พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,327 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1723/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารสัญญากู้เป็นหลักฐานรับรองการรับเงินครบถ้วน จำเลยมิอาจต่อสู้ภายหลังได้
โจทก์มีเอกสารสัญญากู้เป็นหลักฐานปรากฏชัดเจนในจำนวนเงินที่กู้ (เกินกว่า 50 บาท) และระบุว่าได้รับเงินไปครบถ้วนถูกต้องแล้ว เมื่อจำเลยมิได้ต่อสู้ว่าสัญญากู้นี้เป็นโมฆะหรือไม่สมบูรณ์ด้วยประการใดๆ จำเลยจะนำสืบว่ารับเงินกู้ไปไม่ครบจำนวนดังข้อความตามสัญญากู้นั้นหาได้ไม่ เป็นการขัดต่อ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1689/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องอาญาต้องระบุเจตนาที่ชัดเจน หากมิได้ระบุเจตนาฆ่า แม้โจทก์อ้างมาตรา 250 ก็ลงโทษไม่ได้ และการนับโทษต่อต้องมีข้อมูลสนับสนุน
ฟ้องโจทก์กล่าวว่าจำเลยกับพวกได้สมคบกันมีอาวุธปืนและไม้ฆ้อนเป็นศาสตราวุธตียิงทำร้ายร่างกายนายกุ่นและนายมาเป็นบาดแผลถึงบาดเจ็บสาหัส ทั้งนี้โดยจำเลยประสงค์จะเอาทรัพย์แล้วจำเลยกับพวกได้ปล้นเอาทรัพย์ของนายกุ่นนายมาไป ฯลฯ นายกุ่นได้ถึงแก่ความตามโดยพิษบาดแผลที่ถูกทำร้าย ฯลฯ ดังนี้เห็นได้ชัดว่าฟ้องโจทก์บรรยายถึงแต่เรื่องปล้นทรัพย์และเจ้าทรัพย์ถูกทำร้ายมีบาดเจ็บสาหัสและถึงตาย มิได้ระบุว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าเจ้าทรัพย์เลย จะอ้างว่าโจทก์ได้ใส่หัวเรื่องในข้อหาฐานความผิดว่าสมคบกันทำการปล้นทรัพย์และฆ่าคนตายโดยเจตนามาประกอบฟ้องให้เข้าเกณฑ์ความผิดตาม ม.250 ก็ไม่ได้ เพราะว่าหัวเรื่องนั้นไม่เรียกว่าบรรยายคำฟ้อง ดังนี้แม้โจทก์จะอ้างบทมาตรา 250 มาด้วยก็ดี ก็ลงโทษจำเลยตาม ม.250 ไม่ได้เพราะว่าจำเลยเข้าใจข้อหาแต่เพียงว่าการปล้นทรัพย์ของจำเลยได้ทำให้เจ้าทรัพย์มีบาดเจ็บสาหัส
เมื่อไม่ปรากฎในสำนวนเลยว่าจำเลยเป็นคนๆเดียวกับในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ ทั้งไม่ปรากฎว่าได้ต้องโทษอยู่ในคดีดังกล่าว และจำเลยก็มิได้ให้การรับ ดังนี้จึงนับโทษต่อให้ไม่ได้
เมื่อไม่ปรากฎในสำนวนเลยว่าจำเลยเป็นคนๆเดียวกับในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ ทั้งไม่ปรากฎว่าได้ต้องโทษอยู่ในคดีดังกล่าว และจำเลยก็มิได้ให้การรับ ดังนี้จึงนับโทษต่อให้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1685/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องอาญาต้องชัดเจนถึงเจตนา หากไม่ระบุเจตนาฆ่า แม้มีหัวเรื่องความผิดฐานฆ่า ก็ลงโทษไม่ได้ และการนับโทษต่อต้องมีหลักฐานชัดเจน
ฟ้องโจทก์กล่าวว่าจำเลยกับพวกได้สมคบกันมีอาวุธปืนและไม้ฆ้อนเป็นศาสตราวุธตียิงทำร้ายร่างกายนายกุ่นและนายมาเป็นบาดแผลถึงบาดเจ็บสาหัส ทั้งนี้โดยจำเลยประสงค์จะเอาทรัพย์แล้วจำเลยกับพวกได้ปล้นเอาทรัพย์ของนายกุ่นนายมาไป ฯลฯ นายกุ่นได้ถึงแก่ความตายโดยพิษบาดแผลที่ถูกทำร้าย ฯลฯ ดังนี้เห็นได้ชัดว่าฟ้องโจทก์บรรยายถึงแต่เรื่องปล้นทรัพย์และเจ้าทรัพย์ถูกทำร้ายมีบาดเจ็บสาหัสและถึงตาย มิได้ระบุว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าเจ้าทรัพย์เลย จะอ้างว่าโจทก์ได้ใส่หัวเรื่องในข้อหาฐานความผิดว่าสมคบกันทำการปล้นทรัพย์และฆ่าคนตายโดยเจตนามาประกอบฟ้องให้เข้าเกณฑ์ความผิดตาม ม.250 ก็ไม่ได้ เพราะหัวเรื่องนั้นไม่เรียกว่าบรรยายคำฟ้อง ดังนี้แม้โจทก์จะอ้างบทมาตรา 250 มาด้วยก็ดี ก็ลงโทษจำเลยตาม ม.250 ไม่ได้เพราะจำเลยเข้าใจข้อหาแต่เพียงว่าการปล้นทรัพย์ของจำเลยได้ทำให้เจ้าทรัพย์มีบาดเจ็บสาหัส
เมื่อไม่ปรากฎในสำนวนเลยว่าจำเลยเป็นคน ๆ เดียวกับในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ ทั้งไม่ปรากฎว่าได้ต้องโทษอยู่ในคดีดังกล่าว และจำเลยก็มิได้ให้การรับ ดังนี้จึงนับโทษต่อให้ไม่ได้
เมื่อไม่ปรากฎในสำนวนเลยว่าจำเลยเป็นคน ๆ เดียวกับในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ ทั้งไม่ปรากฎว่าได้ต้องโทษอยู่ในคดีดังกล่าว และจำเลยก็มิได้ให้การรับ ดังนี้จึงนับโทษต่อให้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1685/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องอาญาต้องชัดเจนถึงเจตนา หากไม่ระบุเจตนาฆ่า แม้จะอ้างมาตรา 250 ก็ลงโทษไม่ได้ และการนับโทษต่อต้องมีหลักฐานชัดเจน
ฟ้องโจทก์กล่าวว่าจำเลยกับพวกได้สมคบกันมีอาวุธปืนและไม้ฆ้อนเป็นศาสตราวุธตียิงทำร้ายร่างกายนายกุ่นและนายมาเป็นบาดแผลถึงบาดเจ็บสาหัส ทั้งนี้โดยจำเลยประสงค์จะเอาทรัพย์แล้วจำเลยกับพวกได้ปล้นเอาทรัพย์ของนายกุ่นนายมาไป ฯลฯนายกุ่นได้ถึงแก่ความตายโดยพิษบาดแผลที่ถูกทำร้าย ฯลฯดังนี้เห็นได้ชัดว่าฟ้องโจทก์บรรยายถึงแต่เรื่องปล้นทรัพย์และเจ้าทรัพย์ถูกทำร้ายมีบาดเจ็บสาหัสและถึงตาย มิได้ระบุว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าเจ้าทรัพย์เลย จะอ้างว่าโจทก์ได้ใส่หัวเรื่องในข้อหาฐานความผิดว่าสมคบกันทำการปล้นทรัพย์และฆ่าคนตายโดยเจตนามาประกอบฟ้องให้เข้าเกณฑ์ความผิดตามมาตรา 250 ก็ไม่ได้ เพราะหัวเรื่องนั้นไม่เรียกว่าบรรยายฟ้อง ดังนี้แม้โจทก์จะอ้างบทมาตรา 250 มาด้วยก็ดี ก็ลงโทษจำเลยตาม มาตรา 250 ไม่ได้ เพราะจำเลยเข้าใจข้อหาแต่เพียงว่าการปล้นทรัพย์ของจำเลยได้ทำให้เจ้าทรัพย์มีบาดเจ็บสาหัส
เมื่อไม่ปรากฏในสำนวนเลยว่าจำเลยเป็นคนคนเดียวกับในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ ทั้งไม่ปรากฏว่าได้ต้องโทษอยู่ในคดีดังกล่าว และจำเลยก็มิได้ให้การรับ ดังนี้จึงนับโทษต่อให้ไม่ได้
เมื่อไม่ปรากฏในสำนวนเลยว่าจำเลยเป็นคนคนเดียวกับในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ ทั้งไม่ปรากฏว่าได้ต้องโทษอยู่ในคดีดังกล่าว และจำเลยก็มิได้ให้การรับ ดังนี้จึงนับโทษต่อให้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1556/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันสั่งซื้อไม้: พฤติการณ์แสดงเจตนาของผู้เยาว์ผ่านบิดาเป็นหลักฐานได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 สั่งซื้อไม้จากโจทก์ไปทำตู้ เตียง ซึ่งจำเลยรับเหมามาจากกองทัพอากาศ จำเลยที่ 2 รับว่าสั่งไม้จากโจทก์แต่ผู้เดียว จำเลยที่ 1 ไม่เกี่ยว จำเลยที่ 2 รับเหมาเด็ดขาดไปจากจำเลยที่ 1
เมื่อได้ความว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของร้านไทยงามอาภรณ์ จำเลยที่ 1 เป็นผู้เยาว์บิดาจึงเป็นผู้ดำเนินกิจการ ประกอบกับพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 ว่าจะไปเอาเงินที่ร้านไทยงามมาชำระโจทก์ให้โจทก์ทำบิลให้แล้ววันต่อมาจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับบิดาจำเลยที่ 1 และเจ้าของร้านยูเนียนก็ได้พากันไปหาโจทก์ บิดาจำเลยที่ 1 เอาเงินให้ 2,000 บาทวางมัดจำค่าไม้ และบิดาจำเลยที่ 1 ยังบอกโจทก์ว่ามีร้านไทยงามอาภรณ์และสั่งให้โจทก์ส่งไม้ให้เรื่อย ๆ เงินก็จะชำระให้เรื่อย ๆ ดังนี้เป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งซื้อไม้ของโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 2
และพฤติการณ์ที่โจทก์สืบดังกล่าวข้างต้นมิใช่พฤติการณ์ที่บิดาจำเลยที่ 1 ได้กระทำไปแต่ฝ่ายเดียว แต่เป็นพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ได้แสดงออกโดยชัดเจ้งว่าจำเลยที่ 1 ได้ให้บิดาจัดการเรื่องนี้แทนตน พฤติการณ์ทั้งนี้จึงเป็นข้อความที่จะพึงแสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 สั่งซื้อไม้ของโจทก์โดยบิดาจำเลยที่ 1 เป็นผู้เกี่ยวข้องเอาธุระจัดการให้จำเลยที่ 1 จึงเป็นข้อความที่เกี่ยวกับประเด็นตามคำฟ้องของโจทก์ หาเป็นความที่นอกประเด็นอย่างไรไม่.
เมื่อได้ความว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของร้านไทยงามอาภรณ์ จำเลยที่ 1 เป็นผู้เยาว์บิดาจึงเป็นผู้ดำเนินกิจการ ประกอบกับพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 ว่าจะไปเอาเงินที่ร้านไทยงามมาชำระโจทก์ให้โจทก์ทำบิลให้แล้ววันต่อมาจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับบิดาจำเลยที่ 1 และเจ้าของร้านยูเนียนก็ได้พากันไปหาโจทก์ บิดาจำเลยที่ 1 เอาเงินให้ 2,000 บาทวางมัดจำค่าไม้ และบิดาจำเลยที่ 1 ยังบอกโจทก์ว่ามีร้านไทยงามอาภรณ์และสั่งให้โจทก์ส่งไม้ให้เรื่อย ๆ เงินก็จะชำระให้เรื่อย ๆ ดังนี้เป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งซื้อไม้ของโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 2
และพฤติการณ์ที่โจทก์สืบดังกล่าวข้างต้นมิใช่พฤติการณ์ที่บิดาจำเลยที่ 1 ได้กระทำไปแต่ฝ่ายเดียว แต่เป็นพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ได้แสดงออกโดยชัดเจ้งว่าจำเลยที่ 1 ได้ให้บิดาจัดการเรื่องนี้แทนตน พฤติการณ์ทั้งนี้จึงเป็นข้อความที่จะพึงแสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 สั่งซื้อไม้ของโจทก์โดยบิดาจำเลยที่ 1 เป็นผู้เกี่ยวข้องเอาธุระจัดการให้จำเลยที่ 1 จึงเป็นข้อความที่เกี่ยวกับประเด็นตามคำฟ้องของโจทก์ หาเป็นความที่นอกประเด็นอย่างไรไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1556/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันสั่งซื้อไม้: พฤติการณ์แสดงเจตนาของผู้เยาว์ผ่านบิดาถือเป็นหลักฐานได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 สั่งซื้อไม้จากโจทก์ไปทำตู้ เตียง ซึ่งจำเลยรับเหมามาจากกองทัพอากาศ จำเลยที่ 2 รับว่าสั่งไม้จากโจทก์แต่ผู้เดียว จำเลยที่ 1 ไม่เกี่ยว จำเลยที่ 2 รับเหมาเด็ดขาดไปจากจำเลยที่ 1
เมื่อได้ความว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของร้านไทยงามอาภรณ์ จำเลยที่ 1 เป็นผู้เยาว์บิดาจึงเป็นผู้ดำเนินกิจการ ประกอบกับพฤติการณ์ที่จำเลยที่2 ว่าจะไปเอาเงินที่ร้านไทยงามมาชำระโจทก์ให้โจทก์ทำบิลให้แล้ว วันต่อมาจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับบิดาจำเลยที่ 1 และเจ้าของร้านยูเนียนก็ได้พากันไปหาโจทก์ บิดาจำเลยที่ 1 เอาเงินให้ 2,000 บาทวางมัดจำค่าไม้ และบิดาจำเลยที่ 1 ยังบอกโจทก์ว่ามีร้ายไทยงามอาภรณ์และสั่งให้โจทก์ส่งไม้ให้เรื่อยๆ เงินก็จะชำระให้เรื่อยๆ ดังนี้เป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งซื้อไม้ของโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 2 และพฤติการณ์ที่โจทก์สืบดังกล่าวข้างต้นมิใช่พฤติการณ์ที่บิดาจำเลยที่ 1 ได้กระทำไปแต่ฝ่ายเดียว แต่เป็นพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ได้แสดงออกโดยชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 1 ได้ให้บิดาจัดการเรื่องนี้แทนตน พฤติการณ์ทั้งนี้จึงเป็นข้อความที่จะพึงแสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 สั่งซื้อไม้ของโจทก์โดยบิดาจำเลยที่ 1 เป็นผู้เกี่ยวข้องเอาธุระจัดการให้จำเลยที่ 1 จึงเป็นข้อความที่เกี่ยวกับประเด็นตามคำฟ้องของโจทก์ หาเป็นความที่นอกประเด็นอย่างไรไม่
เมื่อได้ความว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของร้านไทยงามอาภรณ์ จำเลยที่ 1 เป็นผู้เยาว์บิดาจึงเป็นผู้ดำเนินกิจการ ประกอบกับพฤติการณ์ที่จำเลยที่2 ว่าจะไปเอาเงินที่ร้านไทยงามมาชำระโจทก์ให้โจทก์ทำบิลให้แล้ว วันต่อมาจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับบิดาจำเลยที่ 1 และเจ้าของร้านยูเนียนก็ได้พากันไปหาโจทก์ บิดาจำเลยที่ 1 เอาเงินให้ 2,000 บาทวางมัดจำค่าไม้ และบิดาจำเลยที่ 1 ยังบอกโจทก์ว่ามีร้ายไทยงามอาภรณ์และสั่งให้โจทก์ส่งไม้ให้เรื่อยๆ เงินก็จะชำระให้เรื่อยๆ ดังนี้เป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งซื้อไม้ของโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 2 และพฤติการณ์ที่โจทก์สืบดังกล่าวข้างต้นมิใช่พฤติการณ์ที่บิดาจำเลยที่ 1 ได้กระทำไปแต่ฝ่ายเดียว แต่เป็นพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ได้แสดงออกโดยชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 1 ได้ให้บิดาจัดการเรื่องนี้แทนตน พฤติการณ์ทั้งนี้จึงเป็นข้อความที่จะพึงแสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 สั่งซื้อไม้ของโจทก์โดยบิดาจำเลยที่ 1 เป็นผู้เกี่ยวข้องเอาธุระจัดการให้จำเลยที่ 1 จึงเป็นข้อความที่เกี่ยวกับประเด็นตามคำฟ้องของโจทก์ หาเป็นความที่นอกประเด็นอย่างไรไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1267/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานยักยอกเงินราชการ และการวินิจฉัยหลักฐานการปลอมเอกสาร
เงินราชการที่เบิกมาเพื่อจ่ายแก่ผู้ใด แต่ยังไม่จ่ายนั้น ไม่ถือว่าเป็นเงินของผู้ที่จะได้รับเงิน ดั่งนั้น เจ้าพนักงานผู้ใดยักยอกเงินนั้น จึงมีผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานยักยอกเงินของทางราชการ ไม่ใช่ความผิดต่อส่วนตัว
การฟังว่าจำเลยปลอมเอกสารโดยไม่มีพยานมาแสดงให้ชัดว่าจำเลยปลอม เพียงแต่ศาลนำเอกสารที่กล่าวหามาเทียบเคียงกับเอกสารฉบับอื่นแล้วลงความเห็นว่าเหมือนกับลายมือของจำเลยนั้น ไม่ชอบด้วยการวินิจฉัยหลักฐานคำพยาน
การฟังว่าจำเลยปลอมเอกสารโดยไม่มีพยานมาแสดงให้ชัดว่าจำเลยปลอม เพียงแต่ศาลนำเอกสารที่กล่าวหามาเทียบเคียงกับเอกสารฉบับอื่นแล้วลงความเห็นว่าเหมือนกับลายมือของจำเลยนั้น ไม่ชอบด้วยการวินิจฉัยหลักฐานคำพยาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 787/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายเชื่อโดยอ้างอิงจากเอกสารรับยาและเงื่อนไขการรับคืน ทำให้ฟังได้ว่าเป็นการซื้อขาย ไม่ใช่ฝากขาย
ในเอกสาร 2 ฉบับเป็นใบรับยามีราคาแจ้งเป็นรายการไปจำเลยลงชื่อรับของไว้ในเอกสารดังกล่าว ราคาที่แจ้งนั้นต่อกว่าราคาตลาดมาก ทั้งในเอกสารมีบันทึกของจำเลยว่าโนวาซาน(ชื่อยา) ของที่ส่งมา ถ้าครบวันที่สิ้นอายุ แล้วไม่หมด ทางห้างต้องรับคืน
ดังนี้ฟังได้ว่าจำเลยซื้อเชื่อของจากโจทก์ มิใช่รับฝากยาจากโจทก์เอาไว้ขาย.
ดังนี้ฟังได้ว่าจำเลยซื้อเชื่อของจากโจทก์ มิใช่รับฝากยาจากโจทก์เอาไว้ขาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 514/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การละเมิดสิทธิเข้าครอบครอง และหลักฐานการเช่าที่มีผลผูกพันตามกฎหมาย
การที่โจทก์ทราบมติของคณะกรรมการควบคุมค่าเช่าฯ ให้จำเลยเข้าอยู่ได้แล้วกลับขัดขวางไม่ยอมออกไปดังนี้ย่อมเป็นการละเมิดสิทธิของจำเลยในอันที่จะเข้าอยู่ในห้องพิพาท
เมื่อในคำฟ้องซึ่งโจทก์ลงชื่อมีข้อความปรากฏชัดว่าได้มีการเช่าห้องรายนี้ทั้งระบุจำนวนเงินค่าเช่าระหว่างโจทก์ ผู้เช่า กับจำเลยจริงดังนี้ย่อมถือได้ว่าการเช่ารายนี้มีหลักฐานเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 แล้ว
บรรยายฟ้องในเรื่องเรียกค่าเสียหายเป็นใจความว่าโจทก์ไม่ยอมออกจากบ้านเช่าของจำเลย จำเลยเข้าอยู่ไม่ได้ย่อมเสียหาย เช่นนี้ถือได้ว่าฟ้องนั้นแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาแล้ว หาเคลือบคลุมไม่
เมื่อในคำฟ้องซึ่งโจทก์ลงชื่อมีข้อความปรากฏชัดว่าได้มีการเช่าห้องรายนี้ทั้งระบุจำนวนเงินค่าเช่าระหว่างโจทก์ ผู้เช่า กับจำเลยจริงดังนี้ย่อมถือได้ว่าการเช่ารายนี้มีหลักฐานเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 แล้ว
บรรยายฟ้องในเรื่องเรียกค่าเสียหายเป็นใจความว่าโจทก์ไม่ยอมออกจากบ้านเช่าของจำเลย จำเลยเข้าอยู่ไม่ได้ย่อมเสียหาย เช่นนี้ถือได้ว่าฟ้องนั้นแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาแล้ว หาเคลือบคลุมไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 366/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่การพิสูจน์โทษจำคุกก่อนกักกันผู้ร้าย - โจทก์ต้องแสดงหลักฐานโทษเดิม
การฟ้องขอให้ลงโทษกักกันจำเลยผู้มีสันดานเป็นผู้ร้ายตามพระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พ.ศ.2478 เพิ่มขึ้นอีกโสดหนึ่งนั้นอยู่ในดุลพินิจของศาล การที่โจทก์อ้างว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาแล้ว 2 ครั้งเช่นนี้ตามกระบวนพิจารณาย่อมตกเป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องสืบแสดงให้เห็นว่าโทษที่จำเลยถูกศาลพิพากษามาแล้วนั้นหนักเบาเพียงไร เพื่อศาลจะได้ใช้ดุลพินิจว่าสมควรจะลงโทษกักกันจำเลยหรือไม่ เมื่อโจทก์ไม่ได้สืบพยานหรือระบุอ้างคดีตามที่กล่าวในฟ้องเป็นพยานแต่อย่างใดแล้วศาลหามีหน้าที่จะไปตรวจเอาเองจากสำนวนในศาลไม่ดังนี้จึงยังลงโทษฐานกักกันจำเลยไม่ได้