พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,432 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1228/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอายัดทรัพย์ชั่วคราวเพื่อคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาคดี ไม่เข้าข่ายค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี ผู้ร้องมีสิทธิถอนเงินประกันได้ทันที
การที่ศาลออกหมายอายัดชั่วคราวไปยังเจ้าพนักงานที่ดินและจำเลยทั้งสองตามที่โจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามชั่วคราวมิให้จำเลยทั้งสองโอนขายยักย้ายหรือจำหน่ายที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา254(2)เป็นเพียงการสั่งห้ามชั่วคราวยังไม่มีกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีเข้ามาอายัดที่ดินพิพาทไม่อยู่ในบังคับของตาราง5ที่โจทก์จะต้องเสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีโจทก์จึงมีสิทธิถอนเงินประกันค่าเสียหายที่วางไว้ได้ทันทีเมื่อศาลมีคำสั่งถอนหมายอายัดชั่วคราวซึ่งมีผลเท่ากับถอนคำสั่งห้ามชั่วคราวแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1148/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษและการริบของกลางในคดีความผิดพ.ร.บ.ป่าไม้ ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
จำเลยถูกพนักงานอัยการโจทก์ฟ้องในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ฯรวมสองคดีคือคดีนี้กับคดีอาญาหมายเลขดำที่889/2536ของศาลชั้นต้นและโจทก์ขอให้นับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่889/2536สำหรับคดีอาญาหมายเลขดำที่889/2536ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแล้วจำเลยอุทธรณ์แต่ศาลอุทธรณ์เพียงแต่พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยให้เบาลงโดยไม่รอการลงโทษจำคุกและคดีถึงที่สุดแล้วดังนั้นเมื่อจำเลยกระทำความผิดสองคดีและศาลลงโทษจำคุกทั้งสองคดีจึงสมควรนับโทษจำเลยต่อตามฟ้อง โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าไม้และมีคำขอให้ริบของกลางซึ่งเป็นอุปกรณ์เครื่องมือที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดแต่ที่ศาลล่างทั้งสองไม่สั่งคำขอดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบเฉพาะไม้สักแปรรูป180ชิ้นซึ่งเป็นทรัพย์ที่จำเลยมีไว้เป็นความผิดซึ่งศาลจะต้องริบศาลฎีกาหยิบยกปัญหานี้ขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา195วรรคสองประกอบมาตรา225และแก้ไขเสียให้ถูกต้องโดยให้ริบไม้สักแปรรูปของกลางดังกล่าวเสียด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1118/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปรับบทลงโทษที่ไม่ถูกต้องตามฟ้อง ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้
พระราชบัญญัติญญัติจราจรทางบก(ฉบับที่4)พ.ศ.2535มาตรา30เป็นการแก้ไขพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ.2522มาตรา160ซึ่งมีข้อความเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ.2522มาตรา43(1)(2)(5)หรือ(8)และมาตรา78เมื่อโจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ.2522มาตรา43(1)(2)(5)หรือ(8)และมาตรา78มาด้วยจึงไม่ต้องปรับบทลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก(ฉบับที่4)พ.ศ.2535มาตรา30
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1049/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทนายความขาดใบอนุญาตดำเนินคดี กระบวนการพิจารณาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาสั่งเพิกถอนและเริ่มใหม่
การที่ทนายจำเลยซึ่งขาดจากการเป็นทนายความอยู่ก่อนแล้วตามพระราชบัญญัติ ทนายความพ.ศ.2528มาตรา44(3)ทำการเป็นทนายความโดยเรียงคำให้การยื่นต่อศาลและดำเนินกระบวนพิจารณาว่าความอย่างทนายความในศาลชั้นต้นนั้นย่อมเป็นการฝ่าฝืนต่อมาตรา33การดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนพิจารณามาจนกระทั่งพิพากษาคดีแต่ไม่ปรากฏว่าทนายจำเลยได้รับใบอนุญาตเป็นทนายความของสภาทนายความและจำเลยได้ยื่นใบแต่งทนายความตั้งทนายความของตนเข้ามาในคดีให้ถูกต้องกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลฎีกามีอำนาจสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นให้จำเลยยื่นใบแต่งทนายความที่ถูกต้องตามกฎหมายและยื่นคำให้การเข้ามาใหม่แล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ต่อไปตามวิธีพิจารณาความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1006/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ ไม่รับไต่สวนฐานะยากจนซ้ำ และไม่เปลี่ยนแปลงดุลพินิจเรื่องขยายเวลาค่าธรรมเนียม
ในการไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยที่1ที่ยื่นครั้งแรกศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่1มิใช่เป็นคนยากจนพอมีเงินเสียค่าธรรมเนียมศาลได้จำเลยที่1มิได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นคงยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่1นำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าเป็นคนยากจนแต่ข้ออ้างที่ขอให้ไต่สวนใหม่ว่าจำเลยที่1เป็นคนยากจนนั้นปรากฏในคำร้องว่าเป็นเหตุอันเดียวกับที่ได้อ้างและศาลชั้นต้นไต่สวนไว้เดิมแล้วไม่มีเหตุที่พอจะหักล้างคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นได้ถึงแม้จำเลยที่1จะมีพยานหลักฐานเพิ่มเติมอื่นใดก็ไม่พอที่จะแสดงให้เห็นฐานะของจำเลยที่1นอกเหนือไปจากเดิมที่ศาลชั้นต้นได้มีคำวินิจฉัยไว้แล้วจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะไต่สวนคำร้องของจำเลยที่1แล้วมีคำสั่งใหม่ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่1ที่ขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค2มีคำสั่งว่าที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องและไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่1ชอบแล้วเป็นเรื่องต่อเนื่องกันกับคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค2ซึ่งยกอุทธรณ์ของจำเลยที่1ที่ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของจำเลยที่1ในชั้นอุทธรณ์ใหม่และเป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ภาค2สั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา23ในฐานะเป็นเรื่องที่อยู่ในกระบวนพิจารณาในชั้นศาลอุทธรณ์ภาค2โดยเฉพาะศาลฎีกาไม่พึงก้าวล่วงเข้าไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ภาค2ดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 892/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายต่อเนื่องจนเกิดอันตรายแก่กาย และความผิดฐานบุกรุก ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์
ผู้เสียหายถูกทำร้ายมีบาดแผลเส้นเอ็นที่ยึดข้อปลายของนิ้วก้อยซ้ายขาด นิ้วก้อยซ้ายงอผิดรูป หลังเกิดเหตุแล้ว 2 เดือนนิ้วก้อยซ้ายของผู้เสียหายยังไม่สามารถยืดออกได้ตามปกติแต่โจทก์มิได้นำสืบว่าอาการป่วยเจ็บเช่นว่านั้นทำให้ผู้เสียหายได้รับทุกขเวทนาหรือไม่สามารถประกอบกรณีกิจได้ตลอดระยะเวลาดังกล่าวจึงฟังไม่ได้ว่าบาดแผลดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้เสียหายป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาหรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน อันจะเข้าลักษณะเป็นอันตรายสาหัส จำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้เสียหายที่ปากซอย แล้วไล่ตามเข้าไปทำร้ายผู้เสียหายในบริเวณบ้านของบิดาผู้เสียหาย ถือว่าเป็นการกระทำต่อเนื่องกันมีเจตนาอันเดียวมุ่งหมายที่จะทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น จึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 89/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปรับบทลงโทษอาวุธปืน: ศาลฎีกาแก้ไขโทษฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนโดยพิจารณาจากข้อเท็จจริงและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
เจ้าพนักงานตำรวจไม่ได้อาวุธปืนที่จำเลยที่ 1 ใช้ในการกระทำความผิดมาเป็นของกลาง ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ให้การแต่เพียงว่าอาวุธปืนที่ใช้ยิงผู้ตายไม่ทราบว่ามีหมายเลขทะเบียนหรือไม่ มิได้ให้การว่า ได้ใช้อาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนยิงผู้ตาย ทั้งโจทก์ก็มิได้นำสืบให้เห็นว่าเป็นอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียน ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 72 วรรคแรก อันเป็นบทลงโทษสำหรับกรณีที่เป็นอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนโดยไม่ได้รับอนุญาตจึงเป็นการไม่ชอบ ต้องปรับบทลงโทษตาม มาตรา 72 วรรคสาม ซึ่งเป็นเพียงการมีอาวุธปืนของผู้อื่นซึ่งได้รับอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายส่วนข้อหาความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลอุทธรณ์มิได้ปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ซึ่งโจทก์ขอมาในคำขอท้ายฟ้องด้วย เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขโดยปรับบทลงโทษตามมาตรา 8 ทวิ วรรคแรก,72 ทวิ วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 แต่ให้ลงโทษตามมาตรา 72 ทวิ วรรคสองซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90และเมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอาวุธปืนที่จำเลยที่ 1 พาไปเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เป็นผลร้ายน้อยกว่า ศาลฎีกาย่อมกำหนดโทษสำหรับความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตลดลงจากที่ศาลอุทธรณ์กำหนดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 887/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์โทษจำคุกที่ไม่รอการลงโทษในความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง ซึ่งเป็นข้อหาที่มีอัตราโทษจำกัดและจำเลยไม่ได้อุทธรณ์
ความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 วรรคแรก มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง การที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ให้การลงโทษเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์ข้อหาดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาในข้อหาดังกล่าวมาโดยไม่รอการลงโทษจำเลยจึงไม่ชอบ ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 863/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยิงผู้อื่นเสียชีวิต: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการเสนอเงินให้ย้ายออก ไม่ใช่การข่มขู่จนถึงขั้นบันดาลโทสะ
ก่อนเกิดเหตุ น. ได้ให้ผู้ตายไปบอกแก่จำเลยให้ขนย้ายบริวารออกไปจากที่ดินป่าชายเลนที่จำเลยปลูกบ้านอยู่ โดยเสนอให้เงินจำนวน 60,000 บาท เนื่องจากที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่ดินของทางราชการอยู่ในความดูแลขององค์การบริหารส่วนจังหวัดซึ่งได้ให้บุคคลอื่นเช่าไปแล้ว จำเลยจึงเช่าไม่ได้ โดยมี พ. กับนายดาบตำรวจบ. ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจไปด้วย ทั้งนี้บุคคลทั้งสามไม่มีอาวุธปืนติดตัว ผู้ตายไปถึงก่อนและยืนพูดกับจำเลยบริเวณหน้าประตูบ้านจำเลย พ. กับนายดาบตำรวจ บ. ตามมาไล่ ๆ กันเพื่อจะเป็นเพื่อนผู้ตาย และยืนอยู่ด้วยกันห่างผู้ตายประมาณ10 เมตร ซึ่งเป็นบริเวณนอกบ้านจำเลย การพูดจาระหว่างผู้ตายกับจำเลยมีการพูดถึงเงิน 60,000 บาท ที่เสนอให้ด้วย เช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นกรณีที่กระทำไปโดยสมควร ไม่น่าจะมีลักษณะเป็นการข่มขู่แต่อย่างใด จึงไม่ถือว่าเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยเข้าไปในบ้านหยิบเอาอาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยว มายิงผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 862/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์-ฎีกาข้อหาเบา (ปรับไม่เกิน 100 บาท) ต้องห้ามตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริง
เมื่อศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์ในความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญาซึ่งมีอัตราโทษอย่างสูงที่กฎหมายกำหนดไว้ให้ปรับไม่เกิน 100 บาทคดีโจทก์ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์โดยมิได้รับอนุญาตจากผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษา หรืออัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองในอุทธรณ์ว่ามีเหตุอันควรที่ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยจึงเป็นการมิชอบศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในข้อหาความผิดนั้น และข้อเท็จจริงในข้อหาดังกล่าวย่อมยุติ อัยการสูงสุดจะรับรองในฎีกาว่ามีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 หาได้ไม่ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ฎีกาศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้