คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เจ้าพนักงาน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,471 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1040/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องซ้ำในความผิดขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน กรณีจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเดิมที่เคยถูกลงโทษแล้ว
เจ้าพนักงานมีคำสั่งให้จำเลยออกไปจากที่สาธารณประโยชน์จำเลยขัดขืนจนถูกฟ้องศาลๆ ลงโทษไปแล้ว แต่จำเลยก็ยังคงไม่ยอมออกไปเจ้าพนักงานจะออกคำสั่งใหม่ให้จำเลยออกไปจากที่นั้นแล้วมาฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยอีกไม่ได้ เป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1029/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานและแก้ไขโทษรวมกระทง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตาม ก.ม.อาญา ม.250 ข้อ 3 ม.184 และ ม.120 รวม 3 กะทงเมื่อลดโทษตาม ม.59 แล้วคงรวมกะทงลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต ตาม ม.36
โจทก์จำเลยไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ตาม ป.วิ.อ.ม.245 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าจำเลยผิดตาม ม.250 ข้อ 2 ไม่ใช่ข้อ 3 และที่ว่ารวมกะทงลงโทษตาม ม.36 ก็ไม่ถูกต้องเป็น ม.71 จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นตามบทมาตราดังกล่าวนอกจากที่แก้คงยืนดังนี้ จำเลยฎีกาขอให้ลดหย่อนผ่อนโทษได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1014/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานยักยอกเงินค่าปรับ: การกระทำเข้าข่ายความผิดฐานยักยอกทรัพย์ของทางราชการ
การที่จำเลยรับราชการเป็นพลตำรวจเป็นเจ้าหน้าที่รับเงินและปกครองดูแลรักษาเงินค่าเปรียบเทียบปรับอันเป็นเงินของทางราชการตำรวจที่ได้รับไว้ เมื่อนำส่งให้ไม่ครบจำนวนที่รับไว้ก็ย่อมได้ชื่อว่ากระทำการทุจริตในหน้าที่ยักยอกเงินรายนี้เป็นอาณาประโยชน์ของตนเสียเอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 956/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ และการลดโทษตาม ม.37
การที่จำเลยที่ 3 พาพวกมีอาวุธกลับมาและขึ้นไปบนเรือนพร้อมกับจำเลยที่ 1 ๆ ถือปืนยาวแล้วหยิบปืนลูกซองอีกกระบอกให้จำเลยที่ 3 ๆ บรรจุกระสุนเล็งมาทางเจ้าพนักงานสรรพสามิต ๆ หลบเข้าใต้ถุนและไปห่างราว 10 วาก็มีเสียงปืนลั่นมาจากทางบ้าน จำเลยที่ 1 ติด ๆ กัน 2 นัด เมื่อลั่นนัดแรกเจ้าพนักงานผู้นั้นหันไปเห็นจำเลยที่ 1 ประทับปืนอยู่ พฤติการณ์ดังนี้ย่อมถือว่า่จำเลยที่ 3 เป็นพรรคพวกของจำเลยที่ 1 และร่วมสบคบให้อาวุธปืนยิงเจ้าพนักงาน ๆ ด้วย
นายตรวจสรรพสามิตทำการตรวจค้นบ้านจำเลยในข้อหาว่ามีสุราผิด ก.ม. ตามหมายค้นของผู้ว่าราชการจังหวัด ถือได้ว่าเป็นเจ้าพนักงานกระทำการตามหน้าที่เมื่อจำเลยใช้อาวุธปืนยิงโดยเจตนาจะฆ่าหากแต่กระสุนไม่ถูกที่หมาย ดังนี้จำเลยย่อมมีผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน เพราะการที่กระทำการตามหน้าที่ตาม ม.250(2),60
ความผิดฐานฆ่าคนโดยเจตนาตาม ม. 250 (2) เป็นอุกฤษโทษ ก.ม.บัญญัติให้ประหารชีวิตแต่สถานเดียว เมื่อจะลงโทษจำเลยเพียง 2 ใน 3 ส่วน ตาม ม.60 ต้องถือเกณฑ์ส่วนลดตาม ม. 37(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 956/2498

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ และการสมคบใช้กำลังประทุษร้าย
การที่จำเลยที่ 3 พาพวกมีอาวุธกลับมาและขึ้นไปบนเรือนพร้อมกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ถือปืนยาวแล้วหยิบปืนลูกซองอีกกระบอกส่งให้จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3บรรจุกระสุนเล็งมาทางเจ้าพนักงานสรรพสามิต เจ้าพนักงานสรรพสามิต หลบเข้าใต้ถุนและไปห่างราว 10 วาก็มีเสียงปืนลั่นมาจากทางบ้านจำเลยที่ 1 ติด ติด กัน 2 นัดเมื่อลั่นนัดแรกเจ้าพนักงานผู้นั้นหันไปเห็นจำเลยที่ 1 ประทับปืนอยู่ พฤติการณ์ดังนี้ย่อมถือว่าจำเลยที่ 3เป็นพรรคพวกของจำเลยที่ 1 และร่วมสมคบใช้อาวุธปืนยิงเจ้าพนักงานฯ ด้วย
นายตรวจสรรพสามิตทำการตรวจค้นบ้านจำเลยในข้อหาว่ามีสุราผิดกฎหมายตามหมายค้นของผู้ว่าราชการจังหวัดถือได้ว่าเป็นเจ้าพนักงานกระทำการตามหน้าที่ เมื่อจำเลยใช้อาวุธปืนยิงโดยเจตนาจะฆ่าหากแต่กระสุนไม่ถูกที่หมาย ดังนี้จำเลยย่อมมีผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานเพราะการกระทำการตามหน้าที่ตาม มาตรา 25037,60
ความผิดฐานฆ่าคนโดยเจตนาตาม มาตรา 250(2) เป็นอุกฤษฎ์โทษกฎหมายบัญญัติให้ประหารชีวิตแต่สถานเดียว เมื่อจะลงโทษจำเลยเพียง2 ใน 3 ส่วน ตาม มาตรา 60 ต้องถือเกณฑ์ส่วนลดตาม มาตรา 37(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 912/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานปกครองปล่อยผู้ต้องหา เลี่ยงการดำเนินคดีอาญา เปลี่ยนเป็นคดีแพ่ง มีความผิดตาม ม.142
ม.28 แห่ง พ.ร.บ. ปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 บัญญัติให้ผู้ใหญ่บ้านท้องที่มีอำนาจและหน้าที่การงานในเขตท้องที่ของตน และ พ.ร.บ.ปกครองท้องที่ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2486 ม.6 เพิ่มหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้านเข้าไว้อีกตาม ข้อ 18 ว่า " ผู้ใหญ่บ้านมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งของกำนันหรือทางราชการฯ" ประกอบกับคำปลัดอำเภอพยานโจทก์ว่า ผู้ใหญ่บ้านทุกคนมีหน้าที่สืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดในท้องที่ของตนและต้องรายงานให้อำเภอทราบ
จำเลยเป็นผู้ใหญ่บ้านจึงเป็นเจ้าพนักงานท้องที่ตาม ก.ม.เมื่อพาผู้ต้องหาในคดีลักและฆ่ากระบือไปส่งอำเภอ ระหว่างทางจำเลยจัดการให้ผู้เสียหายกับผู้ต้องหาเลิกคดีกันโดยผู้ต้องหายอมใช้ราคาค่าเสียหาย จำเลยปล่อยผู้ต้องหาโดยจัดหาสัญญาประนีประนอมให้เลิกคดีกัน ปิดข้อเท็จจริงเรื่องลักทรัพย์และฆ่ากระบือเป็นเรื่องทำให้เสียทรัพย์โดยไม่เจตนา คือปิดข้อเท็จจริงซึ่งเป็นความผิดทางอาญาแผ่นดินที่ไม่มีทางเลิกกันได้ให้เป็นความผิดส่วนตัวที่เลิกกันได้ตามกฎหมาย เช่นนี้จำเลยได้ชื่อว่ากระทำการอันไม่ควรกระทำและมีเจตนาช่วยเหลือผู้กระทำผิดไม่ให้ต้องรับโทษ การกระทำของจำเลยจึงเป็นผิดตาม ก.ม. อาญา ม. 142

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 912/2498

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานช่วยเหลือผู้กระทำผิด เลี่ยงโทษอาญาแผ่นดินเป็นคดีส่วนตัว
มาตรา 28 แห่ง พระราชบัญญัติปกครองท้องที่ พ.ศ.2457บัญญัติให้ผู้ใหญ่บ้านท้องที่มีอำนาจและหน้าที่การงานในเขตท้องที่ของตนและ พระราชบัญญัติปกครองท้องที่ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2486 มาตรา 6 เพิ่มหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้านเข้าไว้อีกตามข้อ 18 ว่า'ผู้ใหญ่บ้านมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งของกำนันหรือทางราชการฯ'ประกอบกับคำปลัดอำเภอพยานโจทก์ว่าผู้ใหญ่บ้านทุกคนมีหน้าที่สืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดในท้องที่ของตนและต้องรายงานให้อำเภอทราบ
จำเลยเป็นผู้ใหญ่บ้านจึงเป็นเจ้าพนักงานท้องที่ตาม กฎหมายเมื่อพาผู้ต้องหาในคดีลักและฆ่ากระบือไปส่งอำเภอระหว่างทางจำเลยจัดการให้ผู้เสียหายกับผู้ต้องหาเลิกคดีกันโดยผู้ต้องหายอมใช้ราคาค่าเสียหายจำเลยปล่อยผู้ต้องหาโดยจัดทำสัญญาประนีประนอมให้เลิกคดีกันปิดข้อเท็จจริงเรื่องลักทรัพย์และฆ่ากระบือเป็นเรื่องทำให้เสียทรัพย์โดยไม่เจตนา คือปิดข้อเท็จจริงซึ่งเป็นความผิดทางอาญาแผ่นดินไม่มีทางเลิกกันได้ให้เป็นความผิดส่วนตัวที่เลิกกันได้ตามกฎหมายเช่นนี้จำเลยได้ชื่อว่ากระทำการอันไม่ควรกระทำและมีเจตนาช่วยเหลือผู้กระทำผิดไม่ให้ต้องรับโทษการกระทำของจำเลยจึงเป็นผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 142

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 81/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานกรรโชก: การอ้างตัวเป็นเจ้าพนักงานขู่เข็ญเอาทรัพย์สิน ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 303
ในเรื่องความผิดฐานกรรโชก โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยไม่ใช่ตำรวจแต่อ้างว่าเป็นตำรวจใช้วาจาขู่เข็ญว่าไม่ให้เงินจะมีเรื่องเป็นการขู่เข็ญขืนใจให้มีความกลัวตาม ม. 303 ดังนี้เป็นฟ้องที่ สมบูรณ์
ข้อเท็จจริงที่ได้ความว่าจำเลยไม่ใช่ตำรวจแต่อ้างว่าเป็นตำรวจขู่เข็ญผู้เสียหายให้+ส่งเงินให้ถ้าไม่ให้จะมีเรื่อง และผู้เสียหายได้+ส่งเงินให้โดยจำเลยไม่มีอำนาจทำได้ตาม ก.ม.ดังนี้เป็นข้อเท็จจริงที่เข้าเกณฑ์ความผิดฐานกรรโชก
แม้โจทก์จะแถลงว่าติดใจสืบพยานเพียงเท่านี้ เมื่อจำเลยอ้างตัวเองเบิกความเป็นพยาน โจทก์ก็ชอบที่จำนำคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่โจทก์ไม่ติดใจสืบยื่นเป็นพยานต่อศาลเพื่อพิสูจน์คำให้การของจำเลยได้ เมื่อศาลเห็นว่ามีมูลก็มีอำนาจรับไว้วินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 81/2498

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานกรรโชก: การข่มขู่โดยอ้างเป็นเจ้าพนักงานและเรียกรับเงิน
ในเรื่องความผิดฐานกรรโชก โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยไม่ใช่ตำรวจแต่อ้างว่าเป็นตำรวจใช้วาจาขู่เข็ญว่าไม่รับสัญญาให้เงินจะมีเรื่องเป็นการขู่เข็ญขืนใจให้มีความกลัวตาม มาตรา 303 ดังนี้เป็นฟ้องที่สมบูรณ์
ข้อเท็จจริงที่ได้ความว่าจำเลยไม่ใช่ตำรวจแต่อ้างว่าเป็นตำรวจขู่เข็ญผู้เสียหายให้รับสัญญาจะส่งเงินให้ถ้าไม่ให้จะมีเรื่อง และผู้เสียหายได้สัญญาว่าจะส่งเงินให้โดยจำเลยไม่มีอำนาจทำได้ตาม กฎหมาย ดังนี้เป็นข้อเท็จจริงที่เข้าเกณฑ์ความผิดฐานกรรโชก
แม้โจทก์จะแถลงว่าติดใจสืบพยานเพียงเท่านี้ เมื่อจำเลยอ้างตัวเองเบิกความเป็นพยาน โจทก์ก็ชอบที่จะนำคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่โจทก์ไม่ติดใจสืบยื่นเป็นพยานต่อศาลเพื่อพิสูจน์คำให้การของจำเลยได้เมื่อศาลเห็นว่ามีมูลก็มีอำนาจรับไว้วินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 758/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหมิ่นประมาทเจ้าพนักงานด้วยคำพูดดูถูกเหยียดหยามถึงตำแหน่งราชการ ถือเป็นความผิดตาม ม.116
การที่จำเลยกล่าวหมิ่นประมาทผู้พิพากษาว่า" อ้ายผู้พิพากษานี่ปรับกูหมื่นห้าได้กูจะต้องเตะมึง" ดังนี้เป็นการดูถูกเหยียดหยามพากพิงถึงตำแหน่งราชการทำให้ผู้พิพากษานั้นได้รับความอับอายเสียหาย จึงมีผิดฐานหมิ่นประมาทเจ้าพนักงานเพราะเหตุได้กระทำการตามหน้าที่ ตาม ม.116
of 148