พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,077 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3203/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และการพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตในพื้นที่ห่างไกล
จำเลย คว้า เอา อาวุธ ปืนแก๊ป ยาว ที่ ผู้ตาย พิง ไว้ ที่ ต้น ไม้ มา ยิง ผู้ตาย ใน ทันที ทันใด โดย ไม่มี เหตุ ป้องกัน ตน การกระทำ ของ จำเลย จึง เป็น ความผิด ฐาน ฆ่า ผู้อื่น โดย เจตนา ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ที่เกิดเหตุ อยู่ ใน เขต ป่าสงวนแห่งชาติ หลัง เกิดเหตุ จำเลย พา อาวุธปืน เดิน ไป ตาม ป่า ใน เขต ป่าสงวนแห่งชาติ ไม่ปรากฏ ว่า เป็น ทาง ที่ ประชาชน ใช้ ใน การจราจร ไม่มี หมู่บ้าน เพราะ เดิน อ้อม ภูเขา จึง ไม่อาจ ถือได้ว่า จำเลย พา อาวุธปืน ไป ใน หมู่บ้าน หรือ ทางสาธารณะ โดย ไม่ได้ รับ อนุญาต การกระทำ ของ จำเลย ไม่เป็น ความผิด ตาม พระราชบัญญัติ อาวุธปืน ฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3203/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและการพกพาอาวุธปืนในพื้นที่ป่าสงวน
จำเลยคว้าเอาอาวุธปืนแก๊ปยาวที่ผู้ตายพิงไว้ที่ต้นไม้มายิงผู้ตายในทันทีทันใดโดยไม่มีเหตุป้องกันตน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตาม ป.อ.มาตรา 288
ที่เกิดเหตุอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ หลังเกิดเหตุจำเลยพาอาวุธปืนเดินไปตามป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ไม่ปรากฏว่าเป็นทางที่ประชาชนใช้ในการจราจร ไม่มีหมู่บ้าน เพราะเดินอ้อมภูเขา จึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยพาอาวุธปืนไปในหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. อาวุธปืน ฯ พ.ศ.2490 มาตรา 8 ทวิวรรคหนึ่ง
ที่เกิดเหตุอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ หลังเกิดเหตุจำเลยพาอาวุธปืนเดินไปตามป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ไม่ปรากฏว่าเป็นทางที่ประชาชนใช้ในการจราจร ไม่มีหมู่บ้าน เพราะเดินอ้อมภูเขา จึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยพาอาวุธปืนไปในหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. อาวุธปืน ฯ พ.ศ.2490 มาตรา 8 ทวิวรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3199/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารปลอม กรณีลงชื่อแทนเจ้าพนักงานและใช้แผ่นป้ายทะเบียนปลอม
นอกจากจำเลยได้กรอกข้อความลงในใบคู่มือการจดทะเบียนรถยนต์โดยลงชื่อของจำเลยในช่องลงชื่อของเจ้าของรถแล้ว จำเลยยังลงชื่อบุคคลอื่นในช่องลงชื่อผู้บันทึกและนายทะเบียนด้วย แสดงให้เห็นว่าจำเลยทราบอยู่แล้วว่าผู้บันทึกและนายทะเบียนซึ่งเป็นเจ้าพนักงานเป็นผู้มีอำนาจกระทำเอกสารดังกล่าว หาใช่จำเลยไม่ จำเลยจึงมีเจตนาทำปลอมใบคู่มือการจดทะเบียนอันเป็นเอกสารราชการ เมื่อจำเลยเป็นผู้ทำปลอมใบคู่มือการจดทะเบียนรถยนต์ย่อมแสดงว่าจำเลยมีเจตนาทำปลอมแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ 2 แผ่นเพราะจำเลยได้นำไปใช้ติดกับรถยนต์ของกลางเพื่อให้ตรงกับหมายเลขทะเบียนในใบคู่มือการจดทะเบียนรถยนต์ การที่จำเลยเป็นผู้ทำปลอมใบคู่มือการจดทะเบียนรถยนต์และแผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีรถยนต์ และว่าจ้างให้ผู้อื่นทำปลอมแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ 2 แผ่น แล้วนำเอกสารทั้งหมดไปใช้กับรถยนต์ของกลาง ย่อมฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาใช้เอกสารปลอมดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3183/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกระทำความผิดทำร้ายร่างกาย: การแบ่งหน้าที่ชัดเจนบ่งชี้เจตนา
การที่จำเลยเดินเข้าไปในที่เกิดเหตุพร้อมกับ ก. และ ฉ.ซึ่งเคยมีเรื่องชกต่อยกับผู้เสียหายเมื่อ 2 วันก่อน ซึ่งจำเลยรู้เรื่องดีอยู่แล้ว ก. ชกต่อยผู้เสียหายและจับตัวผู้เสียหายให้ฉ. ใช้มีดฟันผู้เสียหายที่ศีรษะ จนได้รับอันตรายสาหัส ส่วนจำเลยเข้าไปยืนชิดตัว ช.เพื่อนผู้เสียหายไม่เปิดโอกาสให้ช.เข้าช่วยเหลือผู้เสียหาย หลังเกิดเหตุแล้ว ก. ฉ. และจำเลยเดินกลับไปด้วยกัน เช่นนี้แสดงให้เห็นว่า จำเลยร่วมกระทำความผิดกับ ก. และ ฉ. โดยแบ่งแยกหน้าที่กันทำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3127/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระจำยอมเกิดจากการใช้ทางโดยสงบ เปิดเผย และเจตนาถือว่าเป็นภาระจำยอม แม้เริ่มต้นจากการยินยอม
แม้โจทก์บรรยายฟ้องว่าผู้มีชื่อซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินเดิมและจำเลยได้ยินยอมให้โจทก์และบริวารใช้ถนนพิพาท แต่โจทก์ก็บรรยายฟ้องต่อมาว่าโจทก์ใช้ถนนพิพาทโดยความสงบโดยเปิดเผย และด้วยถือว่าเป็นถนนซึ่งเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ติดต่อมาเป็นเวลากว่า 20 ปีโดยผู้มีชื่อและจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินก็มิได้หวงห้ามหรือสงวนสิทธิบนถนนแต่ประการใด ถนนดังกล่าวตลอดทั้งสายจึงตกเป็นภาระจำยอมตามกฎหมายแก่ที่ดินของโจทก์ คำว่ายินยอมตามคำฟ้องของโจทก์จึงมีความหมายว่า เจ้าของที่ดินเดิมและจำเลยรู้ว่าโจทก์ใช้ถนนพิพาทแล้วมิได้หวงห้ามหรือสงวนสิทธิบนถนนพิพาทนั้นเองมิได้มีความหมายว่า โจทก์ขออนุญาตเจ้าของที่ดินเดิมและจำเลยใช้ถนนพิพาทแต่อย่างใด เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ใช้ถนนพิพาทโดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาให้เป็นภาระจำยอมเกินกว่า 10 ปี โดยมิได้ขออนุญาตใช้ถนนพิพาทจากเจ้าของที่ดินเดิมและจำเลยถนนพิพาทจึงตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3092/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละมรดกที่ดินพร้อมบ้าน: เจตนาสละรวมถึงส่วนควบ แม้ไม่ได้ระบุในเอกสาร
ขณะทำบันทึกการสละมรดกนั้นมรดกมีแต่ที่ดินกับบ้านพิพาทซึ่งเป็นส่วนควบของที่ดินเท่านั้น ฉะนั้นแม้บันทึกการสละมรดกจะไม่มีข้อความระบุถึงบ้านพิพาทก็ต้องถือว่าบรรดาทายาทผู้ให้ถ้อยคำทุกคนมีเจตนาสละบ้านซึ่งเป็นส่วนควบของที่ดินด้วย การสละมรดกจึงมีผลใช้บังคับได้มิใช่เป็นการสละมรดกเพียงบางส่วน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2990/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฆ่าโดยเจตนาไม่ใช่เหตุบันดาลโทสะ กรณีสามีภริยาทะเลาะกัน
จำเลยอ้อนวอนขอให้ผู้ตายกลับมาอยู่กับจำเลยเพื่อช่วยเลี้ยงดูบุตรจำเลยไม่ยอมให้กลับขอให้พูดกันให้รู้เรื่อง ผู้ตายไม่ยอมทั้งได้พูดว่าเบื่อขี้หน้าและถ่มน้ำลายรดหน้าจำเลยกับด่าว่าต่าง ๆ นา ๆจำเลยโมโหจึงวิ่งไปหยิบขวานที่วางอยู่ใกล้ ๆ ผู้ตายพูดท้าให้ฟันจำเลยจึงฟันผู้ตาย เป็นเรื่องสามีภริยามีปากเสียงทะเลาะกันตามปกติส่วนที่ผู้ตายด่าว่าจำเลยต่าง ๆ นา ๆ นั้นก็ไม่ได้ความว่าผู้ตายด่าว่าจำเลยด้วยถ้อยคำอย่างไร ดังนี้ จะถือว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมหาได้ไม่ การที่จำเลยใช้ขวานเป็นอาวุธฟันผู้ตายถึงแก่ความตายจึงมิใช่เพราะเหตุบันดาลโทสะ แต่เป็นเพราะจำเลยโกรธเคืองผู้ตายที่ไม่ยอมกลับไปอยู่ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2945/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวการร่วมฆ่า: การกระทำร่วมกันก่อนเกิดเหตุแสดงเจตนาในการร่วมกันกระทำผิด
การที่จำเลยที่ 1 เดินตามจำเลยที่ 2 ไปที่โต๊ะของโจทก์ร่วมที่ 2 โดยต่างมีมีดติดตัวไปด้วย และจำเลยที่ 2 ใช้มีดปักลงที่โต๊ะโจทก์ร่วมที่ 2 เช่นนั้น เป็นการที่จำเลยทั้งสองร่วมกันก่อเหตุทะเลาะวิวาทขึ้นก่อน แล้วจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้มีดแทงทำร้ายโจทก์ร่วมที่ 2 เมื่อผู้ตายลุกขึ้นช่วยโจทก์ร่วมที่ 2 ในขณะที่โจทก์ร่วมที่ 2 กับจำเลยทั้งสองชุลมุนแย่งมีดกัน จำเลยที่ 2 ใช้มีดแทงผู้ตายไปทันทีนั้น แล้วจำเลยทั้งสองวิ่งหลบหนีไปด้วยกันเช่นนี้ ย่อมเล็งเห็นเจตนาของจำเลยที่ 1 ได้ว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำผิดมาตั้งแต่แรก ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 2 ในการที่จำเลยที่ 2 แทงผู้ตายถึงแก่ความตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2867/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปลอมเอกสารราชการ: การพิจารณาความผิดหลายกรรมต่อเนื่อง
จำเลยปลอมบัตรนำนักทัศนาจรชาวต่างประเทศเข้าชมพระราชฐานขอสำนักพระราชวังจำนวน 4 ฉบับ ให้แก่ผู้มีชื่อในบัตร แม้บัตรแต่ละฉบับที่จำเลยทำปลอมขึ้นเป็นการออกให้ต่างบุคคลกัน และวันออกบัตรกับวันบัตรหมดอายุแตกต่างทั้ง 4 ฉบับ แต่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยและยึดเอกสารต่าง ๆ ได้ในคราวเดียวกัน โดยโจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่าจำเลยได้ปลอมบัตรทั้ง 4 ฉบับต่างวันต่างเวลาและโดยมีเจตนาที่จะให้เกิดผลต่างกรรมกัน จึงต้องฟังว่าจำเลยกระทำเพียงกรรมเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2767/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันเกินสมควรแก่เหตุและการริบอาวุธปืนที่ใช้ในการกระทำความผิด
จำเลยถูก ว.ทำร้ายก่อนด้วยการกระชากคอเสื้อทุบหรือชกต่อยท้ายทอยและจับศีรษะโขกกับกระดานหมากรุกจนหน้าผากของจำเลยมีโลหิตไหลโดยมีจำเลยไม่ทันระวังตัวถึงกับจำเลยต้องวิ่งหนีเข้าไปในร้านตัดผมข้างที่เกิดเหตุแต่หนีไม่พ้น เพราะด้านหลังของร้านตัดผมไม่มีทางหนีจึงย้อนกลับออกมาทางหน้าร้านพบกับ ว.ตรงประตูทางเข้าร้าน ตัดผม ในขณะที่ ว.ใช้มีดล้วงกระเป๋ากางเกงด้านหลังไล่ตามจำเลยเข้าไป จำเลยเข้าใจว่า ว.จะล้วงเอาอาวุธปืนพกซึ่งปกติ ว.จะพกอยู่เป็นประจำออกมายิงจำเลย จำเลยจึงใช้อาวุธปืนพกของจำเลยยิง ว.ไปหลายนัด เพราะความกลัวเป็นเหตุให้กระสุนปืนของจำเลยถูก ว.ถึงแก่ความตายและพลาดไปถูก ภ.ถึงแก่ความตายแต่จำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงว. หลายนัด แสดงว่าจำเลยเจตนายิง ว.ให้ตายโดยไม่ยั้งมือ คือแทนที่จำเลยจะหยุดยิงเมื่อเห็นว่า ว. โดยกระสุนปืนที่จำเลยยิงล้มลงแล้วจำเลยกลับยิงต่อไปอีกหลายนัด ทำให้กระสุนปืนเหล่านั้น นอกจากจะถูก ว.หลายนัดจนถึงแก่ความตายแล้วยังพลาดไปถูก ภ.ซึ่งยืนดูการเล่นหมากรุก อยู่ถึงแก่ความตายด้วย ถือว่าเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ หรือเกินกว่ากรณีแห่งความจำเป็น หรือเกินกว่า กรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน จำเลยจึงมีความผิด ฐานฆ่าผู้ตายทั้งสองโดยเจตนาเพื่อป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ อาวุธปืนของกลางเป็นอาวุธปืนที่ทางราชการอนุญาตให้จำเลยมีและใช้ได้โดยชอบด้วยกฎหมาย แต่เมื่อจำเลยใช้อาวุธปืนนั้นยิงผู้ตายโดยเจตนาเพื่อป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยย่อมมีความผิดอาวุธปืนของกลางจึงเป็นทรัพย์สินที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิด ชอบที่ศาลจะสั่งริบเสียตามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)