พบผลลัพธ์ทั้งหมด 120 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 337/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ฎีกาในคดีที่ศาลแขวงพิพากษาว่าคดีไม่มีมูล: ข้อจำกัดการอุทธรณ์ตามกฎหมายเฉพาะ
คดีที่อยู่ในอำนาจศาลแขวงเมื่อศาลแขวงไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษาว่า คดีโจทก์ไม่มีมูล ให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 ที่ให้โจทก์อุทธรณ์ฎีกาได้ เมื่อศาลสั่งว่าคดีไม่มีมูลนั้นเป็นบทบัญญัติถึงการไต่สวนมูลฟ้องซึ่งมิใช่เป็นคดีที่ต้องบังคับตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 ที่ให้โจทก์อุทธรณ์ฎีกาได้ เมื่อศาลสั่งว่าคดีไม่มีมูลนั้นเป็นบทบัญญัติถึงการไต่สวนมูลฟ้องซึ่งมิใช่เป็นคดีที่ต้องบังคับตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 324/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งศาล, การงดการบังคับคดี, และอำนาจศาลในการพิจารณาคำขอใหม่
คำสั่งใดๆ ของศาลล่าง เมื่อไม่มีบทบัญญัติให้คำสั่งนั้นเป็นที่สุดหรือบัญญัติห้ามมิให้อุทธรณ์ฎีกาได้แล้วคู่ความย่อมมีสิทธิที่จะอุทธรณ์หรือฎีกาคัดค้านคำสั่งนั้นต่อศาลสูงได้เมื่อเป็นกรณีที่อุทธรณ์ได้แล้ว ควรอยู่ในอำนาจของศาลอุทธรณ์ที่จะวินิจฉัยได้ การที่สั่งให้ทุเลาการบังคับหรือให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนนั้น เมื่อมีอุทธรณ์มาสู่ศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจสั่งได้ ไม่ใช่มีผลให้เพิกถอนคำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่อย่างใด
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 209 ไม่ได้ตัดอำนาจศาลที่จะสั่งให้งดการบังคับคดีในเมื่อมีคำขอให้พิจารณาใหม่เพราะคำขออาจเป็นความจริงมีเหตุที่ควรให้พิจารณาใหม่ แต่ศาลยังจะต้องฟังพยานของอีกฝ่ายหนึ่งเสียก่อนถ้าไม่ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนได้แล้วคำร้องขอให้พิจารณาใหม่อาจไม่มีผล และเสียหายแก่ผู้ขอให้พิจารณาใหม่ได้ จึงย่อมอยู่ในอำนาจศาลที่จะสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนก็ได้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 209 ไม่ได้ตัดอำนาจศาลที่จะสั่งให้งดการบังคับคดีในเมื่อมีคำขอให้พิจารณาใหม่เพราะคำขออาจเป็นความจริงมีเหตุที่ควรให้พิจารณาใหม่ แต่ศาลยังจะต้องฟังพยานของอีกฝ่ายหนึ่งเสียก่อนถ้าไม่ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนได้แล้วคำร้องขอให้พิจารณาใหม่อาจไม่มีผล และเสียหายแก่ผู้ขอให้พิจารณาใหม่ได้ จึงย่อมอยู่ในอำนาจศาลที่จะสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนก็ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 147/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งขาดนัดยื่นคำให้การเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา อุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ตามกฎหมาย
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาจำเลยจะอุทธรณ์ฎีกามิได้เพราะต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(1) ประกอบด้วย มาตรา 247
(อ้างฎีกาที่ 416/2488)
(อ้างฎีกาที่ 416/2488)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 819/2501
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่นำสืบ: การไม่โต้แย้งคำสั่งศาล และการนำสืบตามที่รับไว้ ย่อมทำให้ไม่อุทธรณ์ฎีกาเรื่องหน้าที่นำสืบได้
ในชั้นชี้สองสถาน คู่ความแถลงรับว่าตนมีหน้าที่นำสืบก่อนตามประเด็นที่ศาลกะ ภายหลังยื่นคำแถลงโต้แย้งแต่เมื่อศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตตามที่ขอ ก็ไม่ได้โต้แย้งคำสั่งไว้ และได้นำสืบก่อนตามที่ได้รับนำสืบไว้ และจนอีกฝ่ายหนึ่งนำสืบแก้เสร็จสิ้นแล้วดังนี้จะอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งในเรื่องหน้าที่นำสืบอีกไม่ได้ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226,247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 269/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดสืบพยานและการฟ้องขับไล่จากสัญญาเช่าปากเปล่า หากจำเลยไม่โต้แย้งคำสั่งศาลในชั้นต้น จะไม่สามารถอุทธรณ์ฎีกาได้
เมื่อศาลมีคำสั่งตัดพยานจำเลยไม่ให้สืบต่อไป แล้วสั่งให้สืบพยานโจทก์ เช่นนี้จำเลยต้องโต้แย้งไว้ในสำนวน เพื่อเมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้ว จำเลยจะได้อุทธรณ์ฎีกาในข้อนั้นได้ ถ้าไม่โต้แย้งไว้ จะมาอุทธรณ์ฎีกาภายหลังไม่ได้
สัญญาเช่าไม่ได้ทำเป็นหนังสือ เมื่อผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาแล้วย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่ได้
สัญญาเช่าไม่ได้ทำเป็นหนังสือ เมื่อผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาแล้วย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 269/2501
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดสืบพยานและการบอกเลิกสัญญาเช่า: สิทธิในการอุทธรณ์ฎีกาและสิทธิในการฟ้องขับไล่
เมื่อศาลมีคำสั่งตัดพยานจำเลยไม่ให้สืบต่อไปแล้วสั่งให้สืบพยานโจทก์ เช่นนี้จำเลยต้องโต้แย้งไว้ในสำนวนเพื่อเมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้วจำเลยจะได้อุทธรณ์ฎีกาในข้อนั้นได้ถ้าไม่โต้แย้งไว้จะมาอุทธรณ์ฎีกาภายหลังไม่ได้
สัญญาเช่าไม่ได้ทำเป็นหนังสือเมื่อผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาแล้วย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่ได้
สัญญาเช่าไม่ได้ทำเป็นหนังสือเมื่อผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาแล้วย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 816/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งระหว่างพิจารณาคดี หากไม่โต้แย้งทันที จะไม่อุทธรณ์ฎีกาได้
เมื่อโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยไม่ขัดข้อง ศาลชั้นต้นยังไม่ได้สั่งอย่างไร โจทก์ก็ขอดำเนินคดีกับจำเลยต่อไป ศาลสั่งอนุญาต ประการหนึ่งและเมื่อโจทก์อีกคนหนึ่งทราบนัดแล้วไม่มาศาล แต่ศาลสั่งให้ดำเนินการพิจารณาต่อไป อีกประการหนึ่ง ต่างก็เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อคู่ความไม่เห็นด้วย และประสงค์จะอุทธรณ์ฎีกา จะต้องโต้แย้งไว้ตาม ป.วิ.แพ่ง ม. 226 มิฉะนั้น จะอุทธรณ์ฎีกาคัดค้านไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1481/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลดโทษตามมาตรา 59 เป็นดุลพินิจข้อเท็จจริง ไม่ใช่ข้อกฎหมาย จึงไม่อุทธรณ์ฎีกาได้
การลดโทษฐานปราณีแก่จำเลยตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 59 นั้นเป็นการใช้ดุลพินิจซึ่งเป็นข้อเท็จจริงเฉพาะเรื่องมิใช่เป็นข้อกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกจำเลยคนละ 6 เดือนฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บตาม มาตรา 254-63 ลดฐานปราณีตามมาตรา 59 กึ่งหนึ่งคงจำคุกคนละ 3 เดือน แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำคุกจำเลยคนละ 1 ปี 6 เดือน โดยบทมาตราเดียวกัน และไม่ลดฐานปราณีให้ เพราะถือว่าจำเลยจำนนแก่พยาน ดังนี้ถือว่าการลดโทษฐานปราณีแก่จำเลยตาม มาตรา 59เป็นการใช้ดุลพินิจซึ่งเป็นข้อเท็จจริงเฉพาะเรื่อง ไม่ใช่เป็นข้อกฎหมายจึงฎีกาไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกจำเลยคนละ 6 เดือนฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บตาม มาตรา 254-63 ลดฐานปราณีตามมาตรา 59 กึ่งหนึ่งคงจำคุกคนละ 3 เดือน แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำคุกจำเลยคนละ 1 ปี 6 เดือน โดยบทมาตราเดียวกัน และไม่ลดฐานปราณีให้ เพราะถือว่าจำเลยจำนนแก่พยาน ดังนี้ถือว่าการลดโทษฐานปราณีแก่จำเลยตาม มาตรา 59เป็นการใช้ดุลพินิจซึ่งเป็นข้อเท็จจริงเฉพาะเรื่อง ไม่ใช่เป็นข้อกฎหมายจึงฎีกาไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1231/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงท้าพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือเป็นข้อแพ้ชนะ แต่ศาลสืบพยานแล้วจำเลยไม่โต้แย้ง ถือว่าจำเลยสละสิทธิอุทธรณ์ฎีกา
แม้คู่ความจะได้ตกลงท้าพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือโดยถือเป็นข้อแพ้ชนะคดีแล้ว ศาลสั่งให้สืบพยานเนื่องจากโจทก์แถลงขัดข้องและจำเลยก็มิได้โต้แย้งจนได้กะประเด็นหน้าที่นำสืบและสืบพยานทั้งสองฝ่ายเสร็จสิ้นและพิพากษาชี้ขาดไปแล้วดังนี้ จำเลยไม่มีสิทธิจะยกขึ้นเป็นข้ออุทธรณ์ฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1592/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์ฎีกาในประเด็นเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายหลังศาลชั้นต้นและอุทธรณ์พิพากษาแล้ว
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ 7,000 บาทจากจำเลยที่ 1 และอ้างว่าจำเลยที่ 1 ขายที่ดินแก่จำเลยที่ 2 เพื่อฉ้อโจทก์ จึงขอให้ทำลายนิติกรรมซื้อขายด้วยศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินกู้ 7,000 บาทแก่โจทก์ส่วนข้อขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขาย ยกเสียโจทก์อุทธรณ์ในข้อขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขาย ศาลอุทธรณ์ก็พิพากษายืนอีก ดังนี้ โจทก์จะฎีกาในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข้อขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายอีกไม่ได้