พบผลลัพธ์ทั้งหมด 231 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5957/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องแย่งการครอบครองที่ดิน: การแจ้งการครอบครองเป็นจุดเริ่มต้นนับอายุความ
มารดาโจทก์จำเลยถึงแก่ความตายเมื่อปี พ.ศ. 2520 หลังจากมารดาถึงแก่ความตายไปได้ประมาณ 5 เดือน โจทก์ได้บอกจำเลยว่ามารดาทำพินัยกรรมยกที่พิพาทตาม ส.ค.1 เลขที่ 27 ให้โจทก์ ให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไป จำเลยโต้แย้งว่ามารดายกที่ดินให้จำเลยแล้วจำเลยไม่ยอมมอบที่ดินให้โจทก์ ถือว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่พิพาทจากโจทก์นับแต่วันนั้น โจทก์เพิ่งฟ้องคดีเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน2527 เป็นเวลาเกิน 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 วรรคสอง โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะเรียกเอาคืนการครอบครอง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5501/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องสัญญาเช่า, การแย่งการครอบครอง, และผลของการไม่วินิจฉัยประเด็นโดยศาลอุทธรณ์
จำเลยให้การแต่เพียงว่า โจทก์จะได้ครอบครองที่พิพาทหรือไม่ จำเลยไม่รับรองข้อต่อสู้ของจำเลยเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่แสดงชัดแจ้งว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ในเรื่องสิทธิครอบครองที่พิพาท จึงไม่มีประเด็นเรื่องอำนาจฟ้อง และแม้เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์เห็นไม่สมควรยกขึ้นวินิจฉัยก็ทำได้
บทบัญญัติแห่งประมวลแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 มิได้ให้ถือว่าสัญญาเช่าที่มีกำหนดระยะเวลาเกินกว่าสามปีเป็นโมฆะ เมื่อฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้ให้เช่าและมีหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 หรือไม่ ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยให้จำเลยทั้งสองจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ย้อนสำนวน และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องแย่งการครอบครองศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2เข้าอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เช่าที่พิพาทจากโจทก์ จำเลยทั้งสองไม่ได้อุทธรณ์คัดค้าน ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องแย่งการครอบครองที่พิพาทจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้แย่งการครอบครองที่พิพาท จึงไม่อาจนำมาตรา 1375 มาใช้บังคับแก่คดีนี้ได้
บทบัญญัติแห่งประมวลแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 มิได้ให้ถือว่าสัญญาเช่าที่มีกำหนดระยะเวลาเกินกว่าสามปีเป็นโมฆะ เมื่อฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้ให้เช่าและมีหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 หรือไม่ ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยให้จำเลยทั้งสองจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ย้อนสำนวน และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องแย่งการครอบครองศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2เข้าอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เช่าที่พิพาทจากโจทก์ จำเลยทั้งสองไม่ได้อุทธรณ์คัดค้าน ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องแย่งการครอบครองที่พิพาทจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้แย่งการครอบครองที่พิพาท จึงไม่อาจนำมาตรา 1375 มาใช้บังคับแก่คดีนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5501/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องสัญญาเช่า, การครอบครอง, และการแย่งการครอบครอง: ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาเดิม
จำเลยให้การแต่เพียงว่า โจทก์จะได้ครอบครองที่พิพาทหรือไม่จำเลยไม่รับรองข้อต่อสู้ของจำเลยเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่แสดงชัดแจ้งว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ในเรื่องสิทธิครอบครองที่พิพาทจึงไม่มีประเด็นเรื่องอำนาจฟ้อง และแม้เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์เห็นไม่สมควรยกขึ้นวินิจฉัยก็ทำได้ บทบัญญัติแห่งประมวลแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 มิได้ให้ถือว่าสัญญาเช่าที่มีกำหนดระยะเวลาเกินกว่าสามปีเป็นโมฆะ เมื่อฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้ให้เช่าและมีหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 หรือไม่ ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยให้จำเลยทั้งสองจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ย้อนสำนวน และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องแย่งการครอบครองศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 เข้าอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เช่าที่พิพาทจากโจทก์ จำเลยทั้งสองไม่ได้อุทธรณ์คัดค้าน ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องแย่งการครอบครองที่พิพาทจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้แย่งการครอบครองที่พิพาทจึงไม่อาจนำมาตรา 1375 มาใช้บังคับแก่คดีนี้ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5211/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแย่งการครอบครองที่ดิน: การแสดงเจตนาเป็นเจ้าของและการนับระยะเวลาฟ้องคดี
แม้ฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ การที่จำเลยทำการปลูกมะพร้าวในที่พิพาทนับร้อยต้น ย่อมแสดงว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทอย่างเป็นเจ้าของ เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ มีลักษณะเป็นการแย่งการครอบครองแล้ว จำเลยปลูกต้นมะพร้าวในที่พิพาทตั้งแต่ก่อนกลางปี พ.ศ. 2525โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2526 จึงเกิน 1 ปีนับแต่จำเลยแย่งการครอบครอง
แม้ฟังว่าพนักงานโจทก์เคยไปที่พิพาทพบน้องสาวจำเลย น้องสาวจำเลยไม่ยอมบอกว่ากระต๊อบที่จำเลยปลูกในที่พิพาทเป็นของใครและไม่ยอมบอกว่าใครเป็นคนปลูกมะพร้าว น้องสาวจำเลยยังบอกด้วยว่าตนมาอาศัยเลี้ยงหอย เท่านั้น การกระทำของน้องสาวย่อมมิใช่การกระทำของจำเลย จะถือว่าจำเลยไม่กล้าเปิดเผยเจตนาแย่งการครอบครองและยอมรับอำนาจในการครอบครองที่พิพาทของโจทก์ย่อมมิได้ ทั้งการแย่งการครอบครองนั้น ข้อสำคัญอยู่ที่มีการแสดงเจตนาเป็นเจ้าของ จะเป็นไปโดยเปิดเผยหรือไม่ ย่อมมิใช่ข้อสำคัญ
จำเลยมิได้ครอบครองที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์หรือน้องสาวของจำเลยมาก่อน จำเลยจึงไม่จำต้องบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการยึดถือไปยังโจทก์ ทั้งในการแย่งการครอบครอง ไม่จำเป็นที่ผู้เป็นเจ้าของที่ดินจะต้องทราบว่าตนเองถูกแย่งการครอบครอง.
แม้ฟังว่าพนักงานโจทก์เคยไปที่พิพาทพบน้องสาวจำเลย น้องสาวจำเลยไม่ยอมบอกว่ากระต๊อบที่จำเลยปลูกในที่พิพาทเป็นของใครและไม่ยอมบอกว่าใครเป็นคนปลูกมะพร้าว น้องสาวจำเลยยังบอกด้วยว่าตนมาอาศัยเลี้ยงหอย เท่านั้น การกระทำของน้องสาวย่อมมิใช่การกระทำของจำเลย จะถือว่าจำเลยไม่กล้าเปิดเผยเจตนาแย่งการครอบครองและยอมรับอำนาจในการครอบครองที่พิพาทของโจทก์ย่อมมิได้ ทั้งการแย่งการครอบครองนั้น ข้อสำคัญอยู่ที่มีการแสดงเจตนาเป็นเจ้าของ จะเป็นไปโดยเปิดเผยหรือไม่ ย่อมมิใช่ข้อสำคัญ
จำเลยมิได้ครอบครองที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์หรือน้องสาวของจำเลยมาก่อน จำเลยจึงไม่จำต้องบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการยึดถือไปยังโจทก์ ทั้งในการแย่งการครอบครอง ไม่จำเป็นที่ผู้เป็นเจ้าของที่ดินจะต้องทราบว่าตนเองถูกแย่งการครอบครอง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5211/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแย่งการครอบครองที่ดิน: การแสดงเจตนาเป็นเจ้าของไม่จำเป็นต้องเปิดเผย และระยะเวลาฟ้องร้อง
แม้ฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ การที่จำเลยทำการปลูกมะพร้าวในที่พิพาทนับร้อยต้น ย่อมแสดงว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทอย่างเป็นเจ้าของ เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ มีลักษณะเป็นการแย่งการครอบครองแล้ว จำเลยปลูกต้นมะพร้าวในที่พิพาทตั้งแต่ก่อนกลางปี พ.ศ. 2525โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2526 จึงเกิน 1 ปีนับแต่จำเลยแย่งการครอบครอง แม้ฟังว่าพนักงานโจทก์เคยไปที่พิพาทพบน้องสาวจำเลย น้องสาวจำเลยไม่ยอมบอกว่ากระต๊อบที่จำเลยปลูกในที่พิพาทเป็นของใครและไม่ยอมบอกว่าใครเป็นคนปลูกมะพร้าว น้องสาวจำเลยยังบอกด้วยว่าตนมาอาศัยเลี้ยงหอย เท่านั้น การกระทำของน้องสาวย่อมมิใช่การกระทำของจำเลย จะถือว่าจำเลยไม่กล้าเปิดเผยเจตนาแย่งการครอบครองและยอมรับอำนาจในการครอบครองที่พิพาทของโจทก์ย่อมมิได้ ทั้งการแย่งการครอบครองนั้น ข้อสำคัญอยู่ที่มีการแสดงเจตนาเป็นเจ้าของ จะเป็นไปโดยเปิดเผยหรือไม่ ย่อมมิใช่ข้อสำคัญ จำเลยมิได้ครอบครองที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์หรือน้องสาวของจำเลยมาก่อน จำเลยจึงไม่จำต้องบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการยึดถือไปยังโจทก์ ทั้งในการแย่งการครอบครอง ไม่จำเป็นที่ผู้เป็นเจ้าของที่ดินจะต้องทราบว่าตนเองถูกแย่งการครอบครอง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4719/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์และการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในกำหนด 1 ปี
จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาโดยไม่ปรากฏว่าได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ จนกระทั่งโจทก์ไปยื่นเรื่องราวขอรับโอนมรดกที่ดินส่วนที่เป็นของมารดาโจทก์ที่สำนักงานที่ดิน จำเลยจึงได้มีหนังสือลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2527 ถึงนายอำเภอขอคัดค้านการรับโอนมรดกโดยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยผู้เดียว หนังสือดังกล่าวได้ยื่นต่อนายอำเภอเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2527 โจทก์ได้รับสำเนาหนังสือคัดค้านของจำเลยเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2527 แสดงว่าโจทก์ทราบเรื่องที่จำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่ดินพิพาทเพื่อตนตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2527 ซึ่งเป็นการแย่งการครอบครองของโจทก์ โจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครอง เมื่อวันที่ 6กุมภาพันธ์ 2528 จึงเป็นการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 แล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4719/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องแย่งการครอบครอง: เริ่มนับเมื่อทราบการเปลี่ยนลักษณะการยึดถือ
จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาโดยไม่ปรากฏว่าได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ จนกระทั่งโจทก์ไปยื่นเรื่องราวขอรับโอนมรดกที่ดินส่วนที่เป็นของมารดาโจทก์ที่สำนักงานที่ดิน จำเลยจึงได้มีหนังสือลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2527 ถึงนายอำเภอขอคัดค้านการรับโอนมรดกโดยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยผู้เดียว หนังสือดังกล่าวได้ยื่นต่อนายอำเภอเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2527 โจทก์ได้รับสำเนาหนังสือคัดค้านของจำเลยเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2527 แสดงว่าโจทก์ทราบเรื่องที่จำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่ดินพิพาทเพื่อตนตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2527 ซึ่งเป็นการแย่งการครอบครองของโจทก์ โจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครอง เมื่อวันที่ 6กุมภาพันธ์ 2528 จึงเป็นการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 แล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4475/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินหลังสัญญาซื้อขาย: สิทธิครอบครองแทนจำเลย & ไม่เป็นการแย่งการครอบครอง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยตกลงขายที่พิพาทให้โจทก์ในวันทำสัญญาซื้อขายโจทก์ได้ชำระเงินมัดจำบางส่วน เงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือจำเลยจะขอรับเอาเมื่อจำเลยได้ทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนที่ดินให้โจทก์เสร็จและในระหว่างที่ยังไม่โอนที่ดินให้แก่โจทก์ จำเลยได้มอบที่ดินซึ่งซื้อขายให้โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงการได้มาซึ่งสิทธิครอบครองของโจทก์โดยละเอียด และแจ้งชัดพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์ครอบครองที่พิพาทตามสัญญาจะซื้อจะขาย จึงเป็นการครอบครองที่พิพาทแทนจำเลย จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะเข้าครอบครองที่พิพาทเมื่อใดก็ได้ และเมื่อจำเลยเข้าครอบครองที่พิพาทก็เป็นการเข้าครอบครองที่ของตนเองหาใช่เป็นการแย่งการครอบครองไม่ จึงไม่อาจนำบทบัญญัติมาตรา 1375 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับได้
โจทก์ครอบครองที่พิพาทตามสัญญาจะซื้อจะขาย จึงเป็นการครอบครองที่พิพาทแทนจำเลย จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะเข้าครอบครองที่พิพาทเมื่อใดก็ได้ และเมื่อจำเลยเข้าครอบครองที่พิพาทก็เป็นการเข้าครอบครองที่ของตนเองหาใช่เป็นการแย่งการครอบครองไม่ จึงไม่อาจนำบทบัญญัติมาตรา 1375 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคืนการครอบครองที่ดิน: ระยะเวลาฟ้องเมื่อจำเลยครอบครองแทนโจทก์
ระยะเวลาฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินตามป.พ.พ. มาตรา 1375 วรรคสอง นั้นเป็นเรื่องแย่งการครอบครองเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยคืนที่ดินได้ตลอดระยะเวลาที่จำเลยยังคงครอบครองที่ พิพาทแทนโจทก์อยู่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2065/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแย่งการครอบครองและการฟ้องคดีเกิน 1 ปี ทำให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375
จำเลยได้ ทำสัญญาขายฝากที่ดินพิพาท ซึ่ง มี น.ส.3 ก. กับโจทก์มีกำหนด 1 ปี เมื่อครบกำหนดตาม สัญญาขายฝากแล้ว จำเลยยังคงครอบครองที่พิพาทตลอดมา โจทก์บอกให้จำเลยทำสัญญาเช่าที่พิพาทจากโจทก์ แต่ จำเลยไม่ทำ ต่อมาจำเลยได้ ไปร้องเรียนขอความเป็นธรรม ต่อ ทางราชการเกี่ยวกับเรื่องขายฝาก ดังนี้ ถือ ได้ ว่าจำเลยได้ แย่ง สิทธิครอบครองของโจทก์และได้ บอกกล่าวการเปลี่ยนลักษณะแห่งการ ยึดถือครอบครองที่พิพาทเป็นของตน ต่อ โจทก์แล้ว การที่โจทก์นำคดี มาฟ้องเรียกคืนการครอบครองที่พิพาทเกินกว่า 1 ปี นับแต่วันสัญญาขายฝากครบกำหนด ซึ่ง เป็นวันที่โจทก์ถูก แย่งการครอบครองโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 วรรคสอง.