พบผลลัพธ์ทั้งหมด 6,814 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2927/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ฟ้องซ้ำสิทธิระงับ คดีก่อนมีคำพิพากษาแล้ว
โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับเวลาเกิดเหตุในคดีอาญาคดีก่อนว่า ระหว่างวันที่ 18พฤศจิกายน 2536 ถึงวันที่ 2 ธันวาคม 2536 มีคนร้ายลักเอาเช็คของผู้เสียหายไป ต่อมาวันที่ 2 ธันวาคม 2536 จำเลยนำเช็คของผู้เสียหายที่ถูกลักไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารโดยตามวันเวลาดังกล่าวจำเลยเป็นคนร้ายลักเช็คของผู้เสียหายซึ่งเป็นนายจ้าง หรือมิฉะนั้นตามวันเวลาดังกล่าวถึงวันที่จำเลยนำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร จำเลยรับของโจรซึ่งเช็คของผู้เสียหายที่ถูกลักไปไว้จากคนร้าย และจำเลยช่วยซ่อนเร้นช่วยจำหน่าย และเอาไปเสียซึ่งเช็คในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายหรือประชาชน ส่วนคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2536 ถึงวันที่ 2 ธันวาคม 2536 จำเลยได้ปลอมเช็คและใช้เช็คฉบับดังกล่าวของผู้เสียหาย ยื่นเรียกเก็บเงินต่อธนาคารเพื่อถอนเงินจากบัญชีของผู้เสียหาย เห็นได้ว่าวันเวลาเกิดเหตุในคดีก่อนและคดีนี้อยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน พฤติการณ์ของจำเลยในคดีก่อนและคดีนี้บ่งชี้ว่าจำเลยมีเจตนามุ่งประสงค์จะเบิกถอนเงินจากบัญชีของผู้เสียหายเป็นสำคัญการที่จำเลยผู้เป็นลูกจ้างรับของโจรและเอาไปเสียซึ่งเช็คของผู้เสียหายผู้เป็นนายจ้างอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคหนึ่ง,188 นั้น ก็เพื่อนำไปทำปลอม แล้วนำไปเบิกถอนเงินจากธนาคารในช่วงเวลาเดียวกันจึงเป็นเจตนาเดียวกันนั่นเอง ดังนั้น การกระทำของจำเลยในคดีก่อนและคดีนี้จึงเป็นความผิดกรรมเดียว การที่โจทก์แยกฟ้องจำเลยเป็น 2 คดี เมื่อจำเลยถูกฟ้องและศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดลงโทษจำเลยในคดีอาญาก่อนแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดกรรมเดียวกันเป็นคดีนี้อีก เพราะสิทธินำคดีอาญามาฟ้องเป็นอันระงับไปแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2921/2540 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาออกเช็คที่ไม่มีเงินในบัญชีถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.เช็ค แม้แปลงหนี้เป็นสัญญากู้ยืม
จำเลยออกเช็คนำไปแลกเงินสดจากโจทก์ แม้การออกเช็คของจำเลยดังกล่าวจะมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534 มาตรา 4 ก็ตาม แต่การที่จำเลยออกเช็คแล้วนำไปแลกเงินสดจากโจทก์และเช็คดังกล่าวไม่มีการชำระเงินตามที่จำเลยสั่งจ่ายนั้น ย่อมเกิดเป็นหนี้ระหว่างจำเลยกับโจทก์ตามจำนวนเงินที่ระบุในเช็คนั้น ตาม ป.พ.พ.มาตรา 898, 900ในกรณีนี้หากจำเลยออกเช็คฉบับใหม่เพื่อชำระหนี้ตามเช็คที่จำเลยออกให้แก่โจทก์ดังกล่าว เช็คที่จำเลยออกในภายหลังนี้ย่อมถือว่าเป็นเช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 ได้
คดีนี้โจทก์และจำเลยได้แปลงหนี้เดิมซึ่งเป็นหนี้ตามเช็ค มาเป็นหนี้ตามสัญญากู้ยืม และจำเลยได้ออกเช็คพิพาทชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืม จึงต้องถือว่าจำเลยได้ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมอันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายตามความใน พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534มาตรา 4 แล้ว จำเลยจึงมีความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าวได้
จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืม และเมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนด โจทก์นำไปเรียกเก็บเงินปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยให้เหตุผลว่า "บัญชีปิดแล้ว" แสดงว่าจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ตามที่โจทก์ฟ้อง
คดีนี้โจทก์และจำเลยได้แปลงหนี้เดิมซึ่งเป็นหนี้ตามเช็ค มาเป็นหนี้ตามสัญญากู้ยืม และจำเลยได้ออกเช็คพิพาทชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืม จึงต้องถือว่าจำเลยได้ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมอันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายตามความใน พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534มาตรา 4 แล้ว จำเลยจึงมีความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าวได้
จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืม และเมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนด โจทก์นำไปเรียกเก็บเงินปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยให้เหตุผลว่า "บัญชีปิดแล้ว" แสดงว่าจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ตามที่โจทก์ฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2921/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การออกเช็คเพื่อชำระหนี้หลังแปลงหนี้เดิมเป็นสัญญากู้ยืม การปฏิเสธการจ่ายเงินถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.เช็ค
จำเลยออกเช็คนำไปแลกเงินสดจากโจทก์ แม้การออกเช็คของจำเลยดังกล่าวจะมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 ก็ตาม แต่การที่จำเลยออกเช็คแล้วนำไปแลกเงินสดจากโจทก์และเช็คดังกล่าวไม่มีการชำระเงินตามที่จำเลยสั่งจ่ายนั้นย่อมเกิดเป็นหนี้ระหว่างจำเลยกับโจทก์ตามจำนวนเงินที่ระบุในเช็คนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 898,900 ในกรณีนี้หากจำเลยออกเช็คฉบับใหม่เพื่อชำระหนี้ตามเช็คที่จำเลยออกให้แก่โจทก์ดังกล่าว เช็คที่จำเลยออกในภายหลังนี้ย่อมถือว่าเป็นเช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ได้ คดีนี้โจทก์และจำเลยได้แปลงหนี้เดิมซึ่งเป็นหนี้ตามเช็คมาเป็นหนี้ตามสัญญากู้ยืม และจำเลยได้ออกเช็คพิพาทชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืม จึงต้องถือว่าจำเลยได้ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมอันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายตามความในพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 4 แล้ว จำเลยจึงมีความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าวได้ จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืม และเมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนด โจทก์นำไปเรียกเก็บเงินปรากฎว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยให้เหตุผลว่า "บัญชีปิดแล้ว" แสดงว่าจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้ทีการใช้เงินตามเช็คนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 4 ตามที่โจทก์ฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2921/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่เกิดจากการแปลงหนี้เดิม แม้ไม่ใช่หนี้เดิมโดยตรง ก็ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. เช็คได้
แม้การที่จำเลยออกเช็คนำไปแลกเงินสดจากโจทก์จะมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายก็ตามแต่การที่จำเลยออกเช็คแล้วนำไปแลกเงินสดจากโจทก์และเช็คดังกล่าวไม่มีการชำระเงินตามที่จำเลยสั่งจ่ายนั้นย่อมเกิดเป็นหนี้ระหว่างจำเลยกับโจทก์ตามจำนวนเงินที่ระบุในเช็คนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา898,900ซึ่งในกรณีนี้หากจำเลยออกเช็คฉบับใหม่เพื่อชำระหนี้ตามเช็คที่จำเลยออกให้แก่โจทก์ดังกล่าวเช็คที่จำเลยออกในภายหลังนี้ย่อมถือว่าเป็นเช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากใช้เช็คฯมาตรา4ได้เมื่อปรากฎว่าต่อมาโจทก์และจำเลยได้แปลงหนี้เดิมซึ่งเป็นหนี้ตามเช็คมาเป็นหนี้ตามสัญญากู้ยืมและจำเลยได้ออกเช็คพิพาทชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมจึงต้องถือว่าจำเลยได้ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมอันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายเมื่อโจทก์นำไปเรียกเก็บเงินและธนาคารปฎิเสธการจ่ายเงินจึงถือว่าจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534มาตรา4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2921/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่แปลงจากหนี้เดิม แม้ไม่ใช่หนี้เดิมโดยตรง ก็ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.เช็คได้
จำเลยออกเช็คนำไปแลกเงินสดจากโจทก์แม้การออกเช็คของจำเลยดังกล่าวจะมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534มาตรา4ก็ตามแต่การที่จำเลยออกเช็คแล้วนำไปแลกเงินสดจากโจทก์และเช็คดังกล่าวไม่มีการชำระเงินตามที่จำเลยสั่งจ่ายนั้นย่อมเกิดเป็นหนี้ระหว่างจำเลยกับโจทก์ตามจำนวนเงินที่ระบุในเช็คนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา898,900ในกรณีนี้หากจำเลยออกเช็คฉบับใหม่เพื่อชำระหนี้ตามเช็คที่จำเลยออกให้แก่โจทก์ดังกล่าวเช็คที่จำเลยออกในภายหลังนี้ย่อมถือว่าเป็นเช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534มาตรา4ได้ คดีนี้โจทก์และจำเลยได้แปลงหนี้เดิมซึ่งเป็นหนี้ตามเช็คมาเป็นหนี้ตามสัญญากู้ยืมและจำเลยได้ออกเช็คพิพาทชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมจึงต้องถือว่าจำเลยได้ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมอันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายตามความในพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534มาตรา4แล้วจำเลยจึงมีความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าวได้ จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมและเมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนดโจทก์นำไปเรียกเก็บเงินปรากฎว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่า"บัญชีปิดแล้ว"แสดงว่าจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้ทีการใช้เงินตามเช็คนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534มาตรา4ตามที่โจทก์ฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2858/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี แม้ชั่วคราวและเด็กเต็มใจไปด้วย ก็เป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 317
องค์ประกอบความผิดตาม ป.อ.มาตรา 317 คือการพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล คำว่า "พราก"หมายความว่า พาไปหรือแยกเด็กออกจากความปกครองดูแล แม้จะชักชวนแนะนำเด็กให้ไปกับผู้กระทำโดยมิได้หลอกลวงและเด็กเต็มใจไปด้วย ก็เป็นความผิดตามมาตรานี้
จำเลยมีอาชีพรับจ้างโดยขับรถรับจ้างรับส่งผู้โดยสารทั่วไปได้รับส่งเด็กหญิงทั้งสาม พาไปเลี้ยงไอศกรีม พาไปเที่ยวแล้วจึงส่งกลับบ้านเป็นการชั่วคราวก็ตาม แต่เมื่อไปถึงบ้านของเด็กหญิง เด็กหญิงจะลงจากรถ จำเลยก็ชักชวนให้ไปกับจำเลยจนกระทั่งล่วงเลยเวลากลับบ้านตามปกติ รุ่งขึ้นก็ชักชวนเด็กหญิงดังกล่าวไปกับจำเลยอีกโดยสัญญาว่าจะพาไปเลี้ยงไอศกรีม ทั้งยังเล่าเรื่องร่วมเพศให้เด็กหญิงฟังและนัดหมายจะพาไปเรียนว่ายน้ำและสอนขับรถในวันต่อมา ซึ่งในวันดังกล่าวจำเลยได้พาเด็กหญิงไปกินไอศกรีม โดยจำเลยเป็นผู้จ่ายเงิน นอกจากนี้จำเลยยังให้เงินและเสี้ยมสอนให้เด็กหญิงทั้งสามโกหกบิดามารดาในการกลับบ้านผิดปกติและล่วงเลยเวลา เด็กหญิงทั้งสามอายุเพียง 10 ปี ยังอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของบิดามารดา การกระทำของจำเลยแม้จะพรากไปเพียงชั่วคราว แต่ก็มิได้รับความยินยอมจากบิดามารดา ทั้งไม่ปรากฏว่าการพาไปดังกล่าวเพราะเหตุสมควรประการใด จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยปราศจากเหตุอันสมควรการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 317 วรรคหนึ่ง แต่ยังไม่เป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 317 วรรคสาม เพราะลำพังการเล่าเรื่องลามกอนาจารยังไม่พอฟังว่าเป็นความผิดตามตัวบทกฎหมายดังกล่าว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 317 วรรคสามโดยไม่ได้ขอให้ลงโทษตามมาตรา 317 วรรคหนึ่ง แต่ความผิดตามที่โจทก์ฟ้องนั้นรวมการกระทำผิดตามมาตรา 317 วรรคหนึ่งด้วย เมื่อทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตาม ป.อ.มาตรา 317 วรรคหนึ่ง ศาลก็ปรับบทลงโทษตามความผิดที่พิจารณาได้ความได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคหก
จำเลยมีอาชีพรับจ้างโดยขับรถรับจ้างรับส่งผู้โดยสารทั่วไปได้รับส่งเด็กหญิงทั้งสาม พาไปเลี้ยงไอศกรีม พาไปเที่ยวแล้วจึงส่งกลับบ้านเป็นการชั่วคราวก็ตาม แต่เมื่อไปถึงบ้านของเด็กหญิง เด็กหญิงจะลงจากรถ จำเลยก็ชักชวนให้ไปกับจำเลยจนกระทั่งล่วงเลยเวลากลับบ้านตามปกติ รุ่งขึ้นก็ชักชวนเด็กหญิงดังกล่าวไปกับจำเลยอีกโดยสัญญาว่าจะพาไปเลี้ยงไอศกรีม ทั้งยังเล่าเรื่องร่วมเพศให้เด็กหญิงฟังและนัดหมายจะพาไปเรียนว่ายน้ำและสอนขับรถในวันต่อมา ซึ่งในวันดังกล่าวจำเลยได้พาเด็กหญิงไปกินไอศกรีม โดยจำเลยเป็นผู้จ่ายเงิน นอกจากนี้จำเลยยังให้เงินและเสี้ยมสอนให้เด็กหญิงทั้งสามโกหกบิดามารดาในการกลับบ้านผิดปกติและล่วงเลยเวลา เด็กหญิงทั้งสามอายุเพียง 10 ปี ยังอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของบิดามารดา การกระทำของจำเลยแม้จะพรากไปเพียงชั่วคราว แต่ก็มิได้รับความยินยอมจากบิดามารดา ทั้งไม่ปรากฏว่าการพาไปดังกล่าวเพราะเหตุสมควรประการใด จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยปราศจากเหตุอันสมควรการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 317 วรรคหนึ่ง แต่ยังไม่เป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 317 วรรคสาม เพราะลำพังการเล่าเรื่องลามกอนาจารยังไม่พอฟังว่าเป็นความผิดตามตัวบทกฎหมายดังกล่าว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 317 วรรคสามโดยไม่ได้ขอให้ลงโทษตามมาตรา 317 วรรคหนึ่ง แต่ความผิดตามที่โจทก์ฟ้องนั้นรวมการกระทำผิดตามมาตรา 317 วรรคหนึ่งด้วย เมื่อทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตาม ป.อ.มาตรา 317 วรรคหนึ่ง ศาลก็ปรับบทลงโทษตามความผิดที่พิจารณาได้ความได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคหก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2785/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาการครอบครองยาเสพติด - การพิสูจน์องค์ประกอบความผิด - ความผิดหลายกรรม
จำเลยครอบครองผงยาที่ใส่ซองบุหรี่นำมาจากที่เกิดเหตุโดยไม่ได้รับอนุญาต และยาจำนวนนี้เจ้าพนักงานผู้ตรวจพิสูจน์นำไปตรวจพิสูจน์รวมกับของกลางอีกจำนวนหนึ่ง แต่เมื่อแยกธาตุแล้วไม่สามารถทราบได้โดยแน่ชัดว่ามีสารบริสุทธิ์ของอีเฟดรีนซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 และมอร์ฟีนซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 อยู่เป็นจำนวนเท่าใด จึงต้องฟังว่าอีเฟดรีนและมอร์ฟีนที่จำเลยครอบครองนั้นไม่สามารถคำนวณปริมาณที่แน่นอนได้ แม้เจ้าพนักงานตำรวจค้นพบยา 3 เม็ด ซึ่งเป็นเมทแอมเฟตามีน และผงยาในซองบุหรี่ซึ่งมีอีเฟดรีนและมอร์ฟีนจากจำเลย แต่เมื่อจำเลยไม่ทราบว่าผงยาของกลางมีมอร์ฟีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 ผสมอยู่ด้วย ดังนี้ จะถือว่าจำเลยรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานมีมอร์ฟีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมายไม่ได้ เมื่อจำเลยขาดเจตนามีมอร์ฟีนดังกล่าวไว้ในครอบครองตาม ป.อ.มาตรา 59 วรรคสาม การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานมีมอร์ฟีนอันเป็นยาเสพติดในประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย คงฟังได้เพียงว่าจำเลยมีอีเฟดรีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมายเท่านั้น
จำเลยที่ 3 เพิ่งนำผงยาสีน้ำตาลซึ่งมีอีเฟดรีนรวมอยู่ด้วยบรรจุอยู่ในซองบุหรี่มาจากบริเวณบ่อเลี้ยงกุ้งที่เกิดเหตุ อันเป็นผงยาคนละจำนวนกับเมทแอมเฟตามีน 3 เม็ด ที่จำเลยมีไว้ในครอบครองอยู่แล้ว การกระทำของจำเลยที่มีอีเฟดรีนไว้ในครอบครองเป็นการกระทำที่มีเจตนาต่างกันกับที่จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง ความผิดดังกล่าวจึงเป็นความผิด 2 กรรมต่างกัน
จำเลยที่ 3 เพิ่งนำผงยาสีน้ำตาลซึ่งมีอีเฟดรีนรวมอยู่ด้วยบรรจุอยู่ในซองบุหรี่มาจากบริเวณบ่อเลี้ยงกุ้งที่เกิดเหตุ อันเป็นผงยาคนละจำนวนกับเมทแอมเฟตามีน 3 เม็ด ที่จำเลยมีไว้ในครอบครองอยู่แล้ว การกระทำของจำเลยที่มีอีเฟดรีนไว้ในครอบครองเป็นการกระทำที่มีเจตนาต่างกันกับที่จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง ความผิดดังกล่าวจึงเป็นความผิด 2 กรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2785/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองยาเสพติดและวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตฯ จำเลยขาดเจตนาในการมีมอร์ฟีน จึงไม่เป็นความผิดฐานครอบครองยาเสพติด
จำเลยครอบครองผงยาที่ใส่ซองบุหรี่นำมาจากที่เกิดเหตุโดยไม่ได้รับอนุญาต และยาจำนวนนี้เจ้าพนักงานผู้ตรวจพิสูจน์นำไปตรวจพิสูจน์รวมกับของกลางอีกจำนวนหนึ่ง แต่เมื่อแยกธาตุแล้วไม่สามารถทราบได้โดยแน่ชัดว่ามีสารบริสุทธิ์ของอีเฟดรีนซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 และมอร์ฟีนซึ่งเป็นยาเสพติดให้โจทก์ในประเภท 2 อยู่เป็นจำนวนเท่าใด จึงต้องฟังว่าอีเฟดรีนและมอร์ฟีนทีจำเลยครอบครองนั้นไม่สามารถคำนวณปริมาณที่แน่นอนได้ แม้เจ้าพนักงานตำรวจค้นพบยา 3 เม็ดซึ่งเป็นเมทแอมเฟตามีน และผงยาในซองบุหรี่ซึ่งมีอีเฟดรีนและมอร์ฟีนจากจำเลย แต่เมื่อจำเลยไม่ทราบว่าผงยาของกลางมีมอร์ฟีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 ผสมอยู่ด้วยดังนี้ จะถือว่าจำเลยรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานมีมอร์ฟีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 2ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมายไม่ได้ เมื่อจำเลยขาดเจตนามีมอร์ฟีนดังกล่าวไว้ในครอบครองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 59 วรรคสาม การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานมีมอร์ฟีนอันเป็นยาเสพติดในประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย คงฟังได้เพียงว่าจำเลยมีอีเฟดรีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมายเท่านั้น จำเลยที่ 3 เพิ่งนำผงยาสีน้ำตาลซึ่งมีอีเฟดรีนรวมอยู่ด้วยบรรจุอยู่ในซองบุหรี่มาจากบริเวณบ่อเลี้ยงที่เกิดเหตุ อันเป็นผงยาคนละจำนวนกับเมทแอมเฟตามีน 3 เม็ดที่จำเลยมีไว้ในครอบครองอยู่แล้ว การกระทำของจำเลยที่มีอีเฟดรีนไว้ในครอบครองเป็นการกระทำที่มีเจตนาต่างกันกับที่จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง ความผิดดังกล่าวจึงเป็นความผิด 2 กรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2753/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบิกความเท็จในคดีเช็ค: ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงกฎหมายเช็ค และความสำคัญของการชำระหนี้จริง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าโจทก์ออกเช็คพิพาทให้ ส.ยึดถือไว้แทนสัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์กู้ยืมเงินไปจาก ส.แต่จำเลยเบิกความเป็นพยานโจทก์คดีอาญาซึ่ง ส.ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในข้อหาความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 ว่า โจทก์ออกเช็คพิพาทแลกเงินสดไปจากจำเลยอันเป็นการออกเช็คพิพาทให้จำเลยเพื่อชำระหนี้ หากข้อเท็จจริงเป็นดังที่โจทก์ฟ้อง คำเบิกความของจำเลยย่อมเป็นความเท็จอันเป็นข้อสำคัญในคดีดังกล่าวจำเลยย่อมมีความผิดตามฟ้อง แต่เนื่องจากในขณะคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ปรากฏว่า พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 ซึ่งเป็นกฎหมายในคดีเดิมที่โจทก์นำมาเป็นมูลในการฟ้องคดีนี้ได้ถูกยกเลิกไปแล้วและมีกฎหมายฉบับใหม่ คือ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 ออกมาใช้บังคับแทน ซึ่งการออกเช็คที่จะเป็นความผิดนั้นต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ส่วนกรณีการออกเช็คพิพาทแล้วแลกเงินสดมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริง ไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 อีกต่อไป ดังนี้ คำเบิกความของจำเลยในคดีนั้นจึงไม่เป็นข้อสำคัญในคดีอันจะเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2753/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบิกความเท็จในคดีเช็ค: กฎหมายใหม่ทำให้คำเบิกความไม่เป็นความสำคัญ
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าโจทก์ทั้งสองออกเช็คพิพาทให้ ส. ยึดถือไว้แทนสัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์ที่1กู้ยืมเงินไปจาก ส. แต่จำเลยเบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีอาญาที่ ส. ฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นจำเลยในข้อหาความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 ว่าโจทก์ทั้งสองออกเช็คพิพาทแลกเงินสดไปจากจำเลยอันเป็นการออกเช็คพิพาทให้จำเลยเพื่อชำระหนี้ซึ่งหากข้อเท็จจริงเป็นดังที่โจทก์ทั้งสองฟ้อง คำเบิกความของจำเลยย่อมเป็นความเท็จอันเป็นข้อสำคัญในคดีดังกล่าว จำเลยย่อมมีความผิดฐานเบิกความเท็จ แต่เนื่องจากในขณะคดีนี้อยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 ซึ่งเป็นกฎหมายในคดีเดิมที่โจทก์ทั้งสองนำมาเป็นมูลในการฟ้องคดีนี้ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว มี พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดการใช้เช็ค พ.ศ.2534ออกมาใช้บังคับแทน ปรากฏว่ากฎหมายฉบับใหม่ที่ออกภายหลังการออกเช็คที่จะเป็นความผิดนั้นต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย แต่กรณีการออกเช็คพิพาทแล้วแลกเงินสดมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 ดังนี้คำเบิกความของจำเลยในคดีนั้นจึงไม่เป็นข้อสำคัญในคดีนี้อันจะเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จการกระทำของจำเลยไม่เป็นของผิดตามฟ้อง