พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,539 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2093/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบังคับคดีจำกัดเฉพาะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดไม่มีสิทธิบังคับคดีแทนเจ้าหนี้
ผู้ร้องเป็นผู้รับซื้อที่ดินของจำเลยได้จากการขายทอดตลาดเป็นบุคคลภายนอกคดี ไม่ใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ไม่มีสิทธิขอให้ศาลบังคับจำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษาขนย้ายเครื่องจักรออกจากที่ดินซึ่งผู้ร้องซื้อไว้ ผู้ร้องชอบที่ไปฟ้องร้องเป็นคดีต่างหาก จะใช้สิทธิขอบังคับในคดีนี้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2093/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการบังคับคดีจำกัดเฉพาะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ซื้อที่ดินจากการประมูลไม่มีสิทธิ
ผู้ร้องเป็นผู้รับซื้อที่ดินของจำเลยได้จากการขายทอดตลาดเป็นบุคคลภายนอกคดี ไม่ใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ไม่มีสิทธิขอให้ศาลบังคับจำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษาขนย้ายเครื่องจักรออกจากที่ดินซึ่งผู้ร้องซื้อไว้ ผู้ร้องชอบที่ไปฟ้องร้องเป็นคดีต่างหาก จะใช้สิทธิขอบังคับในคดีนี้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1769/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบังคับคดีของเจ้าหนี้หลายราย: เจ้าหนี้รายหลังมีสิทธิบังคับคดีได้ แม้มีคำพิพากษาในคดีก่อนหน้า
เดิมผู้ร้องฟ้องจำเลยขอถอนคืนการให้เพราะเหตุประพฤติเนรคุณ ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนที่ดินพิพาทซึ่งมี น.ส.3 ให้แก่ผู้ร้องคดีอยู่ระหว่างการบังคับคดี ต่อมาโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยตามสัญญากู้ยืมแล้วโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุด โจทก์นำยึดที่ดินพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังนี้ ถือว่าที่ดินพิพาทยังคงเป็นของจำเลยอยู่ เพราะคดีทั้งสองสำนวนนี้ยังอยู่ในชั้นบังคับคดีด้วยกัน ผู้ร้องจะอ้างคำพิพากษาในคดีที่ผู้ร้องชนะจำเลยมายันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ แม้คดีจะถึงที่สุดแล้วก็ตาม โจทก์ในฐานะที่เป็นบุคคลภายนอกอาจพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคสอง (2) และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปจริง ส่วนคดีที่ผู้ร้องฟ้องจำเลยนั้น กลับส่อพิรุธว่าอาจจะไม่มีมูลความจริงตามฟ้อง ผู้ร้องย่อมจะขอให้ถอนการยึดไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1769/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบังคับคดีของเจ้าหนี้หลายราย: ผู้มีสิทธิเหนือทรัพย์สินก่อนย่อมมีสิทธิบังคับคดีก่อน แม้คดีถึงที่สุดแล้ว
เดิมผู้ร้องฟ้องจำเลยขอถอนคืนการให้เพราะเหตุประพฤติเนรคุณศาลพิพากษาให้จำเลยคืนที่ดินพิพาทซึ่งมี น.ส.3 ให้แก่ผู้ร้องคดีอยู่ระหว่างการบังคับคดี ต่อมาโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยตามสัญญากู้ยืมแล้วโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุด โจทก์นำยึดที่ดินพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังนี้ ถือว่าที่ดินพิพาทยังคงเป็นของจำเลยอยู่ เพราะคดีทั้งสองสำนวนนี้ยังอยู่ในชั้นบังคับคดีด้วยกัน ผู้ร้องจะอ้างคำพิพากษาในคดีที่ผู้ร้องชนะจำเลยมายันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ แม้คดีจะถึงที่สุดแล้วก็ตาม โจทก์ในฐานะที่เป็นบุคคลภายนอกอาจพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคสอง (2) และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปจริง ส่วนคดีที่ผู้ร้องฟ้องจำเลยนั้น กลับส่อพิรุธว่าอาจจะไม่มีมูลความจริงตามฟ้อง ผู้ร้องย่อมจะขอให้ถอนการยึดไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 593/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำนองเพื่อประกันหนี้เดิมและหนี้ใหม่ การปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตของธนาคาร และผลกระทบต่อเจ้าหนี้รายอื่น
จำเลยเป็นหนี้ธนาคารผู้คัดค้านอยู่ก่อนแล้ว โดยเบิกเงินเกินบัญชีไป9 แสนบาทเศษ แล้วจำเลยได้กู้เงินธนาคารผู้คัดค้านอีก 5 แสนบาทและจดทะเบียนจำนองเรือยนต์ของจำเลยรวม 47 ลำ ไว้กับธนาคารผู้คัดค้าน เพื่อเป็นประกันสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีซึ่งจำเลยเบิกเกินบัญชีไปดังกล่าวแล้วและเงินที่จำเลยกู้ ต่อมาจำเลยได้จดทะเบียนจำนองเรือยนต์ของจำเลยอีก 2 ลำ ไว้กับธนาคารผู้คัดค้าน เพื่อเป็นประกันการเบิกเงินเกินบัญชีตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีรายใหม่อีก ดังนี้ถือว่าการจำนองเรือยนต์ทั้งสองคราวนั้น เป็นการจำนองโดยมีค่าตอบแทน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 593/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำนองเพื่อประกันหนี้เดิมและหนี้ใหม่ การปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตของธนาคาร และผลกระทบต่อเจ้าหนี้รายอื่น
จำเลยเป็นหนี้ธนาคารผู้คัดค้านอยู่ก่อนแล้ว โดยเบิกเงินเกินบัญชีไป 9 แสนบาทเศษ แล้วจำเลยได้กู้เงินธนาคารผู้คัดค้านอีก 5 แสนบาท และจดทะเบียนจำนองเรือยนต์ของจำเลยรวม47 ลำ ไว้กับธนาคารผู้คัดค้าน เพื่อเป็นประกันสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีซึ่งจำเลยเบิกเกินบัญชีไปดังกล่าวแล้วและเงินที่จำเลยกู้ ต่อมาจำเลยได้จดทะเบียนจำนองเรือยนต์ของจำเลยอีก 2 ลำไว้กับธนาคารผู้คัดค้าน เพื่อเป็นประกันการเบิกเงินเกินบัญชีตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีรายใหม่อีก ดังนี้ ถือว่าการจำนองเรือยนต์ทั้งสองคราวนั้น เป็นการจำนองโดยมีค่าตอบแทน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 38/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าหนี้มีสิทธิยึดทรัพย์เพื่อบังคับคดีได้ แม้จำเลยมีความผิดฐานเบิกความเท็จในคดีแพ่ง
จำเลยเป็นเจ้าหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา เมื่อโจทก์ไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนั้นให้จำเลย จำเลยย่อมมีอำนาจตามกฎหมายที่จะขอให้ศาลชั้นต้นสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดและประกาศขายทอดตลาดทรัพย์สินของโจทก์ แม้ภายหลังโจทก์จะฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญา และศาลพิพากษาคดีอาญาถึงที่สุดว่าจำเลยมีความผิดฐานเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล และความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีแพ่งเกี่ยวกับอายุความที่โจทก์ตัดฟ้องไว้คำพิพากษาคดีอาญาในเรื่องที่จำเลยเบิกความเท็จ ก็หามีผลลบล้างคำพิพากษาในคดีแพ่งไม่
จำเลยอาจกระทำละเมิดต่อโจทก์ตามผลแห่งคำพิพากษาคดีอาญา แต่โจทก์มิได้ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทน เพราะเหตุจำเลยเบิกความเท็จ กลับฟ้องคดีโดยมีมูลฟ้องว่า จำเลยรู้อยู่แล้วว่าคดีแพ่งที่จำเลยฟ้องนั้นขาดอายุความแล้ว และจำเลยเบิกความเท็จเกี่ยวกับวันตายของผู้กู้เงิน จนศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานเบิกความเท็จคดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยยังแถลงขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์สินของโจทก์ที่จำเลยยึดไว้อีก เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ดังนี้จำเลยมีสิทธิที่จะกระทำเช่นนั้นได้ จึงยังถือไม่ได้ว่าการที่จำเลยขอประกาศขายทรัพย์สินที่ยึดภายหลังจากจำเลยรู้ว่าจำเลยมีความผิดในคดีอาญา เป็นการกระทำโดยไม่สุจริตและละเมิดต่อโจทก์ การยึดทรัพย์เพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา ไม่เป็นลาภมิควรได้และการถอนการบังคับคดีจะพึงกระทำได้ก็ต้องขอและว่ากล่าวกันแต่ในคดีเดิมเมื่อมีกรณีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295
จำเลยอาจกระทำละเมิดต่อโจทก์ตามผลแห่งคำพิพากษาคดีอาญา แต่โจทก์มิได้ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทน เพราะเหตุจำเลยเบิกความเท็จ กลับฟ้องคดีโดยมีมูลฟ้องว่า จำเลยรู้อยู่แล้วว่าคดีแพ่งที่จำเลยฟ้องนั้นขาดอายุความแล้ว และจำเลยเบิกความเท็จเกี่ยวกับวันตายของผู้กู้เงิน จนศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานเบิกความเท็จคดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยยังแถลงขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์สินของโจทก์ที่จำเลยยึดไว้อีก เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ดังนี้จำเลยมีสิทธิที่จะกระทำเช่นนั้นได้ จึงยังถือไม่ได้ว่าการที่จำเลยขอประกาศขายทรัพย์สินที่ยึดภายหลังจากจำเลยรู้ว่าจำเลยมีความผิดในคดีอาญา เป็นการกระทำโดยไม่สุจริตและละเมิดต่อโจทก์ การยึดทรัพย์เพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา ไม่เป็นลาภมิควรได้และการถอนการบังคับคดีจะพึงกระทำได้ก็ต้องขอและว่ากล่าวกันแต่ในคดีเดิมเมื่อมีกรณีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 38/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าหนี้มีสิทธิยึดทรัพย์ตามคำพิพากษา แม้จำเลยจะถูกพิพากษาว่าเบิกความเท็จในคดีแพ่ง แต่การยึดทรัพย์นั้นชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยเป็นเจ้าหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา เมื่อโจทก์ไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนั้นให้จำเลย จำเลยย่อมมีอำนาจตามกฎหมายที่จะขอให้ศาลชั้นต้นสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดและประกาศขายทอดตลาดทรัพย์สินของโจทก์ แม้ภายหลังโจทก์จะฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญา และศาลพิพากษาคดีอาญาถึงที่สุดว่าจำเลยมีความผิดฐานเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล และความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีแพ่งเกี่ยวกับอายุความที่โจทก์ตัดฟ้องไว้ คำพิพากษาคดีอาญาในเรื่องที่จำเลยเบิกความเท็จ ก็หามีผลลบล้างคำพิพากษาในคดีแพ่งไม่
จำเลยอาจกระทำละเมิดต่อโจทก์ตามผลแห่งคำพิพากษาคดีอาญาแต่โจทก์มิได้ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทน เพราะเหตุจำเลยเบิกความเท็จ กลับฟ้องคดีโดยมีมูลฟ้องว่า จำเลยรู้อยู่แล้วว่าคดีแพ่งที่จำเลยฟ้องนั้นขาดอายุความแล้ว และจำเลยเบิกความเท็จเกี่ยวกับวันตายของผู้กู้เงิน จนศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานเบิกความเท็จ คดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยยังแถลงขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์สินของโจทก์ที่จำเลยยึดไว้อีก เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ดังนี้จำเลยมีสิทธิที่จะกระทำเช่นนั้นได้ จึงยังถือไม่ได้ว่าการที่จำเลยขอประกาศขายทรัพย์สินที่ยึด ภายหลังจากจำเลยรู้ว่าจำเลยมีความผิดในคดีอาญา เป็นการกระทำโดยไม่ สุจริต และละเมิดต่อโจทก์ การยึดทรัพย์เพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา ไม่เป็นลาภมิควรได้และการถอนการบังคับคดีจะพึงกระทำได้ก็ต้องขอและว่ากล่าวกันแต่ในคดีเดิมเมื่อมีกรณีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295
จำเลยอาจกระทำละเมิดต่อโจทก์ตามผลแห่งคำพิพากษาคดีอาญาแต่โจทก์มิได้ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทน เพราะเหตุจำเลยเบิกความเท็จ กลับฟ้องคดีโดยมีมูลฟ้องว่า จำเลยรู้อยู่แล้วว่าคดีแพ่งที่จำเลยฟ้องนั้นขาดอายุความแล้ว และจำเลยเบิกความเท็จเกี่ยวกับวันตายของผู้กู้เงิน จนศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานเบิกความเท็จ คดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยยังแถลงขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์สินของโจทก์ที่จำเลยยึดไว้อีก เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ดังนี้จำเลยมีสิทธิที่จะกระทำเช่นนั้นได้ จึงยังถือไม่ได้ว่าการที่จำเลยขอประกาศขายทรัพย์สินที่ยึด ภายหลังจากจำเลยรู้ว่าจำเลยมีความผิดในคดีอาญา เป็นการกระทำโดยไม่ สุจริต และละเมิดต่อโจทก์ การยึดทรัพย์เพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา ไม่เป็นลาภมิควรได้และการถอนการบังคับคดีจะพึงกระทำได้ก็ต้องขอและว่ากล่าวกันแต่ในคดีเดิมเมื่อมีกรณีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3247/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเตือนหนี้และการปิดประกาศทวงหนี้ที่ไม่เข้าข่ายความผิดทางอาญา เมื่อเจ้าหนี้ได้พยายามเตือนหนี้ด้วยวิธีการที่เหมาะสมแล้ว
โจทก์ที่ 1 เป็นหนี้จำเลยที่ 1,2 อยู่ ไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้กันไว้ซึ่งจำเลยที่ 1,2 จะต้องเตือนให้โจทก์ที่ 1 ชำระก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 วรรคแรก จึงจะมีสิทธิฟ้องให้ชำระหนี้ได้ โจทก์ที่ 1 ไปทำงานที่อื่น จำเลยที่ 1,2 ไม่มีโอกาสเตือนให้ชำระหนี้ได้ เมื่อไปทวงหนี้จากโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นภริยาโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 2 ก็ไม่ยอมชำระ เมื่อมีหนังสือเตือนให้โจทก์ที่ 1 ชำระโดยส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนก็ไม่มีผู้ใดรับ จำเลยที่ 2 ไปทวงหนี้จากโจทก์ที่ 2 อีก และบอกว่าหากไม่ชำระให้จะเอาประกาศปิดให้เสียชื่อเสียง โจทก์ที่ 2 กลัว จึงรับปากว่าจะชำระแต่แล้วก็ไม่ชำระให้ จำเลยที่ 1,2 จึงมอบให้จำเลยที่ 3 ผู้เป็นทนายความทำประกาศบอกกล่าวให้โจทก์ที่ 1ชำระหนี้ แล้วให้จำเลยที่ 4 นำไปให้ตำรวจปิดในที่เปิดเผย 3 แห่ง การที่จำเลยที่ 2 บอกโจทก์ที่ 2ว่าหากไม่ชำระหนี้จะปิดประกาศทวงหนี้ก็ได้ การทำประกาศบอกกล่าวให้ชำระหนี้ไปปิดไว้ก็ดี เป็นการเตือนให้โจทก์ที่ 1 ชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204วรรคแรก ทั้งข้อความก็ตรงกับความจริงไม่มีข้อความอันเป็นการใส่ความ หรือดูหมิ่นโจทก์ที่ 1 แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 84,86,309,326,328,337,338,392,393 ดังที่โจทก์ฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 882/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนนิติกรรมหลังชำระหนี้: เมื่อเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้แล้ว สิทธิในการเพิกถอนนิติกรรมย่อมสิ้นสุดลง
การฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 237 นั้น หากจำเลยนำเงินกู้ตามคำพิพากษามาวางศาล เพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้ว โจทก์ก็ไม่อยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้จำเลยอันจะขอให้เพิกถอนต่อไป