พบผลลัพธ์ทั้งหมด 473 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1751/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 กรณีศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง,76 วรรคสอง ลงโทษจำคุก 1 ปี 4 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตมิได้มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 76 วรรคหนึ่ง ลงโทษจำคุก 2 เดือน และปรับ 666.66 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี โดยกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของจำเลยด้วย เป็นการแก้ทั้งบทลงโทษและกำหนดโทษเป็นการแก้ไขมาก แต่เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 40,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 การที่โจทก์ฎีกาว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบฟังได้ว่า จำเลยมีความผิด ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการ รับฟังพยานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 อันเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1252/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานมียาเสพติดไว้ในครอบครองและจำหน่าย ศาลฎีกาแก้ไขโทษและคำสั่งริบของกลาง
เมื่อเมทแอมเฟตามีนและเฮโรอีนต่างเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เหมือนกัน การที่จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองและมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายในคราวเดียวกัน จึงเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90 ส่วนธนบัตรของกลางไม่ใช่ทรัพย์สินที่จำเลยได้มาเพราะกระทำความผิดคดีนี้ จึงไม่อาจริบได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9635/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษทางกฎหมายเลือกตั้งตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่
ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ปรับบทลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 84 นั้น บทบัญญัติมาตราดังกล่าวถูกยกเลิกแล้วโดย พ.ร.บ. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535 มาตรา 22 และได้บัญญัติบทลงโทษผู้ฝ่าฝืนมาตรา 35 อยู่ในมาตรา 91 ซึ่งโจทก์มีคำขอมาท้ายฟ้องด้วย จึงเห็นสมควรแก้ไขให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 91
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9277/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดเกี่ยวกับเอกสารและการฉ้อโกง การแก้ไขโทษปรับที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
++ เรื่อง ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร ฉ้อโกง ++
++
++
++ ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมว่า สมควรลงโทษจำเลยทั้งสามสถานเบาและรอการลงโทษหรือไม่
++ เห็นว่า จากรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติ จำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 278/2541 เป็นตัวการสำคัญในการกระทำความผิดโดยเป็นผู้ลักหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิของมารดามาขูดชื่อมารดาออกแล้วพิมพ์ชื่อของตนเองแทน โดยจำเลยทั้งสามมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องมาตั้งแต่แรก การที่จำเลยทั้งสามไปติดต่อขอกู้ยืมเงินจากผู้เสียหายให้จำเลยในคดีหมายเลขดำที่278/2541 และเป็นพยานรับรองว่าเอกสารสิทธิดังกล่าวเป็นของจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 278/2541 ก็เพื่อมุ่งหวังจะได้ค่านายหน้าเท่านั้นพฤติการณ์แห่งคดีของจำเลยทั้งสามจึงไม่ร้ายแรงนัก ประกอบกับจำเลยทั้งสามได้บรรเทาผลร้ายให้แก่โจทก์ร่วม โดยยอมร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 20,000 บาท ให้แก่โจทก์ร่วมตามจำนวนที่โจทก์ร่วมประสงค์เรียกร้องเอาจากจำเลยทั้งสามแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แก้โทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามสถานเบาและรอการลงโทษ แต่คุมประพฤติจำเลยทั้งสามไว้เพื่อให้โอกาสจำเลยทั้งสามได้กลับตัวเป็นพลเมืองดี จึงนับว่าเป็นดุลพินิจที่เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในส่วนนี้
++ แต่สำหรับโทษปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266 นั้น มีระวางโทษปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ลงโทษปรับจำเลยทั้งสามคนละ 8,000 บาท จึงเป็นการลงโทษปรับต่ำกว่าอัตราขั้นต่ำตามกฎหมายและเบาเกินไป โจทก์ร่วมฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ถือได้ว่าโจทก์ร่วมฎีกาในทำนองขอให้เพิ่มโทษจำเลยทั้งสามให้หนักขึ้นอยู่ในตัวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212ประกอบด้วยมาตรา 225 ศาลฎีกาจึงแก้ไขโทษปรับสำหรับจำเลยทั้งสามให้ถูกต้องเหมาะสมได้ ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังขึ้นบางส่วน
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษปรับจำเลยทั้งสามด้วยโดยมิได้กล่าวถึงการบังคับให้ชำระค่าปรับนั้น เป็นการไม่ถูกต้องศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลยทั้งสามคนละ30,000 บาท ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 แล้ว คงปรับคนละ 15,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3.
++
++
++ ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมว่า สมควรลงโทษจำเลยทั้งสามสถานเบาและรอการลงโทษหรือไม่
++ เห็นว่า จากรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติ จำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 278/2541 เป็นตัวการสำคัญในการกระทำความผิดโดยเป็นผู้ลักหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิของมารดามาขูดชื่อมารดาออกแล้วพิมพ์ชื่อของตนเองแทน โดยจำเลยทั้งสามมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องมาตั้งแต่แรก การที่จำเลยทั้งสามไปติดต่อขอกู้ยืมเงินจากผู้เสียหายให้จำเลยในคดีหมายเลขดำที่278/2541 และเป็นพยานรับรองว่าเอกสารสิทธิดังกล่าวเป็นของจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 278/2541 ก็เพื่อมุ่งหวังจะได้ค่านายหน้าเท่านั้นพฤติการณ์แห่งคดีของจำเลยทั้งสามจึงไม่ร้ายแรงนัก ประกอบกับจำเลยทั้งสามได้บรรเทาผลร้ายให้แก่โจทก์ร่วม โดยยอมร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 20,000 บาท ให้แก่โจทก์ร่วมตามจำนวนที่โจทก์ร่วมประสงค์เรียกร้องเอาจากจำเลยทั้งสามแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แก้โทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามสถานเบาและรอการลงโทษ แต่คุมประพฤติจำเลยทั้งสามไว้เพื่อให้โอกาสจำเลยทั้งสามได้กลับตัวเป็นพลเมืองดี จึงนับว่าเป็นดุลพินิจที่เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในส่วนนี้
++ แต่สำหรับโทษปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266 นั้น มีระวางโทษปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ลงโทษปรับจำเลยทั้งสามคนละ 8,000 บาท จึงเป็นการลงโทษปรับต่ำกว่าอัตราขั้นต่ำตามกฎหมายและเบาเกินไป โจทก์ร่วมฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ถือได้ว่าโจทก์ร่วมฎีกาในทำนองขอให้เพิ่มโทษจำเลยทั้งสามให้หนักขึ้นอยู่ในตัวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212ประกอบด้วยมาตรา 225 ศาลฎีกาจึงแก้ไขโทษปรับสำหรับจำเลยทั้งสามให้ถูกต้องเหมาะสมได้ ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังขึ้นบางส่วน
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษปรับจำเลยทั้งสามด้วยโดยมิได้กล่าวถึงการบังคับให้ชำระค่าปรับนั้น เป็นการไม่ถูกต้องศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลยทั้งสามคนละ30,000 บาท ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 แล้ว คงปรับคนละ 15,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6991/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาเกินคำขอในคดีละเมิดเครื่องหมายการค้า ศาลฎีกาแก้ไขโทษให้ถูกต้องตามฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลียนเครื่องหมายการค้าของห้างหุ้นส่วนจำกัด ฮ.ผู้เสียหาย ที่ได้จดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักรเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายและมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าซอสหอยนางรมที่จำเลยผลิตขึ้นโดยติดเครื่องหมายการค้าที่เลียนเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายดังกล่าว ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา109, 110 และ ป.อ. มาตรา 90 แสดงว่า โจทก์บรรยายฟ้องยืนยันว่าการกระทำความผิดของจำเลยดังกล่าวจำเลยมีเจตนาเดียวคือเจตนามีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่ติดเครื่องหมายการค้าที่จำเลยทำเลียนเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายอันเป็นความผิดกรรมเดียวกัน โจทก์หาได้บรรยายฟ้องว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่างกรรมกันโดยจำเลยมีเจตนาต่างกันไม่ การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาว่า การกระทำความผิดของจำเลยตามฟ้องเป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันและให้เรียงกระทงลงโทษจำเลยมาเป็น 2 กระทง จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในคำฟ้อง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา192 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศพ.ศ. 2539 มาตรา 26 แม้จำเลยมิได้อุทธรณ์ในปัญหานี้ แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัย และแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา195 วรรคสอง ประกอบด้วย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ พ.ศ. 2539มาตรา 45 เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534มาตรา 109 และมาตรา 110 (1) ประกอบด้วยมาตรา 109 อันเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทที่มีโทษหนักที่สุด ตาม ป.อ.มาตรา 90 ความผิดทั้งสองบทดังกล่าวมีระวางโทษเท่ากัน จึงให้ลงโทษจำเลยฐานมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าที่เลียนเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของบุคคลอื่น ตามมาตรา 110 (1) ประกอบด้วยมาตรา 109
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6991/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาเกินคำขอในคดีละเมิดเครื่องหมายการค้า ศาลฎีกาแก้ไขโทษปรับและยืนยันความผิดฐานมีสินค้าละเมิด
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลียนเครื่องหมายการค้าของห้างหุ้นส่วนจำกัดฮ. ผู้เสียหาย ที่ได้จดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักรเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายและมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าซอสหอยนางรมที่จำเลยผลิตขึ้นโดยติดเครื่องหมายการค้าที่เลียนเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายดังกล่าว ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 109,110 และ ป.อ. มาตรา 90 แสดงว่า โจทก์บรรยายฟ้องยืนยันว่าการกระทำความผิดของจำเลยดังกล่าวจำเลยมีเจตนาเดียวคือเจตนามีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่ติดเครื่องหมายการค้าที่จำเลยทำเลียนเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายอันเป็นความผิดกรรมเดียวกันโจทก์หาได้บรรยายฟ้องว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่างกรรมกันโดยจำเลยมีเจตนาต่างกันไม่ การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาว่าการกระทำความผิดของจำเลยตามฟ้องเป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันและให้เรียงกระทงลงโทษจำเลยมาเป็น 2 กระทง จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในคำฟ้องไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26แม้จำเลยมิได้อุทธรณ์ในปัญหานี้แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัย และแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญา พ.ศ. 2539 มาตรา 45เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติ เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 109 และมาตรา 110(1)ประกอบด้วยมาตรา 109 อันเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ความผิดทั้งสองบทดังกล่าวมีระวางโทษเท่ากันจึงให้ลงโทษจำเลยฐานมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าที่เลียนเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของบุคคลอื่น ตามมาตรา 110(1) ประกอบด้วยมาตรา 109
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 668/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการแก้ไขโทษโดยศาลอุทธรณ์ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 212: โทษเบาลงไม่ถือเป็นการเพิ่มเติมโทษ
ป.วิ.อ.มาตรา 212 มุ่งคุ้มครองจำเลยไม่ให้ต้องรับโทษหนักขึ้นถ้าโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลย การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี 6 เดือน เป็นให้ปรับจำเลย 21,000 บาทอีกสถานหนึ่ง และลดโทษให้หนึ่งในสามตาม ป.อ.มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี และปรับ14,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตาม ป.อ.มาตรา 56 นั้นโทษที่จำเลยได้รับตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นโทษที่เบากว่า แม้ศาลอุทธรณ์จะลงโทษปรับด้วยก็ไม่เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย จึงไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ.มาตรา212
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 571/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพลาดในการคำนวณโทษจำคุกและขอบเขตอำนาจศาลในการแก้ไขโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาเรียงกระทงลงโทษจำเลย เมื่อรวมโทษจำเลยแล้วคงจำคุกจำเลย 3 เดือน 15 วัน ซึ่งไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องเป็น 6 เดือน15 วัน และในความผิดฐานยิงปืนโดยใช่เหตุ ตาม ป.อ.มาตรา 376 มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 วัน การที่ศาลอุทธรณ์วางโทษจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 1 เดือนจึงเกินกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนด ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยให้จำคุกจำเลยในความผิดฐานนี้ 10 วัน และเมื่อรวมโทษจำคุกตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วยังน้อยกว่าโทษที่คำนวณโดยถูกต้อง แต่โจทก์มิได้ฎีกาขอให้ลงโทษให้ถูกต้อง ศาลฎีกาจึงไม่อาจแก้ไขโทษสำหรับจำเลยให้ถูกต้องได้ เพราะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ.มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 571/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษจำคุกที่ไม่ถูกต้องตามอัตราโทษที่กฎหมายกำหนด และข้อจำกัดการแก้ไขโทษเพิ่มเติมโดยศาล
ศาลอุทธรณ์พิพากษาเรียงกระทงลงโทษจำเลย เมื่อรวมโทษจำเลยแล้วคงจำคุกจำเลย 3 เดือน 15 วัน ซึ่งไม่ถูกต้องที่ถูกต้องเป็น 6 เดือน 15 วัน และในความผิดฐานยิงปืนโดยใช่เหตุ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376 มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 วัน การที่ศาลอุทธรณ์วางโทษจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 1 เดือน จึงเกินกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยให้จำคุกจำเลยในความผิดฐานนี้ 10 วัน และเมื่อรวมโทษจำคุกตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วยังน้อยกว่าโทษที่คำนวณโดยถูกต้องแต่โจทก์มิได้ฎีกาขอให้ลงโทษให้ถูกต้อง ศาลฎีกาจึงไม่อาจแก้ไขโทษสำหรับจำเลยให้ถูกต้องได้ เพราะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4712/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งความเท็จเพื่อเอื้อประโยชน์คนไม่มีสัญชาติไทย และการแก้ไขโทษตาม พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ได้ร่วมกับพวกอีกสองคนแจ้งความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่เกี่ยวกับงานทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อให้พวกของจำเลยซึ่งเป็นคนไม่มีสัญชาติไทยมีชื่อหรือมีรายการอย่างหนึ่งอย่างใดในทะเบียนบ้านโดยมิชอบ เป็นการกระทำที่กระทบต่อความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศชาติ พฤติการณ์แห่งคดีจึงร้ายแรง ไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษให้จำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 4 ได้ พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 มาตรา 50 วรรคสอง ระวางโทษหนักขึ้นกว่าที่กำหนดไว้ในมาตรา 50 วรรคหนึ่งนั้นมุ่งหมายเฉพาะผู้ซึ่งกระทำผิดตามมาตรา 50 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นคนที่ไม่มีสัญชาติไทยเมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 เป็นผู้ซึ่งมีสัญชาติไทย จึงไม่ต้องด้วยมาตรา 50 วรรคสอง คงเป็นความผิดตามมาตรา 50 วรรคหนึ่ง เท่านั้น