คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
สัญญาเงินกู้

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 160 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3781/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันเพื่อประกันตัวคดีอาญา ไม่ถือเป็นหนี้เดิมแปลงเป็นหนี้สัญญาเช่า/กู้ยืม
โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้เงินและค้ำประกัน ทางพิจารณาข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้รับเงินกู้ตามฟ้องไปจากโจทก์แต่เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองเช่าหลักทรัพย์ที่ดินของโจทก์เพื่อประกันตัวนาย ว. ญาติของจำเลยที่ 2 โดยโจทก์เรียกค่าตอบแทนและให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินโดยให้จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันให้ไว้เพื่อเป็นประกันในการที่โจทก์ยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวนาย ว. ในคดีอาญาต่อศาล การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำสัญญากู้เงินและค้ำประกันต่อโจทก์ก่อนแล้วโจทก์จึงไปยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวนาย ว. นั้น ขณะทำสัญญากู้เงินและค้ำประกันดังกล่าว สัญญาประกันตัวนาย ว. ยังไม่ได้ทำและความเสียหายอันเกิดจากสัญญาประกันตัวนาย ว. ยังไม่ได้เกิดขึ้น ทำให้ไม่มีมูลหนี้เดิมที่จะแปลงเป็นมูลหนี้ในสัญญากู้เงินได้ จึงไม่เป็นการแปลงนี้ อีกทั้งยังไม่รู้ว่าศาลจะตีราคาประกันเท่าใด จึงเป็นหนี้ที่ไม่แน่นอนและไม่อาจทำสัญญากู้เงินเพื่อประกันหนี้นั้นได้ ดังนั้น จำเลยที่ 1 ผู้กู้เงินและจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 196/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ตามสัญญาเงินกู้ และขอบเขตการวินิจฉัยของศาล
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ตาม ภาพถ่ายสัญญากู้ท้ายฟ้องจำเลยให้การว่า ตาม วันที่โจทก์ฟ้อง จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์ในวันอื่นจำเลยเคยกู้ยืมเงินโจทก์จริง โดย จำเลยลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์สัญญากู้ให้โจทก์ไว้ ต่อมาจำเลยชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้ว สัญญากู้ตามฟ้องจึงไม่มีมูลหนี้ที่จำเลยจะต้องรับผิด ดังนี้ หนี้ตามฟ้องระงับไปด้วย การชำระหนี้หรือไม่ จึงเป็นประเด็นข้อโต้เถียงของคู่ความ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยพยานหลักฐานใบเสร็จรับเงินที่จำเลยอ้างส่งซึ่ง มีจำนวนเงินเท่ากับหนี้ตามฟ้องและฟังว่าเป็นหลักฐานการชำระหนี้ตามฟ้อง ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 119/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องร้อง, สัญญาเงินกู้, หลักฐานการกู้ยืม, คำฟ้องไม่เคลือบคลุม, การตั้งประเด็นวินิจฉัยของศาล
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินกู้ จำเลยให้การว่า สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องจะใช่สัญญากู้เงินที่จำเลยลงลายมือชื่อไว้หรือไม่ จำเลยไม่อาจให้การได้โดยชัดแจ้งและฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ดังนี้ ตามคำให้การของจำเลยหมายความว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความฟ้องเรียกเงินกู้ตามคำฟ้องของโจทก์นั่นเอง ปัญหาเรื่องอายุความจึงเป็นประเด็นในคดี เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นเรื่องอายุความและได้ยื่นคำแถลงคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องดังกล่าวไว้ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา การที่ศาลชั้นต้นมิได้ตั้งประเด็นเรื่องอายุความ และศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยเรื่องอายุความจึงเป็นการไม่ชอบ
โจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์แต่ละครั้งเมื่อใดถึงกำหนดชำระคืนเมื่อใด จำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินคืน จึงฟ้องเรียกเงินกู้คืนพร้อมดอกเบี้ยคำฟ้องของโจทก์จึงแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง การที่โจทก์ไม่ได้แนบสัญญากู้หรือสำเนาสัญญากู้มาพร้อมกับฟ้อง ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653วรรคแรก บังคับแต่เพียงว่าการกู้ยืมเงินกว่าห้าสิบบาทขึ้นไปถ้าไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่เท่านั้นมิได้บังคับว่าจะต้องแนบสัญญากู้หรือหลักฐานการกู้เงินมาพร้อมกับคำฟ้องด้วยจึงจะฟ้องร้องได้ ทั้งไม่มีกฎหมายบทใดบังคับไว้เช่นนั้นด้วย.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4951/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเงินกู้เพื่อประกันความเสียหายจากการค้ำประกันเช่าซื้อ: สัญญาไม่สมบูรณ์เมื่อยังไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น
โจทก์ให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินตามฟ้องไว้เพื่อประกันความเสียหาย ในการที่โจทก์ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ซึ่งเช่าซื้อโทรทัศน์สีจากบุคคลอื่น จำเลยที่ 1 ไม่ได้รับเงินไปจากโจทก์เลย ขณะทำสัญญากู้เป็นเวลา หลังค้ำประกันการเช่าซื้อไม่นานความเสียหายจากการค้ำประกันการเช่าซื้อ ยังไม่เกิดขึ้นและยังคำนวณไม่ได้ จึงเป็นหนี้ที่ยังไม่แน่นอนไม่อาจนำมา เป็นมูลหนี้ในสัญญากู้เงินได้ ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่1กู้เงินโจทก์ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันการกู้จึงไม่ต้องรับผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 416/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบี้ยปรับสัญญาเงินกู้สูงเกินส่วน ศาลลดดอกเบี้ยเหลือ 15% ต่อปี
สัญญากู้ระบุว่า ผู้กู้ยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารโจทก์ในจำนวนเงินที่เป็นหนี้ในอัตราร้อยละ 9 ต่อปี โดยจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารโจทก์ทุกๆ 3 เดือน นับแต่วันทำหนังสือสัญญานี้เป็นต้น ไปสำหรับต้นเงินกู้นั้นจะผ่อนชำระให้ธนาคารโจทก์เป็นงวด ๆ โดยชำระ 3 เดือนต่อครั้ง ตามตารางชำระเงินต้นแนบท้ายสัญญากู้ หากผู้กู้ผิดนัดไม่ส่งชำระต้นเงินและดอกเบี้ยดังกล่าว ผู้กู้ย่อมเสียเบี้ยปรับให้แก่ธนาคารโจทก์อีกในอัตราร้อยละ 6 ต่อปี ในจำนวนต้นเงินและดอกเบี้ยที่คงค้างทั้งหมดนับแต่วันละเมิดสัญญาจนกว่าจะชำระเงินเสร็จสิ้น ดังนี้เห็นได้ว่าสัญญากู้รายนี้ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ร้อยละ 9 ต่อปีอยู่แล้ว การที่ได้กำหนดเบี้ยปรับในกรณีผู้กู้ผิดนัดไว้ว่า ให้ผู้กู้เสียดอกเบี้ยเพิ่มอีกร้อยละ 6 ของจำนวนต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างทั้งหมดรวมกัน ย่อมเป็นเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วน สมควรลดลงเป็นให้เสียดอกเบี้ยเพิ่มอีกร้อยละ 6 รวมเป็นร้อยละ 15 ต่อปีโดยไม่ทบต้น
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองพร้อมด้วยดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งหมดร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ จำเลยที่ 3 ผู้เดียวอุทธรณ์ฎีกา เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าเบี้ยปรับสูงเกินส่วนและลดให้ แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 จะมิได้อุทธรณ์ฎีกาก็ย่อมได้รับผลอันเป็นคุณจากข้อวินิจฉัยส่วนนี้ด้วย เพราะมูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3708/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเงินกู้: การตีความข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยที่ไม่ชัดเจน ศาลใช้ประโยชน์แก่ลูกหนี้
สัญญากู้ระบุเรื่องดอกเบี้ยไว้ว่า "ยอมให้ดอกเบี้ยตามกฎหมายอย่างสูง" เป็นข้อความที่มิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยโดยชัดแจ้งแน่นอนว่าเป็นอัตราสูงเท่าไร ต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่ผู้กู้ ผู้ให้กู้มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา7

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2726/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรวมทุนทรัพย์สัญญาเงินกู้หลายฉบับเพื่อคำนวณสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ในกรณีที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยคนเดียวรับผิดชำระเงินกู้ 2 รายมาในคำฟ้องเดียวกันโดยแยกทำสัญญากู้เป็น 2 ฉบับ การวินิจฉัยสิทธิอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจะต้องคำนวณโดยการรวมทุนทรัพย์ตามสัญญากู้ทั้ง 2 ฉบับ ในคำฟ้องนั้น
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2523)
หมายเหตุ คำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ 1076/2514 (ประชุมใหญ่) วินิจฉัยทำนองเดียวกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1870/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเงินกู้คิดดอกเบี้ยทบต้นขัดต่อกฎหมาย แม้มีข้อตกลงในสัญญา
สัญญากู้เงินข้อ 2 ระบุไว้ความว่า ผู้กู้ยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จะส่งชำระดอกเบี้ยภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน ไม่ให้ผิดนัด ถ้าผิดนัดยอมให้เอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบเข้ากับต้น ถือเป็นเงินต้นแล้วคิดดอกเบี้ยจากเงินต้นที่ทบดอกเบี้ยเข้าแล้วนี้ต่อไปทุกคราว ตามอัตราและกำหนดชำระที่กล่าวแล้ว นั้น เป็นข้อตกลงที่ให้ส่งดอกเบี้ยเป็นรายเดือน หากผู้กู้ผิดนัดไม่ชำระเดือนใด ผู้ให้กู้มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ดอกเบี้ยค้างชำระไม่น้อยกว่าปีหนึ่งก่อน ข้อตกลงเฉพาะที่ให้คิดดอกเบี้ยทบต้นดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 655 วรรคแรก ตกเป็นโมฆะ
โจทก์ผู้ให้กู้มีวัตถุประสงค์รับฝากเงินและให้กู้ยืมเงิน สัญญากู้เงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ผู้กู้ เป็นสัญญากู้เงินกันตามธรรมดาโดยจำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โจทก์เพียงฝ่ายเดียว ไม่มีหนี้สินอะไรที่จะหักกลบลบกันแม้โจทก์จะทำทะเบียนสัญญากู้เงินไว้ทะเบียนดังกล่าวก็เป็นเอกสารที่โจทก์ทำขึ้นเพียงเพื่อประสงค์จะทราบว่า จำเลยที่ 1กู้เงินไปเมื่อใด จำนวนเท่าใด ผ่อนชำระดอกเบี้ยและเงินต้นแล้วเพียงใดกับยังค้างชำระอีกเท่าใด มิใช่เป็นการตัดทอนบัญชีหนี้อันเกิดขึ้นแต่กิจการในระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1จึงมิใช่เป็นเรื่องบัญชีเดินสะพัดหรือการค้าขายอย่างอื่นทำนองบัญชีเดินสะพัด โจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยที่ 1ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 655วรรคสอง ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2725/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือสัญญาเงินกู้ แม้ไม่ได้ระบุผู้ให้กู้ ก็ใช้เป็นหลักฐานได้ หากมีเจตนาทำสัญญา
จำเลยเขียนกรอกข้อความลงในแบบพิมพ์สัญญากู้ยืมเงินว่าวันที่ 1 กันยายน 2524 จำเลยได้กู้ยืมเงินไปเป็นจำนวน 60,000 บาท กำหนดชำระคืนภายใน 3 เดือน คือวันที่1 ธันวาคม 2524 แล้วลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ แต่มิได้กรอกข้อความในช่องว่างที่ว่าได้ทำหนังสือให้ไว้แก่ผู้ใด ไม่มีลายมือชื่อในช่องผู้ให้กู้ พยานและผู้เขียนสัญญา
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง มิได้บังคับว่าหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือต้องมีข้อความว่ากู้ยืมเงินจากผู้ใด ถ้าได้ความว่าจำเลยทำมอบให้แก่โจทก์ ก็มีความหมายอยู่ในตัวว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ไปและทำหลักฐานการกู้ยืมไว้ให้ หนังสือสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวย่อมเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1240/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเงินกู้ที่มีข้อความเพิ่มเติมเกี่ยวกับราคาขาย ไม่ถือเป็นสัญญาจะซื้อขาย
สัญญานี้กรอกข้อความลงในแบบพิมพ์สัญญากู้เงินว่า จำเลยที่ 1กู้เงินไป 6,500 บาท และจำเลยที่ 1 นำโฉนดให้โจทก์ยึดไว้เป็นประกัน และมีข้อความเพิ่มเติมว่า " ที่ดินแปลงนี้จะขายให้กับเจ้าของเงินจะไม่ยอมขายให้ใคร คือภายใน 3 ปี ตามราคา 20,000 บาทถ้วน ถึงราคา 20,000 บาท จึงจะขายให้ ถึงราคา 20,000 บาท ก็จะโอนให้" และด้านหลังมีผู้อื่นทำสัญญาค้ำประกันเงินกู้รายนี้ ดังนี้ เป็นเรื่องกู้เงิน โจทก์แล้วมอบโฉนดเป็นประกัน ไม่มีลักษณะจะซื้อขาย ข้อความเพิ่มเติม นั้นเป็นเพียงคำปรารภของจำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียวมิใช่มุ่งโดยตรงต่อการ ผูกนิติสัมพันธ์ จึงมิใช่คำมั่นหรือสัญญาจะขายที่ดิน
of 16