พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,024 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5556/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาห้ามรับ เพราะจำเลยมิได้ยกประเด็นอายุความในชั้นอุทธรณ์ แม้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไปแล้ว
โจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นทายาทของ ท. ฟ้องขอแบ่งที่ดินพิพาทซึ่งเป็นมรดกจากจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดก จำเลยให้การต่อสู้ว่าท. ได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยก่อนตาย โจทก์ฟ้องคดีมรดกหลังจากทราบการตายของ ท. เกิน 10 ปี ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ท. ยกที่ดินพิพาทให้จำเลย ปัญหาเรื่องอายุความไม่จำต้องวินิจฉัย พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของ ท. จำเลยไม่ได้ยกปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์ขาดอายุความตั้งเป็นประเด็นไว้ในคำแก้อุทธรณ์ ถือว่าไม่มีประเด็นเรื่องอายุความในชั้นอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของ ท.พิพากษากลับให้จำเลยแบ่งที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสาม ปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น การที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ภาค 1ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5556/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากประเด็นอายุความไม่ได้ยกขึ้นว่ากันในชั้นอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยไม่วินิจฉัยปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เมื่อโจทก์อุทธรณ์จำเลยไม่ได้ยกปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์ขาดอายุความตั้งเป็นประเด็นไว้ในคำแก้อุทธรณ์ จึงถือว่าไม่มีประเด็นเรื่องอายุความในชั้นอุทธรณ์ ดังนั้น ปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง และไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5518/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในคดีทรัพย์สินพิพาท และประเด็นการนอกเหนือจากประเด็นข้อพิพาท
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้กู้ยืมเงินโจทก์ 17,000 บาทและจำเลยทั้งสองได้ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ด้วยที่ดินพิพาท โดยถือว่าได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การว่า ไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์และไม่เคยตกลงขายที่ดินให้โจทก์ คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์โดยจำเลยทั้งสองได้ขายให้แก่โจทก์หรือไม่ ซึ่งเป็นคดีที่โต้เถียงเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองให้การหรือนำสืบโต้แย้งราคาที่ดินพิพาท จึงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทมีราคา17,000 บาท และถือได้ว่าเป็นราคาทรัพย์สินที่พิพาทในคดีนี้ เมื่อราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท คดีจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคหนึ่ง อันเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์ยื่นฎีกา
เมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 กู้ยืมเงินและมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ยแล้ว ก็ชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยไม่จำต้องก้าวล่วงไปฟังข้อเท็จจริงว่าการตกลงชำระหนี้ด้วยที่ดินพิพาทเป็นข้อตกลงที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 656 วรรคสอง แห่ง ป.พ.พ. ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวมา จึงเป็นการนอกเหนือไปจากประเด็นข้อพิพาทตามคำฟ้องและคำให้การซึ่งไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ย่อมไม่ก่อให้เกิดสิทธิในการอุทธรณ์
โจทก์ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนไปจากหนังสือสัญญา โดยฟังว่าจำเลยที่ 2 เพียงแต่กู้ยืมเงินไปจากโจทก์และมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ย ฎีกาโจทก์ดังกล่าวเป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นมิใช่เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
เมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 กู้ยืมเงินและมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ยแล้ว ก็ชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยไม่จำต้องก้าวล่วงไปฟังข้อเท็จจริงว่าการตกลงชำระหนี้ด้วยที่ดินพิพาทเป็นข้อตกลงที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 656 วรรคสอง แห่ง ป.พ.พ. ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวมา จึงเป็นการนอกเหนือไปจากประเด็นข้อพิพาทตามคำฟ้องและคำให้การซึ่งไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ย่อมไม่ก่อให้เกิดสิทธิในการอุทธรณ์
โจทก์ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนไปจากหนังสือสัญญา โดยฟังว่าจำเลยที่ 2 เพียงแต่กู้ยืมเงินไปจากโจทก์และมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ย ฎีกาโจทก์ดังกล่าวเป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นมิใช่เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5497/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คดีที่มีทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท และการฎีกาเมื่อข้อเท็จจริงยุติแล้ว
โจทก์ทั้งสามฟ้อง ขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสามและเพิกถอนคำคัดค้านของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินหวงห้ามอยู่ในความดูแลของจำเลยขอให้ยกฟ้อง จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทของโจทก์แต่ละคนไม่เกินห้าหมื่นบาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่งโจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ว่าที่พิพาทเป็นที่ดินที่โจทก์ทั้งสามได้รับจัดสรรจากทางราชการซึ่งเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค 2 รับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ ถือว่าข้อเท็จจริงยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้วจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม มาตรา 249 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5494/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาคดีอาญาต่อบุคคลภายนอก และข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริง
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 และ ป.วิ.อ. มาตรา 46ประกอบด้วย มาตรา 15 คำพิพากษาในคดีอาญาจะผูกพันแต่คู่ความเท่านั้นเมื่อจำเลยที่ 2 หาได้เป็นคู่ความในคดีอาญา ข้อเท็จจริงในคดีอาญาที่วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทนั้น จึงไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก จำเลยที่ 2 จึงชอบที่จะยกข้อต่อสู้และนำสืบได้ว่า จำเลยที่ 1 มิได้เป็นฝ่ายประมาท และในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งนี้ ศาลก็ไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาของโจทก์สำหรับฟ้องเดิมของโจทก์ และฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 ต่างไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ฎีกาว่า เหตุรถชนกันเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 แต่ฝ่ายเดียวนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว
จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาของโจทก์สำหรับฟ้องเดิมของโจทก์ และฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 ต่างไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ฎีกาว่า เหตุรถชนกันเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 แต่ฝ่ายเดียวนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5494/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาคดีอาญาต่อคดีแพ่ง และข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริงตามทุนทรัพย์
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ มาตรา 46 ประกอบด้วย มาตรา 15คำพิพากษาในคดีอาญาจะผูกพันแต่คู่ความเท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 2หาได้เป็นคู่ความในคดีอาญา ข้อเท็จจริงในคดีอาญาที่วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทนั้น จึงไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก จำเลยที่ 2 จึงชอบที่จะยกข้อต่อสู้และนำสืบได้ว่า จำเลยที่ 1 มิได้เป็นฝ่ายประมาท และในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งนี้ ศาลก็ไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา จำเลยทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาของโจทก์สำหรับฟ้องเดิมของโจทก์ และฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 ต่างไม่เกิน 200,000 บาทต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ฎีกาว่า เหตุรถชนกันเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 แต่ฝ่ายเดียวนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5420/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในคดีมีทุนทรัพย์น้อยกว่า 200,000 บาท และประเด็นอายุความที่มิได้ยกขึ้นว่ากันในชั้นอุทธรณ์
คดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท จำเลยทั้งห้าฎีกาว่า สัญญากู้และสัญญาค้ำประกันตามฟ้องเป็นเอกสารปลอม พยานจำเลยมีน้ำหนักดีกว่าพยานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมเงินโจทก์ไปตามฟ้องโดยมี น.เป็นผู้ค้ำประกัน เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 24 วรรคหนึ่ง และที่จำเลยทั้งห้าฎีกาอีกว่าโจทก์ฟ้องคดีหลังจากที่ น.ถึงแก่กรรมเกินกว่า 1 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความปรากฏว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นยกฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยถึงปัญหาดังกล่าว เมื่อโจทก์อุทธรณ์จำเลยทั้งห้ามิได้ตั้งประเด็นข้อนี้ไว้ในคำแก้อุทธรณ์ ถือว่าไม่มีประเด็นเรื่องอายุความในชั้นอุทธรณ์ จึงเท่ากับเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามมาตรา24 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5360/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาเรื่องการช่วยเหลือผู้อื่นกระทำผิดฐานปลอมเอกสารราชการ และการสนับสนุนความผิดทางอาญา
ฎีกาจำเลยที่ 2 เพียงแต่หยิบยกพยานหลักฐานบางส่วนในสำนวนขึ้นเป็นข้อฎีกา แต่ในการรับฟังพยานหลักฐานลงโทษจำเลยที่ 2ศาลอุทธรณ์ได้ใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานต่าง ๆ ในสำนวนประกอบการรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วจึงวินิจฉัยความผิดของจำเลยที่ 2 และในการรับฟังข้อเท็จจริงของศาลอุทธรณ์ก็หาได้นอกเหนือหรือคลาดเคลื่อนไปจากพยานหลักฐานในสำนวนแต่อย่างใดไม่ จึงมิใช่กรณีที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218วรรคแรก
แม้จำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมลงมือกระทำความผิดปลอมเอกสารราชการกับจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับการรับแจ้งย้ายทะเบียนบ้านของ ก.ให้มีชื่อเข้าอยู่ในทะเบียนบ้าน และเพิ่มชื่อ ส.เข้าอยู่ในทะเบียนบ้าน พร้อมทั้งปลอมใบรับคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่ ก. และ ส. แต่การที่จำเลยที่ 2 ได้มอบซองเอกสารเกี่ยวกับการแจ้งย้ายภูมิลำเนาเท็จของผู้ที่อ้างชื่อ ก. และ ส. ให้จ่าสิบเอก อ. ไปมอบให้จำเลยที่ 1 เพื่อดำเนินการปลอมเอกสารราชการดังกล่าวย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 กระทำผิดแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานสนับสนุนให้จำเลยที่ 1กระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 157, 161, 165 ประกอบมาตรา 86
เอกสารที่จำเลยที่ 1 ทำปลอมขึ้นในการปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นเพียงสำเนาทะเบียนบ้านและใบรับคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนอันเป็นเอกสารราชการ มิใช่เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ
เมื่อการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดตามประมวล-กฎหมายอาญา มาตรา 265 แล้ว กรณีไม่จำต้องปรับบทด้วยประมวลกฎหมาย-อาญา มาตรา 264 อีก
แม้จำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมลงมือกระทำความผิดปลอมเอกสารราชการกับจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับการรับแจ้งย้ายทะเบียนบ้านของ ก.ให้มีชื่อเข้าอยู่ในทะเบียนบ้าน และเพิ่มชื่อ ส.เข้าอยู่ในทะเบียนบ้าน พร้อมทั้งปลอมใบรับคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่ ก. และ ส. แต่การที่จำเลยที่ 2 ได้มอบซองเอกสารเกี่ยวกับการแจ้งย้ายภูมิลำเนาเท็จของผู้ที่อ้างชื่อ ก. และ ส. ให้จ่าสิบเอก อ. ไปมอบให้จำเลยที่ 1 เพื่อดำเนินการปลอมเอกสารราชการดังกล่าวย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 กระทำผิดแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานสนับสนุนให้จำเลยที่ 1กระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 157, 161, 165 ประกอบมาตรา 86
เอกสารที่จำเลยที่ 1 ทำปลอมขึ้นในการปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นเพียงสำเนาทะเบียนบ้านและใบรับคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนอันเป็นเอกสารราชการ มิใช่เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ
เมื่อการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดตามประมวล-กฎหมายอาญา มาตรา 265 แล้ว กรณีไม่จำต้องปรับบทด้วยประมวลกฎหมาย-อาญา มาตรา 264 อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5360/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาจำกัดสิทธิการฎีกาในข้อเท็จจริงและดุลพินิจศาลอุทธรณ์ พร้อมแก้ไขโทษทางอาญา
ฎีกาจำเลยที่ 2 เพียงแต่หยิบยกพยานหลักฐานบางส่วนในสำนวนขึ้นเป็นข้อฎีกา แต่ในการรับฟังพยานหลักฐานลงโทษจำเลยที่ 2ศาลอุทธรณ์ได้ใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานต่าง ๆ ในสำนวนประกอบการรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วจึงวินิจฉัยความผิดของจำเลยที่ 2 และในการรับฟังข้อเท็จจริงของศาลอุทธรณ์ก็หาได้นอกเหนือหรือคลาดเคลื่อนไปจากพยานหลักฐานในสำนวนแต่อย่างใดไม่ จึงมิใช่กรณีที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก แม้จำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมลงมือกระทำความผิดปลอมเอกสารราชการกับจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับการรับแจ้งการย้ายทะเบียนบ้านของ ก.ให้มีชื่อเข้าอยู่ในทะเบียนบ้าน และเพิ่มชื่อ ส. เข้าอยู่ในทะเบียนบ้าน พร้อมทั้งปลอมใบรับคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่ก. และ ส. แต่การที่จำเลยที่ 2 ได้มอบซองเอกสารเกี่ยวกับการแจ้งย้ายภูมิลำเนาเท็จของผู้ที่อ้างชื่อ ก. และ ส. ให้จ่าสิบเอก อ. ไปมอบให้จำเลยที่ 1 เพื่อดำเนินการปลอมเอกสารราชการดังกล่าวย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 กระทำผิดแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานสนับสนุนให้จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157,161,165 ประกอบมาตรา 86 เอกสารที่จำเลยที่ 1 ทำปลอมขึ้นในการปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นเพียงสำเนาทะเบียนบ้านและใบรับคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนอันเป็นเอกสารราชการ มิใช่เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ เมื่อการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265 แล้ว กรณีไม่จำต้องปรับบทด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264 อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5323/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในคดีขับไล่ที่ดินพิพาท: การวินิจฉัยข้อเท็จจริงเรื่องสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดที่จำเลยทั้งสองบุกรุกเข้าไปปลูกในที่ดินพิพาทของโจทก์และเรียกค่าเสียหาย เป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์โดยไม่ปรากฏว่าขณะยื่นฟ้องอาจให้เช่าได้เกินเดือนละ 10,000 บาทจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังว่า ที่ดินพิพาทโจทก์มีสิทธิครอบครองโดยซื้อมาจาก ป.และ ค. เท่ากับศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยในข้อเท็จจริงว่าที่ดินพิพาทมิใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น จึงต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงเป็นฎีกาคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในปัญหาข้อเท็จจริงว่า ที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ เพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง