของโจทก์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดหลายบทหลายกระทงต่างกรรมกัน แล้วบรรยายข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความผิดฐานพยายามฆ่าว่าจำเลยบังอาจใช้อาวุธปืนพกยิงประทุษร้าย ส. และ ท. หลายนัดโดยมีเจตนาฆ่าบุคคลทั้งสองและคำขอท้ายคำฟ้องระบุประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 80, 288 ดังนี้ ถือได้ว่าโจทก์มีความประสงค์ที่จะให้ศาลลงโทษจำเลยในการใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย 2 คนเป็นความผิดหลายกระทง
of 30