พบผลลัพธ์ทั้งหมด 228 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1843/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลพิจารณาพยานโจทก์และวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องรับฟังพยานจำเลย
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ จึงเท่ากับมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาที่ก่อให้เกิดสิทธิอยู่บนที่ดินนั้นได้ ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
การวินิจฉัยข้อเท็จจริงในกรณีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะร้องต่อศาลให้วินิจฉัยชี้ขาดคดีให้ตนเป็นฝ่ายชนะโดยอาศัยเหตุแต่เพียงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งขาดนัดไม่มาศาลนั้นไม่ได้ แต่ให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชี้ขาดให้คู่ความที่มาศาลเป็นฝ่ายชนะคดีต่อเมื่อเห็นว่าข้ออ้างของคู่ความเช่นว่านั้นมีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย เมื่อศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชี้ขาดโดยพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์ว่ามีน้ำหนักให้รับฟังแล้วเช่นนี้ ย่อมไม่ขัดต่อกฎหมาย
เมื่อศาลเห็นว่าการขาดนัดยื่นคำให้การของจำเลยเป็นการจงใจและไม่มีเหตุสมควรจึงไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ จำเลยอาจสาบานตนให้การเป็นพยานและถามค้านพยานโจทก์ได้เท่านั้น ไม่มีสิทธิอ้างทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารมาสืบ การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การและบัญชีระบุพยานนั้นชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 199 วรรคสองแล้ว
โจทก์เป็นเจ้าของรวมในที่ดินมี ส.ค.1 คนหนึ่งย่อมมีอำนาจฟ้องผู้ที่มารบกวนหรือแย่งที่ดินนั้นได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1359 แม้มาตรา 1359 จะอยู่ในหมวดกรรมสิทธิ์รวมก็ตาม ย่อมนำมาใช้บังคับในหมวดว่าด้วยการครอบครองได้ เพราะมีลักษณะเป็นเจ้าของรวมเหมือนกัน
การวินิจฉัยข้อเท็จจริงในกรณีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะร้องต่อศาลให้วินิจฉัยชี้ขาดคดีให้ตนเป็นฝ่ายชนะโดยอาศัยเหตุแต่เพียงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งขาดนัดไม่มาศาลนั้นไม่ได้ แต่ให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชี้ขาดให้คู่ความที่มาศาลเป็นฝ่ายชนะคดีต่อเมื่อเห็นว่าข้ออ้างของคู่ความเช่นว่านั้นมีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย เมื่อศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชี้ขาดโดยพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์ว่ามีน้ำหนักให้รับฟังแล้วเช่นนี้ ย่อมไม่ขัดต่อกฎหมาย
เมื่อศาลเห็นว่าการขาดนัดยื่นคำให้การของจำเลยเป็นการจงใจและไม่มีเหตุสมควรจึงไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ จำเลยอาจสาบานตนให้การเป็นพยานและถามค้านพยานโจทก์ได้เท่านั้น ไม่มีสิทธิอ้างทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารมาสืบ การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การและบัญชีระบุพยานนั้นชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 199 วรรคสองแล้ว
โจทก์เป็นเจ้าของรวมในที่ดินมี ส.ค.1 คนหนึ่งย่อมมีอำนาจฟ้องผู้ที่มารบกวนหรือแย่งที่ดินนั้นได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1359 แม้มาตรา 1359 จะอยู่ในหมวดกรรมสิทธิ์รวมก็ตาม ย่อมนำมาใช้บังคับในหมวดว่าด้วยการครอบครองได้ เพราะมีลักษณะเป็นเจ้าของรวมเหมือนกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 123/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยเอกสารปลอม แม้โจทก์มิได้อุทธรณ์ ศาลมีอำนาจวินิจฉัยได้หากจำเลยอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยกู้เงินโจทก์เพียง 40,000 บาท ไม่ใช่68,000 บาท ดังโจทก์ฟ้อง แม้โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ในข้อนี้แต่จำเลยเป็นฝ่ายอุทธรณ์ว่าสัญญากู้เป็นเอกสารปลอม เพราะจำเลยลงลายมือชื่อในสัญญากู้โดยไม่ได้กรอกข้อความอื่นใดไว้ จึงมีประเด็นให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยได้ว่าสัญญากู้ปลอมหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1145/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรสีเหลืองอำพันมีความผิดเช่นเดียวกับสีแดง ศาลวินิจฉัยได้แม้ฟ้องระบุเป็นสีแดง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 43,157 โดยบรรยายฟ้องว่าจำเลยขับรถโดยประมาทด้วยความเร็วสูงและฝ่าฝืนสัญญาณไฟสีแดง แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยขับรถฝ่าฝืนสัญญาณจราจรไฟสีเหลืองอำพันไปโดยไม่หยุดที่หลังเส้นให้รถหยุด ศาลย่อมนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยลงโทษจำเลยได้ทั้งนี้เพราะการขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรดังกล่าว เป็นบทบัญญัติที่อยู่ในมาตราเดียวกันคือมาตรา 22,152 เมื่อฝ่าฝืนก็เป็นความผิดเช่นเดียวกันจึงถือไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 982/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลพินัยกรรมและการตั้งผู้จัดการมรดก: ศาลต้องวินิจฉัยผลบังคับใช้พินัยกรรมก่อนพิจารณาคุณสมบัติผู้จัดการมรดก
ผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้ง ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกที่ผู้ตายทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกทั้งหมดให้ผู้ร้องแต่ ผู้เดียวมิได้อ้างว่าเป็นทายาทโดยธรรมของผู้ตาย หากพินัยกรรมที่ผู้ร้องอ้างเป็นพินัยกรรมที่ผู้ร้องใช้ กลฉ้อฉล ให้ผู้ตายทำขึ้น ผู้ร้องอาจถูก กำจัดมิให้รับมรดกฐาน เป็นผู้ไม่สมควร และอาจเป็นเหตุให้ไม่สมควรตั้ง ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกผู้ตาย ตรงกันข้ามถ้าพินัยกรรมนั้นสมบูรณ์ ทรัพย์มรดกทั้งหมดของผู้ตายย่อมตก ได้แก่ผู้ร้องแต่ ผู้เดียว ผู้คัดค้านย่อมไม่มีส่วนได้เสียและไม่มีสิทธิคัดค้าน ฉะนั้นปัญหาว่าพินัยกรรมตาม คำร้องมีผลบังคับได้ ตามกฎหมายหรือไม่ จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ศาลจะต้อง วินิจฉัยประกอบประเด็นที่ว่าผู้ร้องหรือผู้คัดค้านสมควรเป็นผู้จัดการมรดก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 982/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลพินัยกรรมและคุณสมบัติผู้จัดการมรดก: ศาลต้องวินิจฉัยผลผูกพันพินัยกรรมก่อนพิจารณาคุณสมบัติผู้จัดการมรดก
ผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกที่ผู้ตายทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกทั้งหมดให้ผู้ร้องแต่ผู้เดียวมิได้อ้างว่าเป็นทายาทโดยธรรมของผู้ตาย หากพินัยกรรมที่ผู้ร้องอ้างเป็นพินัยกรรมที่ผู้ร้องใช้กลฉ้อฉลให้ผู้ตายทำขึ้น ผู้ร้องอาจถูกกำจัดมิให้รับมรดกฐานเป็นผู้ไม่สมควร และอาจเป็นเหตุให้ไม่สมควรตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกผู้ตาย ตรงกันข้ามถ้าพินัยกรรมนั้นสมบูรณ์ ทรัพย์มรดกทั้งหมดของผู้ตายย่อมตกได้แก่ผู้ร้องแต่ผู้เดียว ผู้คัดค้านย่อมไม่มีส่วนได้เสียและไม่มีสิทธิคัดค้านปัญหาว่าพินัยกรรมตามคำร้องมีผลบังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่จึงเป็นประเด็นสำคัญที่จะต้องวินิจฉัยประกอบประเด็นที่ว่าผู้ร้องหรือผู้คัดค้านสมควรเป็นผู้จัดการมรดก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 750/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตกลงให้ศาลวินิจฉัยสิทธิปกครองบุตรและค่าอุปการะเลี้ยงดูหลังหย่า คำพิพากษาถือเป็นที่สุด
การที่โจทก์จำเลยตกลงกันให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นที่ว่าโจทก์หรือจำเลยสมควรเป็นผู้ปกครองบุตรทั้งสองกับประเด็นเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดู โดยไม่ต้องมีการสืบพยานกันต่อไป โดยโจทก์จำเลยแถลงเรื่องฐานะและรายได้ต่อศาลเพื่อประกอบการวินิจฉัยดังนี้ เท่ากับคู่ความตกลงกันให้ศาลชั้นต้นชี้ขาดในประเด็นที่กล่าวมาแล้ว เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดไปตามประเด็นที่ตกลงกันโดยพิจารณาตามเหตุผลที่เห็นว่าสมควรและเหมาะสม และไม่ปรากฏว่าคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อเหตุผลอย่างไรแล้ว ก็ต้องบังคับคดีไปตามคำวินิจฉัยชี้ขาดดังกล่าว จำเลยจะโต้เถียงว่าตนเป็นผู้สมควรจะปกครองบุตรมากกว่าโจทก์หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 750/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตกลงให้ศาลวินิจฉัยสิทธิปกครองบุตรและการกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูหลังหย่า ย่อมผูกพันคู่ความ
การที่โจทก์และจำเลยแถลงในวันชี้สองสถานว่ายินยอมหย่ากันโดยไม่สืบพยาน แต่ขอให้ศาลวินิจฉัยประเด็นที่ว่า โจทก์หรือจำเลยสมควรเป็นผู้ปกครองบุตรทั้งสองกับประเด็นเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูโดยไม่ต้องมีการสืบพยานกันต่อไปโดยคู่ความแถลงเรื่องฐานะและรายได้ต่อศาลเพื่อประกอบการวินิจฉัยนั้น เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดไปตามประเด็นที่ตกลงกันโดยพิจารณาตามเหตุผลที่เห็นว่าสมควรและเหมาะสม โดยให้โจทก์ผู้เป็นมารดาเป็นผู้ปกครองบุตรสาวคนโตอายุ 8 ปี และให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรสาวเดือนละ 1,000 บาทจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ ส่วนบุตรชายคนเล็กอายุ 6 ปี ให้จำเลยผู้เป็นบิดาเป็นผู้ปกครองแล้ว เมื่อไม่ปรากฏว่าคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อเหตุผลอย่างไรแล้ก็ต้องบังคับคดีไปตามคำวินิจฉัยชี้ขาดดังกล่าว จำเลยจะโต้เถียงว่าตนเป็นผู้สมควรจะปกครองบุตรมากกว่าโจทก์หาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 750/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตกลงให้ศาลวินิจฉัยสิทธิปกครองบุตรและค่าอุปการะเลี้ยงดู ย่อมผูกพันคู่ความ
การที่โจทก์จำเลยตกลงกันให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นที่ว่าโจทก์หรือจำเลยสมควรเป็นผู้ปกครองบุตรทั้งสองกับประเด็นเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูโดยไม่ต้องมีการสืบพยานกันต่อไปโดยโจทก์จำเลยแถลงเรื่องฐานะและรายได้ต่อศาลเพื่อประกอบการวินิจฉัยนั้น เท่ากับคู่ความตกลงกันให้ศาลชั้นต้นชี้ขาดในประเด็นที่กล่าวหา เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดไปตามประเด็นที่ตกลงกันโดยพิจารณาตามเหตุผลที่เห็นว่าสมควรและเหมาะสม และไม่ปรากฏว่าคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อเหตุผลอย่างไรแล้วก็ต้องบังคับคดีไปตามคำวินิจฉัยชี้ขาดดังกล่าว จำเลยจะโต้เถียงว่าตนเป็นผู้สมควรจะปกครองบุตรมากกว่าโจทก์หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 750/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงให้ศาลวินิจฉัยสิทธิปกครองบุตรและค่าอุปการะเลี้ยงดู ถือเป็นการยอมรับผลคำวินิจฉัย
การที่โจทก์จำเลยตกลงกันให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นที่ว่าโจทก์หรือจำเลยสมควรเป็นผู้ปกครองบุตรทั้งสองกับประเด็นเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดู โดยไม่ต้องมีการสืบพยานกันต่อไป โดยโจทก์จำเลยแถลงเรื่องฐานะและรายได้ต่อศาลเพื่อประกอบการวินิจฉัยดังนี้ เท่ากับคู่ความตกลงกันให้ศาลชั้นต้นชี้ขาดในประเด็นที่กล่าวมาแล้ว เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดไปตามประเด็นที่ตกลงกันโดยพิจารณาตามเหตุผลที่เห็นว่าสมควรและเหมาะสม และไม่ปรากฏว่าคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อเหตุผลอย่างไรแล้ว ก็ต้องบังคับคดีไปตามคำวินิจฉัยชี้ขาดดังกล่าว จำเลยจะโต้เถียงว่าตนเป็นผู้สมควรจะปกครองบุตรมากกว่าโจทก์หาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5756/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: การรื้อฟ้องคดีกรรมสิทธิ์ที่ดินเดิมที่ศาลมีคำสั่งถึงที่สุดแล้ว
ผู้ร้องเคยยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนในโฉนดที่ดินเลขที่ 1417 ที่ผู้คัดค้านมีชื่อถือกรรมสิทธิ์โดยผู้ร้องได้แนบแผนที่สังเขปแสดงรูปลักษณะของที่ดินที่ผู้ร้องได้ครอบครองมาท้ายคำร้องขอด้วย และศาลชั้นต้นก็ได้วินิจฉัยว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินแปลงตามคำร้องขอจนได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ครั้นผู้ร้องมายื่นคำร้องขอในคดีนี้ก็กล่าวในคำร้องขอว่าเป็นที่ดินที่ผู้ร้องได้ครอบครองอยู่ในขณะที่ยื่นคำร้องขอในคดีเดิม เมื่อที่พิพาทในคดีนี้เป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินที่ผู้ร้องร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ และศาลได้มีคำสั่งถึงที่สุดแล้วว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ตามคดีเดิม ฉะนั้น ที่ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอเป็นคดีนี้อีกจึงเป็นการรื้อร้องเพื่อให้ศาลวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกับคดีก่อนนั่นเอง ถือว่าเป็นฟ้องซ้ำ ปัญหาเรื่องฟ้องซ้ำ แม้จะไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นว่ากล่าว แต่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลยกขึ้นวินิจฉัยเองได้.