พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,515 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9373/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นพยานหลักฐานล่าช้าและการเลิกสัญญาเช่าซื้อ
แม้การที่โจทก์ไม่ได้ยื่นต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจให้ทำสัญญาเช่าซื้อและหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีซึ่งเป็นพยานเอกสารต่อศาลชั้นต้นในวันชี้สองสถานเพื่อให้จำเลยทั้งสองตรวจสอบ เป็นการฝ่าฝืน ป.วิ.พ.มาตรา 183วรรคหนึ่ง ก็ตาม แต่ตามมาตรา 183 ทวิ วรรคสอง ถ้าศาลเห็นว่าพยานหลักฐานดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นที่จะต้องนำพยานหลักฐานดังกล่าวมาสืบ ศาลย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจอนุญาตให้โจทก์ยื่นต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจภายหลังได้ และคดีได้ความว่าหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ได้อ้างเป็นพยานหลักฐานนี้เป็นเอกสารสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญเรื่องอำนาจฟ้องในคดี และต่อมาโจทก์ได้ยื่นหนังสือมอบอำนาจในวันเดียวกันกับวันที่ศาลชั้นต้นชี้สองสถานตามคำสั่งของศาลชั้นต้นก่อนวันสืบพยานนัดแรกเป็นเวลากว่า 1 เดือน จำเลยทั้งสองมีโอกาสตรวจสอบเอกสารดังกล่าวก่อนวันสืบพยานได้อยู่แล้ว ดังนี้ ที่โจทก์มิได้ส่งต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจต่อศาลในวันชี้สองสถานนั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการเอาเปรียบจำเลยทั้งสองแต่ประการใด ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ยื่นต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจและศาลล่างทั้งสองรับฟังต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์นำสืบเป็นพยานหลักฐานมานั้นจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
สัญญาเช่าซื้อที่ระบุว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใด...ฯลฯ ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันทันทีโดยเจ้าของไม่ต้องบอกกล่าวก่อน...ฯลฯ เป็นสัญญาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของเจ้าของผู้ให้เช่าซื้อเมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนใช้บังคับกันได้ จำเลยที่ 1ค้างชำระค่าเช่าซื้อเป็นเวลาหลายงวด จึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเช่าซื้อตามข้อสัญญาดังกล่าวแล้ว สัญญาเช่าซื้อจึงเลิกกันทันทีโดยโจทก์มิต้องบอกกล่าว
สัญญาเช่าซื้อที่ระบุว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใด...ฯลฯ ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันทันทีโดยเจ้าของไม่ต้องบอกกล่าวก่อน...ฯลฯ เป็นสัญญาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของเจ้าของผู้ให้เช่าซื้อเมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนใช้บังคับกันได้ จำเลยที่ 1ค้างชำระค่าเช่าซื้อเป็นเวลาหลายงวด จึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเช่าซื้อตามข้อสัญญาดังกล่าวแล้ว สัญญาเช่าซื้อจึงเลิกกันทันทีโดยโจทก์มิต้องบอกกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9204/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีของผู้อำนวยการ อ.ต.ก. และอายุความสัญญาเช่าที่รวมสัญญาฝากทรัพย์
ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การตลาดเพื่อเกษตรกรพ.ศ. 2517 มาตรา 20 และมาตรา 22 แสดงว่า คณะกรรมการมีอำนาจ หน้าที่ในการวางนโยบายทั่วไปขององค์การตลาดเพื่อเกษตรกร โจทก์เท่านั้น ส่วนการบริหารกิจการเป็นอำนาจหน้าที่ของ ผู้อำนวยการ การฟ้องคดีเป็นกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ซึ่งผู้อำนวยการเป็นตัวแทนของโจทก์ จึงเป็นผู้มีอำนาจฟ้องคดี แทนโจทก์ได้ ตามสัญญาเช่าฉางเอกชนพิพาท นอกจากเป็นสัญญาเช่าทรัพย์แล้วยังมีข้อกำหนดให้จำเลยมีหน้าที่เก็บรักษาข้าวเปลือกและดูแลมิให้เกิดความเสียหายแก่ข้าวเปลือกที่เก็บรักษาไว้ในฉางด้วยหากเกิดความเสียหายขึ้น จำเลยต้องรับผิดชอบใช้ราคาข้าวเปลือกที่ขาดจำนวนไปให้แก่โจทก์ ซึ่งมีลักษณะเป็นสัญญาฝากทรัพย์รวมอยู่ในตัวด้วย ฉะนั้นจำเลยในฐานะผู้รับฝากทรัพย์เมื่อทรัพย์ที่รับฝากสูญหายไป จำเลยจึงต้องใช้ราคาทรัพย์ที่รับฝากไว้แทนตัวทรัพย์ การฟ้องให้ใช้ราคาทรัพย์ในกรณีเช่นนี้ไม่ใช่เรียกค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับการฝากทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 671และไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีกำหนด 10 ปี ตามมาตรา 164(เดิม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9204/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าและฝากเก็บทรัพย์ - อายุความ 10 ปี - อำนาจฟ้อง - ฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าฉาง ตามฟ้องจากจำเลยเพื่อเก็บข้าวเปลือกของโจทก์ โดยจำเลยรับรองว่าจะเก็บรักษาข้าวเปลือกที่โจทก์นำมาเก็บไว้ในฉาง มิให้เปลี่ยนแปลงหรือผิดไปจากสภาพเดิม ถ้าเกิดความเสียหายหรือสูญหายขึ้นจำเลยจะต้องรับผิดชอบและยินยอมใช้ราคาข้าวเปลือกที่ผิดชนิดหรือขาดจำนวนไปไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ยกเว้นข้าวเปลือกที่ยุบตัวตามสภาพไม่เกินร้อยละ 2ของจำนวนข้าวทั้งหมดหรือเกิดจากเหตุสุดวิสัยจำเลยไม่ดูแลรักษาข้าวเปลือกของโจทก์ตามสัญญา เป็นเหตุให้ข้าวเปลือกในฉาง สูญหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระราคาข้าวเปลือกดังกล่าว เห็นว่า ฟ้องโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้ว โจทก์บรรยายข้อเท็จจริงมาในฟ้องโดยละเอียดพร้อมกับแนบสำเนาสัญญาเช่าฉาง เอกชนสำเนาบัญชีข้าวเปลือกและราคาข้าวมาท้ายฟ้องด้วยการที่โจทก์มิได้ระบุในฟ้องว่าเป็นเรื่องผิดสัญญาหรือละเมิดก็ไม่ทำให้เป็นฟ้องเคลือบคลุม ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การตลาดเพื่อเกษตรกรพ.ศ. 2517 คณะกรรมการองค์การตลาดเพื่อการเกษตรมีอำนาจหน้าที่ในการวางนโยบายทั่วไปเท่านั้น ส่วนการบริหารกิจการเป็นอำนาจหน้าที่ของผู้อำนวยการโจทก์ การฟ้องคดีเป็นกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอกซึ่งผู้อำนวยการโจทก์เป็นตัวแทนของโจทก์ที่จะมีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ได้ ตามสัญญาเช่าฉาง เอกชนนอกจากเป็นสัญญาเช่าทรัพย์แล้วยังมีข้อกำหนดให้จำเลยมีหน้าที่เก็บรักษาข้าวเปลือกและดูแลมิให้เกิดความเสียหายแก่ข้าวเปลือกที่เก็บรักษาไว้ในฉาง ด้วย หากเกิดความเสียหายหรือสูญหายขึ้น จำเลยต้องรับผิดชอบใช้ราคาข้าวเปลือกที่ขาดจำนวนไปให้แก่โจทก์ซึ่งมีลักษณะเป็นสัญญาฝากทรัพย์รวมอยู่ในตัวด้วยฉะนั้นจำเลยในฐานะผู้รับฝากทรัพย์ซึ่งจะต้องคืนทรัพย์ที่รับฝากไว้ให้แก่โจทก์ เมื่อทรัพย์ที่รับฝากสูญหายไปจำเลยจึงต้องใช้ราคาทรัพย์ที่รับฝากาไว้แทนตัวทรัพย์การฟ้องให้ใช้ราคาทรัพย์ในกรณีเช่นนี้ไม่ใช่เรียกค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวแก่การฝากทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 671 และไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีกำหนด10 ปี ตามมาตรา 164 เดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9127/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดนายจ้างต่อลูกจ้าง, อำนาจฟ้อง, ทุนทรัพย์พิพาท, และการยกฟ้องจำเลยที่ ๓
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 11,830 บาท ฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ 3 เกี่ยวกับโจทก์ที่ 2จึงมีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
จำเลยที่ 3 ไม่ได้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 ปัญหาอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คดีของจำเลยที่ 3 จะต้องห้ามฎีกาในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ 2 ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกฟ้องโจทก์ที่ 2 ให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 3 ซึ่งต้องห้ามฎีกาด้วยได้ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246, 247
จำเลยที่ 3 ไม่ได้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 ปัญหาอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คดีของจำเลยที่ 3 จะต้องห้ามฎีกาในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ 2 ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกฟ้องโจทก์ที่ 2 ให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 3 ซึ่งต้องห้ามฎีกาด้วยได้ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246, 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9127/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของนายจ้างต่อลูกจ้าง และอำนาจฟ้องที่จำกัดตามทุนทรัพย์ รวมถึงปัญหาอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 11,830 บาท ฎีกาของจำเลยที่ 2ที่ 3 เกี่ยวกับโจทก์ที่ 2 จึงมีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000 บาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 3 ไม่ได้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วยโจทก์ที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 ปัญหาอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คดีของจำเลยที่ 3 จะต้องห้ามฎีกาในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ 2 ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกฟ้องโจทก์ที่ 2ให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 3 ซึ่งต้องห้ามฎีกาด้วยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบด้วยมาตรา 246,247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9017/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูก่อนศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร
การที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับรองบุตรของโจทก์และเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูรวมมาด้วยกันเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกัน โจทก์ย่อมฟ้องรวมในคดีเดียวกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตรเพื่อให้เกิดสิทธิเสียก่อนแล้วจึงมาฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูในภายหลัง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 886/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์จากการขายทอดตลาดสมบูรณ์แม้มีคดีเพิกถอน โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่
โจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินและบ้านพิพาทได้จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลจึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายแม้ต่อมาจำเลยที่2ได้ยื่นคำร้องขอให้ เพิกถอน การขายทอดตลาดและคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีก็ตามแต่ก็เป็นเรื่องการเพิกถอนการขายทอดตลาดตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา296เมื่อศาลยังมิได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็น เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาทย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8780/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้อง – การปฏิบัติตามหน้าที่ราชการ – การทิ้งฟ้องฎีกา
การที่จำเลยซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินจังหวัดผู้มีหน้าที่ดำเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินได้รับคำขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของโจทก์ไว้ แล้วไม่ดำเนินการโอนให้แก่โจทก์เนื่องจากจำเลยต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาลที่ให้รอการโอนกรรมสิทธิ์ไว้ก่อนอันเป็นการกระทำตามหน้าที่โดยชอบและเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของทางราชการ ถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำการอย่างใดอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์แล้ว ต้องถือว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลฎีกา การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2เพราะเหตุโจทก์ทิ้งฟ้องฎีกา จึงไม่ถูกต้อง แต่เมื่อคดีมาสู่ศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาจึงสั่งให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2 เพราะเหตุโจทก์ทิ้งฟ้องฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 174 (2), 132 (1) และมาตรา 247
เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์แล้ว ต้องถือว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลฎีกา การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2เพราะเหตุโจทก์ทิ้งฟ้องฎีกา จึงไม่ถูกต้อง แต่เมื่อคดีมาสู่ศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาจึงสั่งให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2 เพราะเหตุโจทก์ทิ้งฟ้องฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 174 (2), 132 (1) และมาตรา 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8780/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิบัติตามคำสั่งศาลของเจ้าหน้าที่ที่ดิน ไม่ถือเป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ และการทิ้งฟ้องฎีกา
การที่จำเลยซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินจังหวัดผู้มีหน้าที่ดำเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินได้รับคำขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของโจทก์ไว้แล้วไม่ดำเนินการโอนให้แก่โจทก์เนื่องจากจำเลยต้องปฏิบัติตามคำสั่งที่ให้รอการโอนกรรมสิทธิ์ไว้ก่อน อันเป็นการกระทำตามหน้าที่โดยชอบและเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของทางราชการถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำการอย่างใดอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์แล้ว ต้องถือว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลฎีกา การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2 เพราะเหตุโจทก์ทิ้งฟ้องฎีกาจึงไม่ถูกต้อง แต่เมื่อคดีมาสู่ศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาจึงสั่งให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2 เพราะเหตุโจทก์ทิ้งฟ้องฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2),132(1)และมาตรา 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8418/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมีอำนาจฟ้องสัญญาซื้อขาย: ผู้ลงนามสัญญาต้องมีอำนาจแทนคู่สัญญา มิฉะนั้นสัญญาเป็นโมฆะ
ว. มิได้มีรายชื่อเป็นกรรมการของโจทก์ ได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ขายวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างในหนังสือสัญญาซื้อขายวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้าง และประทับตราสำคัญของโจทก์ในช่องผู้ขายแทนโจทก์เพียงผู้เดียว โดยไม่ปรากฏว่าว. มีสิทธิหรืออำนาจอันใดที่จะลงลายมือชื่อในสัญญาฉบับนั้นแทนโจทก์ได้ จึงเป็นการกระทำโดยไม่มีสิทธิและโดยปราศจากอำนาจ โจทก์จึงไม่ใช่คู่สัญญาของจำเลยแม้โจทก์จะนำสืบว่า โจทก์ได้ส่งมอบวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างงวดที่ 2 และงวดที่ 3ให้แก่จำเลย และจำเลยได้รับสินค้าแล้วตามเอกสารหมาย จ.6 และ จ.7 โดยป. ลงลายมือชื่อในช่องผู้ขาย/ผู้ส่งมอบวัสดุแทนโจทก์ เมื่อปรากฏว่า ป. เป็นพนักงานของบริษัทอื่น มิได้เป็นกรรมการหรือพนักงานของโจทก์ ป. จึงไม่มีสิทธิทั้งไม่ใช่ผู้มีอำนาจที่จะขายวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างแทนโจทก์ โจทก์จึงไม่ใช่คู่สัญญาของจำเลยในการซื้อขายวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างตามเอกสารหมาย จ.6 และ จ.7เช่นกัน โจทก์ไม่มีสิทธิกล่าวอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแม้จำเลยจะไม่ได้ให้การต่อสู้เรื่องอำนาจฟ้องไว้ แต่เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน และปัญหานี้เกิดจากข้อเท็จจริงตามเอกสารที่โจทก์อ้างมา จึงเป็นข้อเท็จจริงในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ ศาลย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)