คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
อำนาจฟ้อง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,515 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1712/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องกรณีโต้แย้งสิทธิครอบครอง: การนำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดแต่ไม่สำเร็จ ไม่ถือเป็นการโต้แย้งสิทธิ
การที่จำเลยอ้างว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามน.ส.3ซึ่งเจ้าของและทายาทอื่นได้รับมรดกมาและนำเจ้าพนักงานที่ดินเข้ารังวัดเพื่อแบ่งแยกแต่ในวันที่จำเลยนำเจ้าพนักงานที่ดินเข้าทำการรังวัดเพื่อแบ่งแยกที่พิพาทนั้นเมื่อโจทก์เข้าห้ามปรามเจ้าพนักงานที่ดินก็ไม่ได้ทำการรังวัดต่อไปการกระทำของจำเลยยังถือไม่ได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิครอบครองที่พิพาทของโจทก์โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1607/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หมดอายุการฟ้องร้องคดีเช่าที่ดินเกษตรกรรม ทำให้ขาดอำนาจฟ้อง แม้จะทราบคำวินิจฉัยภายหลัง
หากโจทก์ไม่พอใจคำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัด โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัด แต่จะต้องไม่เกินหกสิบวันนับแต่วัน คชก.จังหวัดมีคำวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 มาตรา 57 วรรคหนึ่ง เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องเกินหกสิบวันนับแต่วันที่ คชก. จังหวัดมีคำวินิจฉัย คำวินิจฉัยของคชก. จังหวัดจึงเป็นที่สุดตามมาตรา 56 วรรคสอง แม้โจทก์จะฟ้องต่อศาลภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของคชก. จังหวัด โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1607/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีหลังพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ต่อศาลตามพ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ทำให้ไม่มีอำนาจฟ้อง
หากโจทก์ไม่พอใจคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดโจทก์มีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดแต่จะต้องไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันคชก.จังหวัดมีคำวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา57วรรคหนึ่งเมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องเกินหกสิบวันนับแต่วันที่คชก.จังหวัดมีคำวินิจฉัยคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดจึงเป็นที่สุดตามมาตรา56วรรคสองแม้โจทก์จะฟ้องต่อศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1450/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงจากการดำเนินกระบวนพิจารณา หากจำเลยไม่ปฏิเสธกรรมสิทธิ์ โจทก์มีอำนาจฟ้อง
การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่นั้นจะต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องไว้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดซึ่งมีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดดังกล่าวดังนั้นคดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแทนมารดาโจทก์หรือไม่ การที่ศาลล่างทั้งสองหยิบยกปัญหาข้อเท็จจริงขึ้นวินิจฉัยว่าโจทก์มีชื่อในโฉนดที่ดินพิพาทเป็นเพียงใส่ชื่อแทนมารดาโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง จึงเป็นการหยิบยกข้อเท็จจริงนอกประเด็นขึ้นวินิจฉัยเป็นปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142 ข้อนี้แม้โจทก์จะมิได้ฎีกาแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) และเมื่อศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทโดยพิจารณาพยานหลักฐานตามที่คู่ความนำสืบโต้แย้งกันก่อน กรณีมีเหตุสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและมีคำพิพากษาใหม่ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 ประกอบด้วยมาตรา 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1450/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้อง: ศาลล่างวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาท ย้อนสำนวนเพื่อพิจารณาพยานหลักฐาน
ตามคำให้การของจำเลยถือได้ว่าจำเลยยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์จริงคดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแทนมารดาโจทก์หรือไม่การที่ศาลล่างหยิบยกปัญหาข้อเท็จจริงขึ้นวินิจฉัยว่าโจทก์มีชื่อในโฉนดที่ดินพิพาทเพียงใส่ชื่อแทนมารดาโจทก์โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจึงเป็นการหยิบยกข้อเท็จจริงนอกประเด็นขึ้นวินิจฉัยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่นั้นจะต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบเมื่อเป็นข้อเท็จจริงนอกประเด็นย่อมหยิบยกขึ้นวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวไม่ได้ทั้งกรณีมิใช่เป็นการนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายข้อนี้แม้โจทก์มิได้ฎีกาแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1450/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงจากการดำเนินกระบวนพิจารณา การวินิจฉัยนอกประเด็นเป็นเหตุให้ต้องย้อนสำนวน
การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่นั้นจะต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบเมื่อโจทก์บรรยายฟ้องไว้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดซึ่งมีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดดังกล่าวดังนั้นคดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแทนมารดาโจทก์หรือไม่การที่ศาลล่างทั้งสองหยิบยกปัญหาข้อเท็จจริงขึ้นวินิจฉัยว่าโจทก์มีชื่อในโฉนดที่ดินพิพาทเป็นเพียงใส่ชื่อแทนมารดาโจทก์โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องจึงเป็นการหยิบยกข้อเท็จจริงนอกประเด็นขึ้นวินิจฉัยเป็นปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142ข้อนี้แม้โจทก์จะมิได้ฎีกาแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)และเมื่อศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทโดยพิจารณาพยานหลักฐานตามที่คู่ความนำสืบโต้แย้งกันก่อนกรณีมีเหตุสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและมีคำพิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา243ประกอบด้วยมาตรา247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1363/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของหุ้นส่วนจำกัดต้องเป็นไปตามข้อจำกัดในหนังสือรับรอง และสิทธิฟ้องต้องอ้างอิงกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง
ตามหนังสือรับรองมีข้อจำกัดอำนาจหุ้นส่วนผู้จัดการว่าในการทำนิติกรรมต่างๆและการสั่งจ่ายเงินในนมของห้างหุ้นส่วนจำกัดว. โจทก์ที่1ให้โจทก์ที่2ลงลายมือชื่อร่วมกับค. และประทับตราสำคัญของโจทก์ที่1ฉะนั้นในการตั้งทนายความซึ่งเป็นการทำนิติกรรมในนามของโจทก์ที่1อย่างหนึ่งโจทก์ที่2จึงต้องลงลายมือชื่อในใบแต่งทนายความร่วมกับค. และประทับตามสำคัญของโจทก์ที่1ด้วยทนายความจึงมีอำนาจลงชื่อในคำฟ้องในนามโจทก์ที่1ได้ส่วนที่โจทก์ที่2ระบุในคำฟ้องว่าเป็นโจทก์ที่2ฟ้องจำเลยในฐานะเป็นหุ้นส่วนเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ทั้งสองว่าเงินที่นำไปซื้อทรัพย์พิพาทเป็นของโจทก์ที่1โจทก์ที่2ในฐานะหุ้นส่วนจึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยให้โอนทรัพย์พิพาทให้โจทก์ทั้งสองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1353/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามกฎหมาย และอำนาจฟ้องขับไล่ของผู้รับโอนสิทธิ
การที่ด.และค.ซึ่งเป็นตาและยายของจำเลยที่1ปลูกบ้านในที่พิพาทเพราะคนทั้งสองซื้อที่พิพาทมาจากบ.และผ.เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทคนเดิมหาใช่เพราะบ.และผ.อนุญาตให้คนทั้งสองอยู่อาศัยไม่และจำเลยทั้งสองได้ครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันโดยสืบทอดมาจากตายายและบิดามารดาของจำเลยที่1มานานหลายสิบปีที่พิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสองโดยการครอบครองตามกฎหมายแม้ส. บุตรของบ.และผ.ได้ขอจดทะเบียนการได้มาซึ่งที่พิพาทโดยการครอบครองตามคำสั่งศาลชั้นต้นแล้วก็ตามส.ก็หามีสิทธิดีกว่าอันจะเป็นเหตุให้มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองไม่เพราะส.มิใช่ผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1299วรรคสองเมื่อส.ผู้โอนไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองโจทก์ทั้งสี่ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองเพราะโจทก์ทั้งสี่ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีไปกว่าส. ผู้โอน แม้คำสั่งของศาลชั้นต้นถึงที่สุดแสดงว่าส. ได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองตามกฎหมายก็ตามแต่จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลภายนอกคดีสามารถพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าเมื่อจำเลยทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองตามกฎหมายคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวย่อมไม่ผูกพันจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145วรรคสอง(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1323/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุม-อำนาจฟ้อง: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นใหม่, วินิจฉัยประเด็นที่จำเลยให้การต่อสู้
ในปัญหาเรื่องฟ้องเคลือบคลุม คงมีแต่จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้ไว้ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การต่อสู้เรื่องฟ้องเคลือบคลุม ดังนี้ ข้ออ้างว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมตามฎีกาของจำเลยที่ 2 จึงมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากไม่มีนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสอง ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องในกรณีเช่นนี้ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน นอกจากนี้จำเลยทั้งสองยังให้การต่อสู้ไว้ แม้ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดประเด็นไว้ แต่จำเลยที่ 1 ก็ยื่นคำแถลงคัดค้านเพื่อใช้สิทธิในการอุทธรณ์ฎีกาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1323/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุม & อำนาจฟ้อง: จำเลยต้องยกขึ้นว่ากันในศาลชั้นต้น, การละเมิดต้องมีนิติสัมพันธ์, หลักฐานความเสียหาย
ในปัญหาเรื่องฟ้องเคลือบคลุมคงมีแต่จำเลยที่1ให้การต่อสู้ไว้ส่วนจำเลยที่2ไม่ได้ให้การต่อสู้เรื่องฟ้องเคลือบคลุมดังนี้ข้ออ้างว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมตามฎีกาของจำเลยที่2จึงมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ จำเลยทั้งสองฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากไม่มีนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องในกรณีเช่นนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนนอกจากนี้จำเลยทั้งสองยังให้การต่อสู้ไว้แม้ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดประเด็นไว้แต่จำเลยที่1ก็ยื่นคำแถลงคัดค้านเพื่อใช้สิทธิในการอุทธรณ์ฎีกาแล้วศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้ได้
of 452