คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลฎีกา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,432 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4717/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ-ค่าเสียหายบุกรุก: ศาลฎีกาแก้ค่าใช้ที่ดินจากข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อน
คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยว่าจำเลยกระทำละเมิดโจทก์โดยจำเลยก่อสร้างตีนช้างหรือฐานรากอาคารรุกล้ำที่ดินของโจทก์และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยฐานละเมิดส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ชดใช้ค่าใช้ที่ดินในกรณีที่ตีนช้างหรือบานรากอาคารของจำเลยปลูกสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์กับให้จำเลยไปจดทะเบียนภารจำยอมในส่วนที่รุกล้ำนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1312จึงเป็นข้อพิพาทคนละประเด็นกันมิใช่ประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148 ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเนื้อที่ดินที่ก่อสร้างตีนช้างผิดพลาดไปเป็นเนื้อที่ดินครึ่งต่อครึ่งซึ่งจำนวนเนื้อที่ดินที่ผิดพลาดนี้ไม่ว่าจะคิดเฉพาะจุดที่ก่อสร้างตีนช้างหรือจะคิดเป็นเนื้อที่ตลอดแนวความยาวก่อสร้างตีนช้างทั้งแถวย่อมมีผลกระทบกระเทือนถึงการกำหนดค่าใช้ที่ดินของศาลให้ผิดพลาดไปด้วยศาลฎีกาเห็นสมควรฟังข้อเท็จจริงเสียใหม่และกำหนดค่าเสียหายลดลงจากที่ศาลทั้งสองกำหนด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4713/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายเวลาวางค่าฤชาธรรมเนียมหลังศาลไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการประวิงคดี
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดเวลาให้ผู้ร้องวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมถึง 7 วัน ทั้งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่าผู้ร้องไม่ใช่คนยากจนโดยไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์แล้ว การที่ผู้ร้องกลับมาขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมต่อศาลชั้นต้นว่า ผู้ร้องเป็นคนยากจน ระยะเวลาที่กำหนดให้ไม่เพียงพอจึงมีลักษณะเป็นการประวิงคดี ถือไม่ได้ว่ามีพฤติการณ์พิเศษที่จะขอให้ขยายระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 23

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 456/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำคดีแรงงาน: ศาลฎีกายืนตามศาลแรงงานกลางว่าการฟ้องเรียกค่าเสียหายจากคำสั่งลงโทษเดิม เป็นฟ้องซ้ำ
คดีเดิมโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งที่จำเลยสั่งลงโทษลดขั้นเงินเดือนโจทก์1ขั้นโดยอ้างว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยระเบียบข้อบังคับการทำงานและกฎหมายเพราะโจทก์มิได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหาศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางว่าโจทก์ทำผิดระเบียบข้อบังคับการทำงานคำสั่งของจำเลยที่สั่งลงโทษโจทก์นั้นชอบแล้วการที่โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินเดือนที่ถูกลดไป1ขั้นตามคำสั่งดังกล่าวและเงินโบนัสที่จำเลยไม่ได้จ่ายให้โจทก์ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่โจทก์ถูกลงโทษตามคำสั่งนั้นเมื่อโจทก์ฟ้องคดีเดิมโจทก์อาจเรียกร้องให้พิจารณาถึงสิทธิต่างๆตามที่โจทก์ฟ้องคดีนี้อยู่แล้วการที่โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องมีกรณีที่ต้องพิจารณาว่าคำสั่งดังกล่าวของจำเลยชอบด้วยระเบียบข้อบังคับการทำงานและกฎหมายหรือไม่ซึ่งเป็นประเด็นที่คดีเดิมมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วข้ออ้างตามฟ้องโจทก์จึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีเดิมและคู่ความเดียวกันเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148ประกอบกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานกลางและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา31

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 410/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอฟ้องคดีอนาถา: การแก้ไขกระบวนพิจารณาหลังศาลฎีกาตัดสินถึงที่สุด และการกำหนดเวลาชำระค่าขึ้นศาล
ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งยกคำร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาเพราะโจทก์มอบอำนาจให้ ก.ผู้ฟ้องคดีแทนเป็นผู้สาบานตัว โจทก์อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว และเมื่อศาลฎีกาให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งแล้ว คำสั่งศาลฎีกาดังกล่าวจึงถึงที่สุด โจทก์จะยื่นคำร้องต่อศาลภาษีอากรอีกเพื่อขอให้กรรมการบริษัทสาบานตัวประกอบคำร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถา เพื่อชี้แจงว่าโจทก์ไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาล อันเป็นการขอแก้ไขกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับคำร้องที่ไม่ถูกต้องเสียใหม่ ย่อมไม่อาจทำได้เพราะไม่มีคำร้องโจทก์เหลืออยู่ให้ดำเนินการแก้ไขกระบวนพิจารณาเสียใหม่ได้ และคำร้องดังกล่าวมิได้ร้องขอต่อศาลให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่เพื่ออนุญาตให้โจทก์นำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าโจทก์เป็นคนยากจน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 156 วรรคสี่
เมื่อศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งที่รับคำร้องและนัดไต่สวนโจทก์ที่ขอให้ศาลภาษีอากรกลางอนุญาตให้โจทก์นำกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์เข้าสาบานตัว แล้วมีคำสั่งใหม่เป็นให้ยกคำร้องโจทก์ศาลจะต้องกำหนดเวลาให้โจทก์นำค่าขึ้นศาลมาชำระในเวลาอันสมควร จะมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของโจทก์ไปทันทีหาชอบไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 383/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นการซื้อขายรถยนต์และการโอนทะเบียน: ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นได้เอง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยและสามีขายรถยนต์ให้โจทก์โดยวิธีผ่อนชำระ โจทก์ผ่อนชำระหมดแล้ว จำเลยให้การว่าจำเลยและสามีไม่ได้ขายรถยนต์ให้โจทก์ โจทก์ไม่เคยผ่อนชำระค่ารถให้จำเลยและสามี จำเลยและสามีขายรถยนต์ให้บุตรโจทก์ และบุตรโจทก์ยังชำระราคาไม่ครบ โจทก์ไม่ใช่คู่สัญญาคดีจึงไม่มีประเด็นที่ว่า โจทก์ผ่อนชำระราคารถยนต์ให้จำเลยและสามีหมดสิ้นแล้วหรือไม่ เมื่อศาลฟังว่าโจทก์ซื้อรถยนต์จากจำเลยและสามีแล้ว จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องโอนทะเบียนรถยนต์ให้โจทก์ ที่ศาลล่างยกประเด็นว่าโจทก์ชำระราคาครบถ้วนแล้วหรือไม่ขึ้นวินิจฉัย จึงไม่ถูกต้อง
ปัญหาว่า คำให้การจำเลยก่อให้เกิดประเด็นหรือไม่เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3742/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอนุญาตให้สืบพยานเพิ่มเติมหลังงดสืบพยานเดิม และการฎีกาที่เกินกรอบคำขอศาล, ครอบครองปรปักษ์
ผู้ร้องแต่ละคนและผู้คัดค้านต่างใช้สิทธิเฉพาะตัวยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินการพิจารณาทุนทรัพย์ของคดีสำหรับผู้ร้องแต่ละคนและผู้คัดค้านต้องพิจารณาแต่ละคนแยกกันเมื่อราคาทรัพย์สินที่ผู้ร้องแต่ละคนและผู้คัดค้านเรียกร้องในชั้นฎีกาซึ่งเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทกันชั้นฎีกาไม่เกิน200,000บาทผู้ร้องแต่ละคนและผู้คัดค้านจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง เมื่อศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมเป็นการจำเป็นที่จะต้องนำพยานหลักฐานอันเกี่ยวกับประเด็นในคดีมาสืบเพิ่มเติมศาลจะเรียกอะไรมาเป็นพยานหลักฐานเพื่อประกอบคดีอีกก็ได้แม้เป็นพยานหลักฐานของคู่ความฝ่ายที่มีหน้าที่นำสืบก่อนซึ่งศาลสั่งงดสืบพยานไปแล้วก็อยู่ในอำนาจที่จะกระทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา86 ฎีกาผู้คัดค้านเพียงแต่ขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้เดินเผชิญสืบและที่อนุญาตให้ผู้ร้องยื่นบัญชีพยานเพิ่มเติมกับให้ผู้ร้องสืบพยานหลังจากสืบพยานผู้คัดค้านเสร็จมิได้ขอให้ศาลฎีกาพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ผู้คัดค้านชนะคดีมากกว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา200บาทตามตาราง1ข้อ2(ข)ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3308/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาล: คดีประนีประนอมหลังหย่า ต้องวินิจฉัยโดยประธานศาลฎีกาตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนฯ
การที่ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องในคดที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยตามสัญญาประนีประนอมหลังการจดทะเบียนหย่าว่า คดีนี้เป็นการโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ครอบครัว คดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้น จึงไม่รับฟ้อง เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจศาลเยาวชนและครอบครัวหรือศาลยุติธรรมอื่น ซึ่งตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัว และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 12กำหนดให้ประธานศาลฎีกาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด ศาลชั้นต้นและศาลฎีกาหามีอำนาจวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวไม่ คำสั่งของศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลเยาวชนและครอบครัวหรือศาลชั้นต้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกา ศาลฎีกาส่งสำนวนคดีนี้ไปให้ประธาน-ศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดตามมาตรา 12 ดังกล่าวข้างต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3053/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ-ข้อเท็จจริงผูกพัน: ศาลฎีกาพิจารณาว่าคดีใหม่มีประเด็นต่างจากคดีก่อนหรือไม่ และข้อเท็จจริงในคดีก่อนมีผลผูกพันในคดีหลังได้หรือไม่
แม้คดีก่อนและคดีนี้จะมีประเด็นข้อพิพาทเป็นอย่างเดียวกันว่าที่ดินพิพาททั้งสองคดีเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของจำเลยร่วมซึ่งมีเนื้อที่2,172ไร่หรือไม่แต่เมื่อที่ดินพิพาทเป็นคนละแปลงกันซึ่งคำฟ้องของโจทก์ในคดีก่อนซึ่งเป็นจำเลยคดีนี้มิได้กล่าวหรือขอให้ศาลพิพากษาเกี่ยวกับที่ดินพิพาทในคดีนี้ทั้งคดีนี้ยังมีข้อหาละเมิดซึ่งในคดีก่อนไม่มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยจึงต่างกันส่วนประเด็นที่ว่าจำเลยร่วมเป็นเจ้าของที่ดินจำนวน2,172ไร่หรือไม่ก็เป็นกรณีที่ข้อเท็จจริงในคดีก่อนซึ่งได้ว่ากันมาแล้วจนถึงที่สุดจะนำมาใช้ในคดีนี้ให้มีผลผูกพันกันได้หรือไม่อีกประเด็นหนึ่งคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2918/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิแบ่งทรัพย์สินรวม การที่จำเลยไม่ยกข้อโต้แย้งในชั้นต้น-อุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาที่ว่าโจทก์เสียค่าขึ้นศาลไม่ถูกต้องนั้น จำเลยที่ 1มิได้ ยกขึ้นโต้แย้งในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เพิ่งยกขึ้นโต้แย้งในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมกับจำเลยทั้งสอง โจทก์ย่อมขอให้แบ่งทรัพย์สินนั้นได้โดยไม่จำต้องระบุว่าจะทำการแบ่งอย่างไรหรือตกลงกันไม่ได้จะทำอย่างไร เพราะหากแบ่งแยกไม่ได้ก็มีวิธีการที่กฎหมายกำหนดไว้ จึงมิได้เป็นประเด็นข้อพิพาทที่ศาลจะต้องกำหนดไว้ การเป็นเจ้าของรวมระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองมิได้มีหลักฐานหรือพฤติการณ์ว่าเป็นเจ้าของรวมกันอย่างถาวรหรือมีนิติกรรมขัดอยู่ เมื่อโจทก์ขอให้แบ่งทรัพย์ จำเลยทั้งสองต้องแบ่งให้โจทก์ แม้จำเลยที่ 1 ไม่ประสงค์ขอแบ่งและต้องการให้มีกรรมสิทธิ์รวมกันตลอดไปก็ไม่มีกฎหมายรับรองให้มีผลตามความประสงค์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2870/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีจราจร: ศาลฎีกาพิจารณาเองได้แม้ไม่มีการอุทธรณ์
ข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา43, 78, 157, 160 วรรคหนึ่ง มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 1 เดือนลงมา จึงมีอายุความเพียง 1 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 95 (5) จำเลยกระทำความผิดวันที่ 4 มกราคม 2529 นับถึงวันฟ้องคือวันที่ 8 มิถุนายน 2537 คดีของโจทก์สำหรับความผิดตามมาตราดังกล่าวจึงเป็นอันขาดอายุความ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (6) ปัญหานี้ แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
of 344