พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,024 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6084/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อจำเลยยอมรับหนี้บางส่วน และประเด็นทุนทรัพย์ที่พิพาท
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คจำนวนเงิน 326,470 บาทจำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า สินค้าโจทก์ชำรุดทำให้จำเลยเสียหายคิดเป็นเงิน 81,307 บาท จำเลยมีสิทธิหักกลบลบหนี้จำนวน 81,307 บาทเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามเช็คแล้ว จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยต้องรับผิดเพียง 245,163 บาท โดยมีสิทธิหักเงินจำนวน 81,307บาท และในชั้นฎีกาจำเลยก็ฎีกาทำนองเดียวกัน แสดงว่าจำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ 245,163 บาท เท่านั้น การที่จำเลยยังคงฎีกาโต้เถียงว่า จำเลยมีสิทธิหักกลบลบหนี้จำนวน 81,307 บาท ตามฟ้องแย้ง เช่นนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงมีเพียง 81,307 บาทต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6050/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในคดีทุนทรัพย์น้อยกว่า 2 แสนบาท: ฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้าม
คดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000 บาท คู่ความต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา-ความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง คดีมีประเด็นตามฎีกาของจำเลยเพียงว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาโดยจงใจหรือไม่มีเหตุอันสมควรหรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง ไม่เคยได้รับหมายเรียกสำเนาคำฟ้องและหมายนัดสืบพยานโจทก์ เพราะจำเลยพักรักษาตัวอยู่ที่อื่น ไม่ได้อยู่ที่บ้านตามที่เจ้าพนักงานศาลนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปปิดนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6011/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกข้อต่อสู้ใหม่ในชั้นฎีกาที่ไม่เคยว่ากันในศาลล่างถือเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์ซึ่งจำเลยที่ 1 ลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 2 เป็นผู้ขับต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 3 ไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าจำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ เพราะจำเลยที่ 2ผู้เอาประกันไม่ต้องรับผิด แม้ศาลชั้นต้นจะได้ตั้งประเด็นข้อพิพาทในวันชี้สองสถานว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 หรือไม่และยกขึ้นวินิจฉัยก็เป็นการตั้งประเด็นและวินิจฉัยนอกฟ้องและคำให้การเป็นการไม่ชอบ การที่จำเลยที่ 3 ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นฎีกาจึงถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือเป็นกรณีที่จำเลยที่ 3 ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นเพราะพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5989/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อเท็จจริงนอกสำนวนในชั้นฎีกา: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาข้อหาบุกรุกลักทรัพย์ ทำให้เสียทรัพย์ และศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยว่า จำเลยขาดเจตนาทางอาญาพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว คดีนี้จึงต้องถือข้อเท็จจริงตามคดีอาญาดังกล่าวตามป.วิ.อ.มาตรา 46 นั้น จำเลยเพิ่งจะหยิบยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นฎีกาโดยแนบเป็นเอกสารท้ายฎีกา ซึ่งโจทก์แก้ฎีกาคัดค้านจึงเป็นข้อเท็จจริงนอกสำนวนมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 588/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฎีกาและการถือครองทรัพย์สินแทนผู้อื่น: ศาลฎีกาพิพากษาว่าข้อกำหนดในพินัยกรรมที่ระบุทรัพย์สินของผู้อื่นเป็นโมฆะ
ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยส่งหมายนัดให้จำเลยตามภูมิลำเนาที่ปรากฏในคำให้การ ปรากฏว่าส่งไม่ได้ จึงปิดประกาศแจ้งวันนัดหน้าศาลเมื่อถึงวันที่ 29 เมษายน 2534 ซึ่งเป็นวันนัดศาลชั้นต้นจึงอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต่อมาวันที่ 13 กันยายน 2534ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าการที่จำเลยไม่ทราบวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เพราะเจ้าหน้าที่มิได้นำหมายนัดไปส่งให้แก่ทนายจำเลยตามที่อยู่ใหม่ การประกาศแจ้งวันนัดหน้าศาลจึงไม่ชอบและถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว โจทก์ไม่อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว คำสั่งของศาลชั้นต้นจึงยุติและในวันเดียวกันนั้นศาลชั้นต้นได้จดรายงานกระบวนพิจารณาว่าอนุญาตให้จำเลยยื่นฎีกานับแต่วันนี้จึงถือได้ว่าในวันที่ 13 กันยายน 2534 จำเลยได้ทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว ซึ่งจะครบกำหนดฎีกาในวันที่ 13 ตุลาคม 2534แต่ปรากฎว่าวันที่ 13 ถึง 15 ตุลาคมเป็นวันหยุดราชการ จำเลยยื่นฎีกาวันที่ 16 ตุลาคม 2534 จึงอยู่ภายในกำหนดระยะเวลาฎีกา คำสั่งรับฎีกาของศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยกฎหมาย ข้อกำหนดในพินัยกรรมที่ยกทรัพย์สินของผู้อื่นให้แก่ผู้รับพินัยกรรมย่อมเป็นโมฆะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5786/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจพนักงานอัยการและทนายความในการดำเนินคดี, ข้อจำกัดการฎีกาในคดีทุนทรัพย์น้อย, และอายุความ
ป.เป็นพนักงานอัยการมีอำนาจที่จะรับว่าต่างคดีให้องค์การโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่จัดขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกาได้ตามพระราชบัญญัติ พนักงานอัยการ พ.ศ. 2498 มาตรา 11(5) และ ป.ได้รับเป็นทนายความว่าต่างให้โจทก์แล้วตามใบแต่งทนายความในสำนวน ป. จึงมีอำนาจว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆรวมทั้งการเรียงคำฟ้องแทนโจทก์ได้โดยไม่จำต้องระบุถึงฐานะเช่นนั้นในช่องผู้เรียงคำฟ้องอีก จำเลยฎีกาว่า จำเลยมีสิทธิได้รับเงินค่าเช่าฉางและค่ากรรมกรขนข้าวเปลือกจากโจทก์มากกว่าจำนวนที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เป็นการโต้แย้งดุลพินิจของศาลอุทธรณ์อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อคดีมีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง จำเลยให้การว่า คดีโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดเพื่อการที่ทรัพย์ขาดตกบกพร่อง หรือขอให้ใช้ราคาทรัพย์และค่าเสียหายเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่เวลาที่ส่งมอบมิใช่เป็นการอ้างอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 671ที่จำเลยฎีกาว่า คดีโจทก์ขาดอายุความตามมาตรา 671 จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5746/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในชั้นศาลฎีกาเมื่อทุนทรัพย์พิพาทไม่เกินสองแสนบาท และการโต้แย้งดุลพินิจศาล
ที่ดินพิพาทที่จำเลยต้องจดทะเบียนโอนขายแก่โจทก์มีราคา160,000 บาท และศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายในการที่จำเลยผิดสัญญาให้แก่โจทก์อีกส่วนหนึ่งจำนวน 25,000 บาท ดังนั้นฎีกาจำเลยที่ขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยให้ยกฟ้องโจทก์ จึงมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเท่ากับราคาที่ดินพิพาทรวมกับค่าเสียหายดังกล่าว คิดเป็นเงินรวม 185,000 บาทซึ่งไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 248วรรคหนึ่ง แห่ง ป.วิ.พ. ฎีกาจำเลยที่ว่าจำเลยไม่มีเจตนาทุจริตหรือโกงโจทก์จึงมิใช่เป็นฝ่ายผิดสัญญา และโจทก์ไม่เสียหาย เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ที่ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา และโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายในการที่จำเลยผิดสัญญา จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5746/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดในการฎีกาคดีแพ่ง: ทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท และการโต้แย้งดุลพินิจศาล
ที่ดินพิพาทที่จำเลยต้องจดทะเบียนโอนขายแก่โจทก์มีราคา160,000 บาท และศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายในการที่จำเลยผิดสัญญาให้แก่โจทก์อีกส่วนหนึ่งจำนวน 25,000 บาท ดังนั้นฎีกาจำเลยที่ขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยให้ยกฟ้องโจทก์ จึงมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเท่ากับราคาที่ดินพิพาทรวมกับค่าเสียหายดังกล่าว คิดเป็นเงินรวม 185,000 บาท ซึ่งไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 248วรรคหนึ่ง แห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ฎีกาจำเลยที่ว่าจำเลยไม่มีเจตนาทุจริตหรือโกงโจทก์จึงมิใช่เป็นฝ่ายผิดสัญญา และโจทก์ไม่เสียหาย เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ที่ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา และโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายในการที่จำเลยผิดสัญญา จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5724/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อมูลสรุปฎีกาเกี่ยวกับคดีในศาลจังหวัดมีนบุรีและศาลอุทธรณ์
(ประสิทธิ์ แสนศิริ - สมภพ โชติกวณิชย์ - ทวิช กำเนิดเพ็ชร์)ศาลจังหวัดมีนบุรี นายประมวญ รักศิลธรรมศาลอุทธรณ์ นายไพบูรณ์ ถิรรุ่งเรือง
นางสาวปรานี เสฐจินตนิน - ย่อ
นางสาวปรานี เสฐจินตนิน - ย่อ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5626/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากราคาทรัพย์สินพิพาทต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด แม้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา
ในคดีฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย อันเป็นการเถียงสิทธิครอบครอง เป็นคดีมีทุนทรัพย์ การพิจารณาว่าคดีจะต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงหรือไม่ ต้องถือตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคหนึ่ง เมื่อที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกามีราคาไม่เกินสองแสนบาท คดีย่อมต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามมาตรา 248 วรรคหนึ่ง โดยไม่มีข้อที่ต้องพิจารณาว่าที่ดินดังกล่าวอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาทหรือไม่