คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลฎีกา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,432 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2021/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ vs. ประเด็นละเมิดต่างกัน: ศาลฎีกาแก้ให้พิจารณาใหม่ ชดใช้ค่าขึ้นศาลเกิน
คดีก่อนจำเลยที่ 2 คดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยอ้างว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าที่ดินจากจำเลยที่ 1คดีนี้เพื่อประกอบเกษตรกรรมต่อมาจำเลยที่ 1ได้ขายที่ดินให้แก่โจทก์ โดยโจทก์ทราบดีว่าจำเลยที่ 2เช่าที่ดินทำกสิกรรมอยู่ และจำเลยที่ 1 มิได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบก่อนทำให้จำเลยที่ 2ขาดโอกาสที่จะซื้อที่ดินได้ก่อนตาม พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 ขอให้บังคับโจทก์โอนขายที่ดินแก่จำเลยที่ 2 ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีก่อนจึงมีว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าที่ดินจากจำเลยที่ 1 และมีสิทธิที่จะซื้อที่ดินก่อนโจทก์หรือไม่ ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2ได้สมคบร่วมกันฉ้อฉลโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 ได้แจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าที่ดินที่จำเลยที่ 1 ขายให้โจทก์ไม่ได้ให้เช่า และจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 กับโจทก์ได้ตกลงกันให้โจทก์จ่ายค่าตอบแทนแก่จำเลยที่ 2ในการออกจากที่ดินเป็นเหตุให้โจทก์ตกลงซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 1 และชำระค่าตอบแทนแก่จำเลยที่ 2 ไปภายหลังจำเลยที่ 1 กลับให้ถ้อยคำเท็จต่อกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าที่ดินดังกล่าว เป็นเหตุคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมประจำจังหวัดมีมติให้โจทก์ขายที่ดินแก่จำเลยที่ 2 และต่อมาศาลพิพากษาบังคับโจทก์ทำให้โจทก์เสียหายขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบการครอบครองที่ดินให้แก่โจทก์หากไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าสินไหมทดแทนประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีนี้มีว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ และโจทก์ได้รับความเสียหายเพียงใดซึ่งต่างกับประเด็นในคดีก่อน จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ โจทก์อุทธรณ์และฎีกาเพียงขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี เป็นการอุทธรณ์และฎีกาที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาเพียง 200 บาท ตามตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (2)(ก) แต่โจทก์เสียมาอย่างคดีมีทุนทรัพย์จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาส่วนที่เกินแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 191/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยประเด็นนอกฟ้อง: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันในศาลล่าง
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า (1) ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ (2) โจทก์หรือจำเลยทั้งหกเป็นฝ่ายผิดสัญญา (3) โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายหรือไม่ เพียงใด โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6มอบโฉนดที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขาย และตั้งหรือเชิดจำเลยที่ 1 หรือยอมให้จำเลยที่ 1 เชิดตัวเองเป็นตัวแทนขายที่ดินพิพาท จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ซึ่งเป็นตัวการต้องรับผิดต่อโจทก์ เป็นการฎีกาในข้อที่โจทก์มิได้บรรยายกล่าวอ้างมาในฟ้องและที่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ ที่ศาลล่างทั้งสองหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาท ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 142 ประกอบด้วย มาตรา 246 ถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ทั้งไม่ใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตาม มาตรา 249 แห่งบทบัญญัติดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 191/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกานอกประเด็น: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันในศาลล่าง แม้ไม่กระทบความสงบเรียบร้อย
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า(1)ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่(2)โจทก์หรือจำเลยทั้งหกเป็นฝ่ายผิดสัญญา(3)โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายหรือไม่เพียงใดโจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่2ถึงที่6มอบโฉนดที่ดินพิพาทให้จำเลยที่1เป็นผู้ขายและตั้งหรือเชิดจำเลยที่1หรือยอมให้จำเลยที่1เชิดตัวเองเป็นตัวแทนขายที่ดินพิพาทจำเลยที่2ถึงที่6ซึ่งเป็นตัวการต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นการฎีกาในข้อที่โจทก์มิได้บรรยายกล่าวอ้างมาในฟ้องและที่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ที่ศาลล่างทั้งสองหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาทไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142ประกอบด้วยมาตรา246ถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสองทั้งไม่ใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนต้องห้ามฎีกาตามมาตรา249แห่งบทบัญญัติดังกล่าวศาลฏีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1839/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำอนาจารเด็กชายและการพรากผู้เยาว์ ศาลฎีกาตัดสินว่าพฤติการณ์ไม่ถึงขั้นพยายามข่มขืน
จำเลยพาผู้เสียหายไปที่ป่าละเมาะและใช้อวัยวะเพศของจำเลยทิ่มตำอวัยวะเพศของผู้เสียหายกับใช้นิ้วชี้ใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายแล้วจำเลยสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองจึงเป็นการพรากผู้เสียหายไปจากบิดามารดาผู้ดูแลและกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายเท่านั้นหาใช่เป็นความผิดฐาน พยายามกระทำชำเราผู้เสียหายไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1748/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากการทำร้ายด้วยวัตถุอันตราย ศาลฎีกายืนโทษฐานฆ่าผู้อื่น
จำเลยถีบผู้ตายตกลงไปในแม่น้ำตรงที่ลึกประมาณครึ่งตัวผู้ตายแล้วใช้แผ่นซีเมนต์ขนาดกว้าง10นิ้วยาว1ฟุตหนา2นิ้วทุ่มใส่ถูกศีรษะผู้ตายในระยะใกล้ขณะที่ผู้ตายกำลังจะปีนขึ้นมาบนฝั่งเป็นเหตุให้ผู้ตายได้รับบาดเจ็บถึงหมดสติจมน้ำตายแม้บาดแผลภายนอกจะเป็นแผลถลอกที่ศีรษะและแพทย์ให้ความเห็นว่าผู้ตายจมน้ำตายแต่การตายเกิดจากการทำร้ายของจำเลยโดยตรงจำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าการทุ่มแผ่นซีเมนต์ดังกล่าวจะทำให้ผู้ตายได้รับอันตรายแก่กายถึงบาดเจ็บและตายได้หากไม่ได้รับการช่วยเหลือหรือรักษาให้ทันท่วงทีถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายไม่ใช่เพียงเจตนาทำร้ายร่างกาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1740/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลฎีกายกฟ้องข้อหาพยายามฆ่า เปลี่ยนเป็นทำร้ายร่างกาย ลดโทษจำคุกและรอการลงโทษ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้พาอาวุธขวานไปในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะโดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควรและได้ใช้อาวุธขวานตีฟันทำร้ายผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่าแต่ผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371,288,80,91 แม้ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทำร้ายผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่าตามฟ้องแต่เมื่อจำเลยให้การว่าจำเลยใช้ท่อเหล็กแป๊บน้ำตีทำร้ายผู้เสียหายจริงศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายตามมาตรา 295 ซึ่งพิจารณาได้ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคท้าย ส่วนข้อหาความผิดฐานพาอาวุธขวานไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะซึ่งยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ลงโทษปรับจำเลย 60 บาทแม้ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิ ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกฟ้องในข้อหาดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185 วรรคแรกประกอบมาตรา 215 และ 225 เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 173/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องบังคับโอนที่ดินเกินคำขอ ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัย
โจทก์อ้างสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นพยานเพื่อแสดงข้อเท็จจริงต่อศาลว่า ได้มีการทำสัญญาระหว่าง ว.กับจำเลยที่ 1 ไม่ได้อ้างเพื่อแสดงข้อเท็จจริงว่าเป็นใบรับ จึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายหมวด 6 แห่งประมวลรัษฎากร ข้อ 28 และไม่ต้องห้ามไม่ให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118
ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ หากไม่ดำเนินการขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระราคาที่ดินที่ ว.ได้ชำระไปพร้อมดอกเบี้ย ฉะนั้นคำขอของโจทก์คือถ้าโอนที่ดินไม่ได้ก็ขอเงินที่ชำระไปคืน โจทก์มิได้ขอให้จำเลยชำระราคาที่ดินในขณะฟ้องการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระราคาที่ดินจำนวน70,100 บาท จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขออันเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิฎีกาและศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1506/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การละเมิดเครื่องหมายการค้า: ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ แม้มีการเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าภายหลัง
ปัญหาที่ว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องกับยาพิพาทไม่มีทางที่จะสับสนหลงผิดว่ายาของจำเลยเป็นยาของโจทก์และจำเลยไม่มีเจตนาที่จะเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์เพราะลักษณะและสีของฉลากการใช้ตัวอักษรของยากับลักษณะของเม็ดยาเห็นความแตกต่างได้ชัดเจนเนื่องจากยาของโจทก์มีเครื่องหมายการค้าของโจทก์กำกับทุกเม็ดส่วนของจำเลยไม่มีเมื่อจำเลยทราบว่าเครื่องหมายการค้าของจำเลยคล้ายของโจทก์จำเลยเลิกผลิตยาในชื่อเดิมทันทีการที่ชื่อยาพิพาทมีความใกล้เคียงกันเป็นเหตุบังเอิญหาใช่จำเลยมีเจตนาทุจริตไม่นั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ว่ากรมทะเบียนการค้าโดยคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าได้มีคำสั่งให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์จึงต้องถือว่าการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ไม่ถูกต้องมาแต่แรกโจทก์ไม่มีสิทธิอ้างเครื่องหมายการค้านี้แต่ผู้เดียวการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์นั้นแม้จะเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นแต่เมื่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าเพิ่งมีคำสั่งเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์หลังจากจำเลยยื่นคำแก้อุทธรณ์แล้วปัญหาดังกล่าวจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เพิ่งปรากฏในชั้นศาลอุทธรณ์จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะยกขึ้นอ้างได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคสอง เหตุที่คณะกรรมการเครื่องหมายการค้าสั่งเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์เนื่องจากเป็นเครื่องหมายที่ขัดต่อนโยบายแห่งรัฐในอันที่จะต้องให้ความร่วมมือกับองค์การอนามัยโลกดังนั้นการเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ดังกล่าวจึงหากกระทบกระเทือนถึงสิทธิของโจทก์ในการเป็นเจ้าของและการใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวก่อนที่จะถูกเพิกถอนไม่และไม่ทำให้การกระทำของจำเลยที่เป็นการละเมิดมาแต่เดิมกลายเป็นไม่ละเมิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 138/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคดีอาญาเมื่อศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยประเด็นสำคัญ ศาลฎีกามีอำนาจย้อนสำนวนเพื่อพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยที่1จำเลยที่1อุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาแม้จะมิได้อุทธรณ์ในปัญหาว่าจำเลยที่1กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ศาลอุทธรณ์ก็ต้องวินิจฉัยปัญหานี้อีกครั้งหนึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา245วรรคสองปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้เมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1336/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความสัญญาค้ำประกัน: ศาลฎีกาวินิจฉัยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เมื่อไม่มีกฎหมายเฉพาะ
โจทก์ทำสัญญาประกันผู้ต้องหาไว้ต่อศาลอาญาจำเลยทำสัญญาค้ำประกันไว้ต่อโจทก์ว่าหากมีความเสียหายเกิดขึ้นจากสัญญาประกันผู้ต้องหาจำเลยยินยอมรับผิดต่อโจทก์สัญญาดังกล่าวนี้เป็นสัญญาอย่างหนึ่งซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้เป็นอย่างอื่นต้องนำอายุความ10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา164เดิม(มาตรา193/30ที่แก้ไขใหม่)มาใช้บังคับ
of 344