คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ละเมิด

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,780 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 304/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดจากการออกโฉนดที่ดินทับเขตที่หลวง และความรับผิดของผู้บังคับบัญชา
การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยทั้งสองออกโฉนดที่ดินพิพาททับเขตที่ดินพระราชนิเวศน์มฤคทายวันซึ่งเป็นที่หลวงไม่อาจออกโฉนดให้บุคคลใดได้ และจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งสาม จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสาม เนื่องจากทำให้โจทก์ทั้งสามไม่ได้รับประโยชน์จากที่ดินพิพาท จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามจำเลยทั้งสองในฐานะผู้บังคับบัญชาของพนักงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 304/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดจากการออกโฉนดที่ดินทับเขตที่หลวง เจ้าพนักงานประมาทเลินเล่อ ผู้บังคับบัญชารับผิดร่วม
ที่ดินพิพาทได้มีการจัดทำระวางแผนที่ตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2454ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 จะมีพระบรมราชโองการกำหนดเขตที่ดินดังกล่าวให้เป็นเขตพระราชนิเวศน์มฤคทายวันในปี พ.ศ. 2467 พระบรมราชโองการดังกล่าวเป็นพระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ทั้งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดเขตที่ดินทั้งสี่ด้านไว้โดยละเอียด จึงมีผลเป็นกฎหมายที่บุคคลทุกคนรวมทั้งจำเลยทั้งสองจะต้องรับรู้ว่าที่ดินในบริเวณดังกล่าวเป็นที่หลวง แม้ขณะที่มีการออกโฉนดที่ดินพิพาท ยังมิได้มีการลงแนวเขตพระราชนิเวศน์มฤคทายวันในระวางแผนที่ เนื่องจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นผู้ดูแลรักษายังมิได้มีคำขอให้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ตามที่ระบุไว้ในกฎกระทรวง ฉบับที่ 26(พ.ศ. 2516) แต่กฎกระทรวงฉบับดังกล่าวเพิ่งจะออกมาใช้บังคับในภายหลัง จำเลยทั้งสองจะอ้างว่าไม่ทราบว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตพระราชนิเวศน์มฤคทายวันเพราะเหตุดังกล่าวหาได้ไม่ นอกจากนี้ขณะที่มีการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งสามเมื่อปี พ.ศ. 2510 ที่ดินพิพาทอยู่ในระหว่างรังวัดสอบเขตตามคำขอของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินของจำเลยที่ 1 ย่อมต้องทราบดีและควรระงับการโอนไว้ก่อน แต่หาได้กระทำเช่นนั้นไม่ การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยทั้งสองออกโฉนดที่ดินพิพาททับเขตที่ดินพระราชนิเวศน์มฤคทายวันและจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งสาม เป็นการกระทำโดยความประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสาม เนื่องจากทำให้โจทก์ทั้งสามไม่ได้รับประโยชน์จากที่ดินพิพาท จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสาม จำเลยทั้งสองในฐานะผู้บังคับบัญชาของพนักงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดดังกล่าว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 274/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดของนายจ้างต่อการกระทำของลูกจ้างในทางการที่จ้าง แม้ลูกจ้างนอกเวลาทำงาน
การที่จำเลยที่ 2 ขับรถในวันเกิดเหตุเป็นการปฏิบัติงานตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 แม้เหตุจะเกิดในขณะที่จำเลยที่ 2 ขับรถเอามาเก็บ และก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 2 จะใช้รถขับไปเที่ยวมาก่อนก็ถือว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 1 การกระทำละเมิดของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ดังนี้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 ในความเสียหายจากการทำละเมิดนั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 272/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดจากการรักษาเงินสดของธนาคาร การประมาทเลินเล่อ และข้อยกเว้นความรับผิด
ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการ จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานเงินและจำเลยที่ 3 เป็นเสมียนของธนาคารโจทก์สาขาท่ามะกาจำเลยทั้งสามได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการตรวจนับและรักษาเงินสดประจำวันร่วมกัน วันเกิดเหตุภายหลังจากเอาเงินสำรองจ่ายออกมาแล้ว จำเลยทั้งสามมิได้ใส่กุญแจตู้นิรภัยพร้อมกันทั้งสามดอกทั้งมิได้ปิดประตูห้องมั่นคง มิได้ใส่กุญแจห้องมั่นคง มิได้เก็บรักษาลูกกุญแจไว้กับตนเองตลอดเวลา อันเป็นการจงใจฝ่าฝืนระเบียบและคำสั่งของโจทก์ซึ่งได้วางไว้ในขณะเกิดเหตุ การที่จำเลยทั้งสามฝ่าฝืนระเบียบและคำสั่งดังกล่าว ทั้ง ๆ ที่ขณะเกิดเหตุเป็นเวลาประมาณ 12 นาฬิกา ไม่มีการฝากถอนเงิน จึงเป็นการประมาทเลินเล่อเป็นเหตุโดยตรงที่ทำให้คนร้ายใช้อาวุธปืนขู่บังคับให้จำเลยที่ 2 ใช้ลูกกุญแจตู้นิรภัยซึ่งจำเลยที่ 1 ทิ้งไว้ไขตู้นิรภัยและเอาเงินสดในตู้นิรภัยไปได้ จำเลยทั้งสามจึงต้องร่วมรับผิดในผลละเมิดดังกล่าว ตามระเบียบของโจทก์ให้พนักงานเงินยืมเงินจากผู้จัดการมาไว้สำรองจ่ายไม่เกินกว่าครึ่งหนึ่งของวงเงินสดที่สำนักงานเก็บรักษาไว้ได้เป็นประจำวัน แต่ในกรณีจำเป็นผู้จัดการจะให้ยืมเกินกว่าที่กำหนดไว้ก็ได้ โดยบันทึกเหตุผลไว้ในสมุดยืมเงินแม้จำเลยที่ 2 เก็บเงินสำรองจ่ายไว้ในลิ้นชักโต๊ะจำนวนเกินระเบียบของโจทก์ แต่เพราะมีผู้ฝากเงินหลายรายและจำเลยที่ 1 ผู้จัดการไม่อยู่ จำเลยที่ 2 ไม่อาจนำเงินมอบผู้จัดการได้ ทั้งทางปฏิบัติเมื่อมีลูกค้ามาติดต่อฝากเงินหลายรายเพื่อความสะดวกแก่ลูกค้าจำเลยที่ 1 จึงอนุญาตให้จำเลยที่ 2 เก็บเงินสำรองจ่ายไว้ในลิ้นชักโต๊ะเกินกว่าจำนวนครึ่งหนึ่งของเงินในตู้นิรภัยได้ ตามระเบียบของโจทก์ดังกล่าวเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการที่จะบันทึกเหตุผลไว้ในสมุดยืมเงินในกรณีที่อนุญาตให้พนักงานเงินยืมเงินสำรองจ่ายเกินกว่าครึ่งหนึ่งของเงินสดในตู้นิรภัย ไม่ใช่หน้าที่ของพนักงานเงิน การที่คนร้ายสามารถเอาเงินสดในลิ้นชักโต๊ะทำงานของจำเลยเป็นผลโดยตรงจากการที่คนร้ายใช้อาวุธปืนขู่บังคับจำเลยที่ 2 ให้ต้องยอมคนร้ายเอาเงินในลิ้นชักโต๊ะไปได้ จำเลยที่ 2 มิได้กระทำผิดระเบียบและไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์เฉพาะเงินที่อยู่ในลิ้นชักโต๊ะ จึงไม่ต้องรับผิดในเงินจำนวนนี้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2685/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของเจ้าของรถต่อการกระทำละเมิดของลูกจ้างผู้ขับรถ และขอบเขตค่าเสียหายที่ชดใช้ได้
จำเลยที่ 1 ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าเป็นเจ้าของรถบรรทุกมี ส. เป็นผู้ขับ โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 โดยอาศัยข้อเท็จจริงดังกล่าว แต่พยานจำเลยที่ 1 เบิกความว่า จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดเพราะมิใช่นายจ้างของ ส.แต่คนขับรถเป็นค. คดีจึงฟังได้ว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรถบรรทุก และลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดด้วย แม้ว่าคนขับจะเป็น ส.หรือค. ก็ตาม โจทก์เช่ารถโดยสารมาและถูกรถบรรทุกของจำเลยที่ 1 ชน โจทก์ได้ซ่อมรถโดยสารตามสัญญาเช่า โจทก์จึงฟ้องเรียกค่าเสียหายดังกล่าวและค่าขาดรายได้ของรถยนต์โดยสารในระหว่างซ่อมจากจำเลยที่ 1 ได้ ค่าเช่ารถในระหว่างซ่อมรถ โจทก์จะต้องจ่ายแก่ผู้ให้เช่าเป็นเงินลงทุนของโจทก์ที่จะทำให้เกิดรายได้ขึ้น ซึ่งไม่ว่าจะมีเหตุละเมิดเกิดขึ้นหรือไม่ โจทก์ก็ต้องจ่ายอยู่แล้ว ค่าเช่ารถจึงไม่ใช่ความเสียหายที่เกิดจากการกระทำละเมิดของจำเลย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2685/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของนายจ้างต่อการกระทำละเมิดของลูกจ้าง และขอบเขตค่าเสียหายที่ชดใช้
โจทก์ฟ้องว่า คนขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยชื่อนาย สมศักดิ์ไม่ทราบนามสกุล ตามที่จำเลยให้การไว้ต่อพนักงานสอบสวน จึงเป็นการบรรยายฟ้องถึงตัวบุคคลตามที่จำเลยให้การถึง ซึ่งการที่บุคคลนั้นจะเป็นนายสมศักดิ์หรือนายคำรณและชื่อดังกล่าวจะเป็นชื่อจริงหรือไม่ก็คงหมายถึงบุคคลคนเดียวกันที่เป็นลูกจ้างขับรถให้จำเลยในทางการที่จ้างนั่นเอง ที่จำเลยอ้างว่าคนขับรถยนต์บรรทุกชื่อนายคำรณมิใช่นายสมศักดิ์ตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชอบนั้นฟังไม่ขึ้น โจทก์เช่ารถยนต์โดยสารที่ถูกรถยนต์บรรทุกของจำเลยชนจากบริษัทธ. โจทก์ได้ทำการซ่อมแซมรถยนต์โดยสารตามสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับบริษัท ธ. เจ้าของรถยนต์โดยสารแล้ว โจทก์จึงเสียหายและฟ้องเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้กับค่าขาดรายได้ในระหว่างซ่อมแซมได้ แม้โจทก์จะไม่ใช่เจ้าของรถยนต์โดยสารก็ตาม ส่วนค่าเช่ารถยนต์โดยสารที่โจทก์ต้องจ่ายแก่บริษัท ธ. นั้นเป็นเงินลงทุนของโจทก์ที่จะทำให้เกิดรายได้ขึ้นซึ่งไม่ว่าจะมีเหตุละเมิดเกิดขึ้นหรือไม่ โจทก์ก็ต้องจ่ายอยู่แล้ว ค่าเช่ารถยนต์โดยสารจึงไม่ใช่ความเสียหายที่เกิดจากการกระทำละเมิดของลูกจ้างจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยชดใช้ค่าเช่ารถยนต์โดยสารในระหว่างการซ่อมแซมแก่โจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2416/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากละเมิด: ค่ารักษาพยาบาล, ค่าขาดประโยชน์, ค่าเสียบุคคลิกภาพ, และขอบเขตความรับผิดของผู้กระทำละเมิด
โจทก์ได้รับบาดเจ็บเนื่องจากจำเลยกระทำละเมิดจนต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีทุกข์ซึ่งโจทก์ไม่มีส่วนผิด โจทก์ย่อมจะหาความสะดวกเพื่อให้ได้รับทุกข์น้อยที่สุดโดยการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนได้ จำเลยจะกะเกณฑ์ให้โจทก์ไปรับการรักษาในโรงพยาบาลของรัฐหาได้ไม่ โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลที่โจทก์ได้จ่ายไปจริง โจทก์ไม่ได้รับเงินเดือนในระหว่างรักษาตัวเนื่องจากเจ็บป่วยเพราะจำเลยกระทำละเมิด จำเลยต้องรับผิดเต็มจำนวนของเงินเดือนที่โจทก์ไม่ได้รับนั้น จำเลยจะเกี่ยง ให้โจทก์นำค่าน้ำมันรถค่าอาหารการกินมาหักจากเงินเดือนก่อนหาได้ไม่ ค่าทนทุกข์ทรมานระหว่างเจ็บป่วยกับค่าสูญเสียบุคลลิกภาพ ต่างก็เป็นค่าเสียหายซึ่งไม่อาจคำนวณเป็นเงินได้ ศาลย่อมกำหนดให้ตามที่เห็นสมควรได้โดยไม่ต้องแบ่งแยกว่าค่าทนทุกข์ทรมานเท่าใดค่าสูญเสียบุคคลิกภาพเท่าใด ค่าเสียหายที่เกิดจากการสูญเสียบุคคลิกภาพกับค่าเสียหายที่เกิดจากการที่ไม่สามารถประกอบการงานในอนาคตเป็นค่าเสียหายที่ไม่ซ้ำกัน เพราะการเสียบุคคลิกภาพนั้นเป็นการเสียความมีลักษณะสง่าผ่าเผยในสังคม ซึ่งต่างหากจากการเสียความสามารถในการประกอบการงาน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2403/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การละเมิดสิทธิเจ้าของที่ดินจากการกีดขวางการใช้ถนนส่วนกลาง และการก่อสร้างปิดกั้นแสงลม
ถนนทุกสายในหมู่บ้านรวมทั้งถนนซอย ที่จำเลยสร้างประตูเหล็กปิดกั้นเป็นถนนที่เจ้าของที่ดินผู้จัดสรรสร้างไว้เพื่อเป็นที่สาธารณูปโภคแก่เจ้าของที่ดินและบ้านในหมู่บ้านทุกแปลง โจทก์เคยใช้ถนนซอย ดังกล่าวเป็นที่กลับรถยนต์มาก่อนที่จำเลยจะสร้างประตูเหล็กปิดกั้น เมื่อถนนซอย นี้ติดกับด้านข้างที่ดินของโจทก์โจทก์ย่อมมีสิทธิใช้ในการกลับรถยนต์ได้ ถนนซอย ดังกล่าวจึงมิใช่มีไว้เพียงเพื่อเป็นทางเข้าออกบ้านของจำเลยเท่านั้น การที่จำเลยทำประตูเหล็กปิดกั้นจึงทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้กลับรถยนต์ได้ แม้ประตูเหล็กไม่ได้ใส่กุญแจโจทก์สามารถที่จะเปิดประตูกลับรถยนต์ได้ แต่การกระทำดังกล่าวไม่เป็นการสะดวก การที่จำเลยทำประตูเหล็กปิดกั้นถนนซอยจึงเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่สะดวกในการใช้ประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อประตูเหล็กออกไปได้ แม้ลักษณะของอาคารที่จำเลยสร้างจะเป็นการสร้างหลังคาคลุมถนนซอย มีความสูงเหนือกำแพงรั้วด้านข้างของบ้านโจทก์ก็ตาม แต่เป็นการสร้างติดกับรั้วบ้านโจทก์ หลังคาของอาคารเกือบจะติดกับหลังคาบ้านโจทก์ซึ่งเป็นบ้านชั้นเดียวแม้จะมีช่องว่างระหว่างรั้วบ้านโจทก์กับหลังคาอาคารเพื่อให้แสงสว่างและลมผ่านไปได้ แต่แสงสว่างและลมก็ไม่สามารถผ่านไปได้ตามปกติเหมือนอย่างเช่นที่ไม่มีหลังคาอาคาร การที่จำเลยสร้างอาคารคลุมถนนซอย สาธารณะโดยไม่มีสิทธิที่จะทำได้ ปิดบังทางของแสงสว่างและลมที่จะเข้าไปในบ้านของโจทก์ได้ตามปกติย่อมเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ข้างเคียงได้รับความเสียหายหรืออย่างน้อยก็ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญเกินกว่าที่ควรคาดคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเกิดขึ้นได้ตามปกติ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยให้รื้ออาคารออกไปจากถนนซอย สาธารณะได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2291/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ธนาคารต้องรับผิดชอบความเสียหายจากละเมิดของพนักงานที่เปิดบัญชีให้ผู้อื่นโดยมิชอบ
ท.เป็นสมุห์บัญชีสาขาธนาคารจำเลย มีหน้าที่ตรวจเอกสารของผู้ที่มาขอเปิดบัญชีตามระเบียบของจำเลย ว.ได้นำเอาพยานหลักฐานสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของโจทก์ไปเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันในนามของโจทก์ ซึ่งหาก ท.ได้ขอตรวจดูต้นฉบับบัตรประจำตัวประชาชนหรือตรวจดูเพียงสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนซึ่งได้ปรากฏภาพถ่ายเจ้าของบัตรไว้อย่างละเอียดรอบคอบแล้ว ย่อมทราบได้ทันทีว่า ว.ไม่ใช่โจทก์ การที่ ท.ได้อนุมัติให้ ว.เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไปโดยไม่ตรวจหลักฐานของผู้ขอเปิดบัญชีตามระเบียบของจำเลย แล้ว ว.สั่งจ่ายเช็คในนามของโจทก์ทำให้โจทก์ถูก ด.ฟ้องเป็นคดีอาญา การกระทำของ ท.ย่อมเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เมื่อ ท.กระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลย จำเลยจึงต้องร่วมรับผิดต่อผลแห่งละเมิดดังกล่าวด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2291/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ธนาคารต้องรับผิดต่อความเสียหายจากละเมิดของพนักงาน หากไม่ปฏิบัติตามระเบียบการตรวจสอบเอกสาร
ท. เป็นสมุห์บัญชีสาขาธนาคารจำเลย มีหน้าที่ตรวจเอกสารของผู้ที่มาขอเปิดบัญชีตามระเบียบของจำเลย ว. ได้นำเอาพยานหลักฐานสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของโจทก์ไปเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันในนามของโจทก์ ซึ่งหาก ท.ได้ขอตรวจดูต้นฉบับบัตรประจำตัวประชาชนหรือตรวจดูเพียงสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนซึ่งได้ปรากฏภาพถ่ายเจ้าของบัตรไว้อย่างละเอียดรอบคอบแล้ว ย่อมทราบได้ทันทีว่า ว. ไม่ใช่โจทก์ การที่ท.ได้อนุมัติให้ว. เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไปโดยไม่ตรวจหลักฐานของผู้ขอเปิดบัญชีตามระเบียบของจำเลย แล้ว ว. สั่งจ่ายเช็คในนามของโจทก์ทำให้โจทก์ถูก ด. ฟ้องเป็นคดีอาญา การกระทำของ ท. ย่อมเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเมื่อ ท. กระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลย จำเลยจึงต้องร่วมรับผิดต่อผลแห่งละเมิดดังกล่าวด้วย.
of 278