คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ดุลพินิจ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 923 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4499/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ป.วิ.พ. เนื่องจากเป็นการโต้เถียงดุลพินิจศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นให้ยกฟ้องโจทก์ จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงเท่ากับจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะต้องร่วมกันรับผิดชำระแก่โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์เป็นเงิน 150,000 บาท ซึ่งไม่เกิน 200,000 บาท โดยดอกเบี้ยภายหลังวันฟ้องไม่นำมารวมคำนวณเป็นทุนทรัพย์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 190 (1) คดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามมาตรา 248 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 297/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตอำนาจศาลแรงงาน: ดุลพินิจอนุญาตฟ้องที่ศาลแรงงานกลาง หากไม่สะดวก ศาลมีสิทธิไม่รับฟ้อง
ศาลแรงงานกลางได้พิจารณาคำร้องขอดำเนินคดีที่ศาลแรงงานกลางของโจทก์แล้วมีคำสั่งไม่รับฟ้อง จึงเป็นกรณีที่ศาลแรงงานกลางเห็นว่า การพิจารณาในศาลแรงงานกลางไม่เป็นการสะดวก จึงไม่อนุญาตให้โจทก์ยื่นคำฟ้องตามที่ขอตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 33 วรรคหนึ่ง การที่โจทก์อุทธรณ์ก็เพื่อให้เห็นว่า การพิจารณาคดีในศาลแรงงานกลางจะเป็นการสะดวก อุทธรณ์โจทก์ดังกล่าวจึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการพิจารณาอนุญาตของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2928/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบเงินและทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด โดยศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์เนื่องจากเกินดุลพินิจและไม่ได้ยกขึ้นว่ากันในศาลอุทธรณ์
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ริบเงินจำนวน 60,950 บาท และเงินจำนวน 18,500 บาท ที่ได้จากการขายทอดตลาดรถจักรยานยนต์ ศาลชั้นต้นพิพากษาริบเงินจำนวน 60,950 บาท แต่ให้คืนเงินจำนวน 18,500 บาท ที่ได้จากการขายทอดตลาดรถจักรยานยนต์ ผู้ร้องอุทธรณ์ขอให้ริบเงินจำนวนดังกล่าว ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ของผู้ร้องจึงไม่เกิน 50,000 บาท ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ผู้ร้องอุทธรณ์ว่า รถจักรยานยนต์ของผู้คัดค้านเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากเงินที่จำหน่ายยาเสพติดโดยผ่อนชำระแก่ผู้ให้เช่าซื้อ เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ ถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 59 วรรคสอง ให้พนักงานอัยการได้รับการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง จึงไม่มีค่าธรรมเนียมศาลอุทธรณ์ที่ต้องสั่งคืนให้แก่ผู้ร้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 161/2551 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามในข้อเท็จจริงเนื่องจากทุนทรัพย์ต่ำ และการโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐาน
เนื้อหาในฎีกาที่มีลักษณะเป็นการโต้แย้งว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำมาสืบไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ เป็นการโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาล แม้จะอ้าง ป.วิ.พ. มาตรา 27 ขึ้นมาโต้แย้งว่า การได้มาซึ่งพยานหลักฐานในส่วนดังกล่าวมิชอบไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง แต่หาได้เป็นข้อกฎหมายที่ยกขึ้นอ้างอิงในฎีกาเพื่อเอาชนะคดีโดยชัดแจ้งไม่ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกามีเพียง 95,476.24 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8958/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ลายมือชื่อในสัญญากู้ยืมและการค้ำประกัน ศาลใช้ดุลพินิจพิจารณาพยานหลักฐานและไม่ผูกมัดต้องส่งตรวจพิสูจน์เสมอไป
ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดเป็นความเห็นอันหนึ่งเท่านั้น หาเป็นการผูกมัดศาลให้ต้องส่งเรื่องราวไปตรวจพิสูจน์เสมอไปไม่ เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่า ลายมือชื่อของจำเลยเท่าที่ปรากฏเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้ จึงปฏิเสธไม่ส่งลายมือชื่อของจำเลยไปตรวจพิสูจน์ ย่อมอยู่ในดุลพินิจของศาลชั้นต้นตามที่เห็นสมควร การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยคดีไปโดยไม่ได้ส่งลายมือชื่อของจำเลยทั้งสองไปตรวจพิสูจน์จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8598/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาต้องเป็นประเด็นข้อกฎหมาย การโต้แย้งดุลพินิจรับฟังพยานหลักฐานเป็นปัญหาข้อเท็จจริง
โจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา แม้ศาลชั้นต้นมิได้สั่งอนุญาต แต่การที่จำเลยทั้งห้าได้รับสำเนาคำร้องแล้วไม่คัดค้านและศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปยังศาลฎีกา พอแปลได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ วรรคหนึ่ง แล้ว
การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบและไม่เชื่อถือพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบ เป็นดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานอันเป็นข้อเท็จจริง จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ตามหนังสือมอบอำนาจมีกรรมการกองทุนหมู่บ้านจำนวน 7 คน ลงลายมือชื่อมอบอำนาจให้ ท. และ ส. ฟ้องคดีนี้ซึ่งถือว่าเกินกว่ากึ่งหนึ่งของคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านทั้งหมดและเป็นเสียงข้างมาก การวินิจฉัยชี้ขาดให้ฟ้องคดีถือว่าชอบด้วยระเบียบคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ และระเบียบข้อบังคับของกองทุนหมู่บ้านโจทก์ เพราะระเบียบดังกล่าวไม่ได้กำหนดว่าคณะกรรมการหมู่บ้านต้องมอบอำนาจให้ครบทั้ง 9 คน ซึ่งจำเลยทั้งห้าก็ไม่ได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น ส่วนคำเบิกความของ ท. และ ส. ที่ว่าได้รับมอบอำนาจจากคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านจำนวน 9 คน ก็ไม่ขัดแย้งกับคำฟ้องของโจทก์เพราะเป็นการเบิกความรวมถึงตัว ท. และ ส. ผู้รับมอบอำนาจซึ่งเป็นกรรมการด้วย เมื่อ ท. และ ส. เบิกความยืนยันว่าได้รับมอบอำนาจจากคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านชุดใหม่ของโจทก์ให้ฟ้องคดีนี้ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งห้านั้น เป็นการอุทธรณ์ว่าพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาฟังได้แล้วว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง ถือเป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายและอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกาโดยตรงนั้นจึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7287/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าชดเชยลูกจ้าง: การคำนวณค่าจ้างจากค่าเที่ยว และการโต้แย้งดุลพินิจศาล
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า ส. ปฏิเสธไม่ขับรถหัวลากเนื่องจาก ส. ประสบอุบัติเหตุตกจากรถและแขนขวาได้รับบาดเจ็บ ส. จึงไม่ได้จงใจขัดคำสั่งของนายจ้าง การที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ส. ปฏิเสธไม่ขับรถหัวลากเพราะได้รับค่าเที่ยวน้อยลง และ ส. แสดงใบรับรองแพทย์ภายหลังโจทก์เลิกจ้าง ส. แล้ว ส. จึงมีเจตนาฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของโจทก์ จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 54 วรรคหนึ่ง
ส. ได้รับค่าตอบแทนในการทำงานเป็นค่าเที่ยว เที่ยวละ 100 บาท ถึง 650 บาท ตามระยะทางใกล้ไกลและความยากง่ายของงาน สำหรับการทำงาน 180 วัน ก่อนเลิกจ้างเป็นการทำงานในระหว่างเวลาทำงานปกติคิดเป็นร้อยละ 30 และเป็นการทำงานนอกเวลาทำงานปกติคิดเป็นร้อยละ 70 ของค่าเที่ยวทั้งหมด ส่วนที่ตอบแทนการทำงานสำหรับระยะเวลาทำงานปกติร้อยละ 30 จึงเป็นค่าจ้าง แต่ส่วนที่ตอบแทนการทำงานนอกเวลาทำงานปกติร้อยละ 70 ไม่เป็นค่าจ้าง ส่วนที่ตอบแทนการทำงานสำหรับระยะเวลาทำงานปกติร้อยละ 30 เมื่อคำนวณเป็นรายเดือนแล้วรวมกับเงินเดือนที่ ส. ได้รับจึงใช้เป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชยได้ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 118 (3)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 578/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในการจัดการทรัพย์สินลูกหนี้และดุลพินิจการเข้าว่าคดี
อำนาจในการจัดกิจการและทรัพย์สินของจำเลยที่ตกอยู่แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 22 ย่อมรวมทั้งอำนาจในการรวบรวมทรัพย์สินโดยการทวงหนี้ด้วย ทั้งการเข้าว่าคดีแพ่งที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาลแทนจำเลยเป็นดุลพินิจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะเข้าว่าคดีแทนหรือไม่ เมื่อจำเลยมีข้อต่อสู้ว่าโจทก์ยังมีหนี้ค้างชำระแก่จำเลยซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ได้ดำเนินการทวงหนี้ที่โจทก์ค้างชำระตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 119 แล้ว และหากการสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฟังได้ยุติว่าโจทก์ไม่มีหนี้ค้างชำระ หรือมีหนี้ค้างชำระแต่โจทก์ได้ชำระหนี้ครบถ้วนแล้วเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็มีอำนาจดำเนินการไถ่ถอนจำนองให้แก่โจทก์ได้ตามความประสงค์ อันจะทำให้ข้อพิพาททั้งปวงระหว่างโจทก์จำเลยเสร็จสิ้นไปในคราวเดียว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ชอบที่จะไม่เข้าว่าคดีแทนจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5649/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและดุลพินิจศาลอุทธรณ์ในการอนุญาตแถลงการณ์ด้วยปาก
การขอแถลงการณ์ด้วยปาก คู่ความอาจขอมาในคำฟ้องอุทธรณ์โดยไม่จำต้องทำเป็นคำร้องติดมากับฟ้องอุทธรณ์ ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นสมควรอนุญาตให้คู่ความแถลงการณ์ด้วยปากก็ให้พิจารณาคดีโดยเปิดเผยต่อหน้าคู่ความทั้งสองฝ่าย การอนุญาตให้คู่ความแถลงการณ์ด้วยปากหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์โดยเฉพาะ คู่ความไม่มีสิทธิยกขึ้นฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 526/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งลงโทษทางวินัยและการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ปกครอง ต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงและกระบวนการที่ชอบด้วยกฎหมาย
คำสั่งลงโทษไล่โจทก์ออกจากราชการเป็นคำสั่งทางปกครองของฝ่ายบริหาร การที่ศาลจะเพิกถอนคำสั่งทางปกครองของฝ่ายบริหารได้นั้น ข้อสำคัญข้อหนึ่งคือ การออกคำสั่งดังกล่าวเป็นการออกโดยมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามขั้นตอนและออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
การลงโทษทางวินัยกับความรับผิดในทางอาญานั้นต้องแยกออกจากกัน การถูกลงโทษทางวินัยตามข้อกล่าวหานั้นอาจไม่เป็นความผิดทางอาญาก็ได้ ไม่จำเป็นว่าการลงโทษทางวินัยจะต้องเป็นความผิดทางอาญาเสมอไป คดีนี้ประการแรกโจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างเลยว่ากระบวนการสอบสวนของจำเลยที่ 1 ไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร เพียงแต่โต้แย้งข้อเท็จจริงว่า โจทก์ไม่ได้กระทำความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ จำเลยที่ 1 จึงไม่มีอำนาจที่จะออกคำสั่งลงโทษไล่โจทก์ออกจากราชการ แต่โจทก์ก็ถูกฟ้องเป็นคดีต่อศาลอาญาข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แม้ศาลจะพิพากษายกฟ้องโจทก์และคดีถึงที่สุดแต่คำพิพากษาดังกล่าวก็มีข้อเท็จจริงที่พัวพันกับตัวโจทก์ ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 ใช้ดุลพินิจลงโทษโจทก์ตามพฤติการณ์ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่า การกระทำของโจทก์ตกอยู่ในกรณีมีมลทินหรือมัวหมองในกรณีที่ถูกสอบสวนโดยมิได้ลงโทษกล่าวหาว่าโจทก์ร่วมกับพวกปล้นทรัพย์แต่อย่างใด การออกคำสั่งของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการออกคำสั่งโดยใช้ดุลพินิจที่ชอบด้วยกฎหมาย
of 93