คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
หนี้

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,449 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1028/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องหนี้ตามบัญชีเดินสะพัด: ศาลมีอำนาจพิพากษาตามจำนวนหนี้จริงได้ แม้ต่างจากที่ฟ้อง
จำเลยตกลงจ้างโจทก์ขนส่งมันสำปะหลังจากไร่เข้าสู่โรงงาน มีบัญชีต่อกันไว้และมีการตัดทอนบัญชีอันเกิดแต่กิจการระหว่างโจทก์และจำเลยหักกลบลบกัน และชำระส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุลภาคนับเป็นบัญชีเดินสะพัด อายุความมีกำหนด10 ปี
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามบัญชีหนี้สินที่จดลงบัญชีกันไว้เป็นเงิน 33,494 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ 31,767 บาท จำเลยอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่ามีจำนวนเงินที่เป็นหนี้กันอยู่จริงเพียง29,030 บาท ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษาให้โจทก์ได้รับตามจำนวนที่เป็นหนี้แท้จริงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 878/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สินสอดตามกฎหมายและการแปลงหนี้เป็นสัญญากู้ แม้ไม่ได้จดทะเบียนสมรสก็มีผลผูกพัน
อันสินสอดนั้นตามกฎหมายเป็นทรัพย์สินซึ่งฝ่ายชายให้แก่บิดามารดาหรือผู้ปกครองฝ่ายหญิง เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส และเมื่อมีข้อตกลงจะให้สินสอดแก่กันแล้ว การให้สินสอดภายหลังการสมรสย่อมทำได้เพราะไม่มีอะไรห้ามซึ่งต่างกับของหมั้นอันจะต้องให้กันในเวลาทำสัญญาหมั้นคือก่อนสมรส
บิดามารดาโจทก์จัดให้โจทก์และ ว.ทำพิธีแต่งงานกัน และโจทก์เต็มใจยอมสมรสมารดาโจทก์ได้เตือนให้โจทก์ได้เตือนให้โจทก์และ ว.ไปจดทะเบียนสมรส แต่ทั้งสองคนละเลยไม่ดำเนินการจดทะเบียน โดยว่าจะไปจดวันหลังก็ได้ครั้นอยู่ด้วยกัน 3 เดือนก็มีเหตุต้องเลิกร้างกันไปโดยไม่ได้จดทะเบียน ดังนี้ จะถือว่าฝ่ายหญิงผิดสัญญาฝ่ายเดียวย่อมไม่ได้ ชายเรียกสินสอดคืนไม่ได้
จำเลยและ ว.บุตรชายตกลงหมั้นโจทก์และตกลงจะให้เงินจำนวนหนึ่งเป็นสินสอดแก่บิดามารดาโจทก์ในวันสมรสถึงกำหนด จำเลยขอผัดให้เงินสินสอดภายหลัง มารดาโจทก์ยินยอมให้โจทก์แต่งงานกับ ว.เพื่อมิให้เสียพิธีแต่มิได้มีการจดทะเบียนสมรสกัน หลังจากสมรสแล้วจำเลยขอทำสัญญากู้ให้มารดาโจทก์แทนเงินสินสอดที่ตกลงจะให้ มารดาโจทก์ต้องการเอาเงินนั้นให้โจทก์ จึงให้โจทก์ลงชื่อเป็นผู้ให้กู้ในสัญญากู้ ดังนี้ แม้โจทก์กับ ว.จะมิได้จดทะเบียนสมรสกันแต่เมื่อการที่มิได้จดทะเบียนสมรสนั้น จะถือว่าฝ่ายหญิงผิดสัญญาฝ่ายเดียวไม่ได้แล้ว ชายย่อมเรียกสินสอดคืนไม่ได้ สัญญากู้จึงมีมูลหนี้เนื่องมาจากเงินสินสอดอันเป็นมูลหนี้ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อบิดามารดาโจทก์ตกลงยกให้โจทก์ และจำเลยยินยอมทำสัญญากับโจทก์เพราะมูลหนี้นี้แล้ว จำเลยย่อมต้องถูกผูกพันให้รับผิดตามสัญญากู้ที่แปลงหนี้มานี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 878/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สินสอด, สัญญาแปลงหนี้, และผลบังคับใช้สัญญา แม้ไม่มีการจดทะเบียนสมรส
อันสินสอดนั้นตามกฎหมายเป็นทรัพย์สินซึ่งฝ่ายชายให้แก่บิดามารดาหรือผู้ปกครองฝ่ายหญิง เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรสและเมื่อมีข้อตกลงจะให้สินสอดแก่กันแล้ว การให้สินสอดภายหลังการสมรสย่อมทำได้เพราะไม่มีอะไรห้ามซึ่งต่างกับของหมั้นอันจะต้องให้กันในเวลาทำสัญญาหมั้นคือก่อนสมรส
บิดามารดาโจทก์จัดให้โจทก์และ ว. ทำพิธีแต่งงานกัน และโจทก์เต็มใจยอมสมรสมารดาโจทก์ได้เตือนให้โจทก์และ ว ไปจดทะเบียนสมรส แต่ทั้งสองคนละเลยไม่ดำเนินการจดทะเบียนโดยว่าจะไปจดวันหลังก็ได้ ครั้นอยู่ด้วยกัน 3 เดือนก็มีเหตุต้องเลิกร้างกันไปโดยไม่ได้จดทะเบียน ดังนี้จะถือว่าฝ่ายหญิงผิดสัญญาฝ่ายเดียวย่อมไม่ได้ ชายเรียกสินสอดคืนไม่ได้
จำเลยและ ว. บุตรชายตกลงหมั้นโจทก์และตกลงจะให้เงินจำนวนหนึ่งเป็นสินสอดแก่บิดามารดาโจทก์ในวันสมรส ถึงกำหนดจำเลยขอผัดให้เงินสินสอดภายหลัง มารดาโจทก์ยินยอมให้โจทก์แต่งงานกับ ว. เพื่อมิให้เสียพิธี แต่มิได้มีการจดทะเบียนสมรสกันหลังจากสมรสแล้วจำเลยขอทำสัญญากู้ให้มารดาโจทก์แทนเงินสินสอดที่ตกลงจะให้ มารดาโจทก์ต้องการเอาเงินนั้นให้โจทก์ จึงให้โจทก์ลงชื่อเป็นผู้ให้กู้ในสัญญากู้ ดังนี้ แม้โจทก์กับ ว. จะมิได้จดทะเบียนสมรสกันแต่เมื่อการที่มิได้จดทะเบียนสมรสนั้น จะถือว่าฝ่ายหญิงผิดสัญญาฝ่ายเดียวไม่ได้แล้ว ชายย่อมเรียกสินสอดคืนไม่ได้ สัญญากู้จึงมีมูลหนี้เนื่องมาจากเงินสินสอดอันเป็นมูลหนี้ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อบิดามารดาโจทก์ตกลงยกให้โจทก์ และจำเลยยินยอมทำสัญญากับโจทก์เพราะมูลหนี้นี้แล้ว จำเลยย่อมต้องถูกผูกพันให้รับผิดตามสัญญากู้ที่แปลงหนี้มานี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 755/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ โกงเจ้าหนี้: 'หนี้' ไม่จำกัดเฉพาะเงิน, เจตนาไม่ชำระหนี้สำคัญ, ข้อพิพาทสัญญาไม่ใช่ความผิดอาญา
คำว่า "หนี้" ที่บัญญัติไว้ในตอนต้นของมาตรา 350 แห่งประมวลกฎหมายอาญา มิได้หมายถึงเฉพาะหนี้เงินเท่านั้น แต่ยังรวมถึงหนี้อื่น ๆ ด้วย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ทำสัญญาขายที่ดินมีโฉนดให้แก่โจทก์ โจทก์เข้าครอบครองที่ดินนั้นและชำระราคาครบถ้วนแล้ว เหลือแต่การโอนโฉนด โจทก์ย่อมได้ชื่อว่าอยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อน โจทก์จึงเป็นเจ้าหนี้แน่นอนของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งจำเลยทั้งสองมีหนี้ที่จะต้องโอนที่ดินให้โจทก์จำเลยที่ 1 ที่ 2 กลับโอนขายที่ดินนั้นให้จำเลยที่ 3 ไปเสีย โดยจำเลยทั้งสามทราบอยู่แล้วว่าโจทก์กำลังจะฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 แต่ได้ความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นผู้มีทรัพย์สินมากพอที่จะชำระหนี้ค่าเสียหายให้โจทก์ได้ แม้หนี้สินอื่นที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นหนี้โจทก์อยู่เป็นจำนวนมาก จำเลยก็ชำระให้โดยไม่บิดพลิ้ว การที่จำเลยทั้งสองไม่ยอมโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์นั้น เป็นเพราะโจทก์กับจำเลยแปลความในสัญญากันคนละทาง มิใช่เพราะมีเจตนาที่จะไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ จึงเป็นเรื่องผิดสัญญาในทางแพ่ง ไม่เป็นความผิดทางอาญาฐานโกงเจ้าหนี้ และจำเลยที่ 3 ผู้รับซื้อที่ดินนั้นไว้ก็ย่อมไม่มีความผิดทางอาญาดุจกัน
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 13/2517 และครั้งที่ 2/2518)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 685/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องผู้ค้ำประกันเมื่อลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้: กำหนด 10 ปีตามมาตรา 164
ลูกหนี้ไม่คืนเงินทดรองแก่เจ้าหนี้และไม่ชำระเงินที่ยักยอกของเจ้าหนี้ไป อายุความฟ้องผู้ค้ำประกันไม่ใช่ 2 ปี ตามมาตรา 165(8)หรือ 1 ปี ตามมาตรา 448 แต่มีกำหนด 10 ปี ตามมาตรา 164

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 651/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีตามคำพิพากษา แม้มีการทำยอมนอกศาล แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตาม ศาลยังคงบังคับคดีได้
ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนรถยนต์กับใช้ค่าเสียหาย 3,000 บาทระหว่างอุทธรณ์โจทก์จำเลยร้องขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาตามยอมที่โจทก์จำเลยนำมายื่นต่อศาลชั้นต้นเพื่อส่งไปศาลอุทธรณ์ทำยอมแต่จำเลยไม่ไปศาลและโจทก์ไม่ประสงค์ทำยอมตามที่ขอไว้ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีถึงที่สุดแล้วจำเลยต้องทำตามคำบังคับ เรื่องสัญญายอมความเป็นเรื่องนอกศาลจำเลยอ้างให้งดบังคับคดีไม่ได้ โจทก์รับต่อศาลว่าได้รับรถคืนแล้ว หนี้ประการนี้จึงระงับไป แต่หนี้ใช้ค่าเสียหายตามคำพิพากษายังต้องบังคับต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 642/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความหนี้และการรับสภาพหนี้ที่สมบูรณ์ การรับสภาพหนี้ต้องเกิดขึ้นภายในอายุความ มิเช่นนั้นอายุความไม่สดุดหยุด
การรับสภาพหนี้อันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 นั้น ต้องเป็นการรับสภาพหนี้ภายในกำหนดอายุความ
การที่จำเลยเพียงแต่มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่เท่าใด และขอให้โจทก์ช่วยจัดการให้ ป. ชำระหนี้ที่ค้างให้แก่จำเลย แล้วจำเลยจะชำระหนี้ส่วนที่เหลือให้โจทก์ โดยโจทก์ก็มิได้กระทำการอย่างใดอันเป็นการสนองรับข้อเสนอของจำเลยดังกล่าว หาใช่เป็นเรื่องการรับสภาพความรับผิดโดยสัญญา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 188 วรรคท้ายไม่(อ้างฎีกาที่ 756/2510)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 608/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: ดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย
คู่กรณีทำสัญญาประนีประนอมยอมความเอาหนี้เงินกับดอกเบี้ยที่ค้างชำระเป็นต้นเงินและให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินนั้นอีกดังนี้แม้จำนวนต้นเงินนี้มีดอกเบี้ยเดิมรวมอยู่ด้วย ก็ไม่เป็นการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรค 2

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 594/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาปลอมและหนังสือรับสภาพหนี้: สิทธิเรียกร้องหนี้สูญ
เจ้ามรดกไม่ได้กู้เงินโจทก์ สัญญาที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นเอกสารปลอมจำเลยซึ่งเป็นทายาททำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โดยเข้าใจว่ามีหนี้อยู่จริง ดังนี้ ไม่ทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องให้ชำระหนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 583/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความหนี้จากการซื้อขายเชื่อและผลของการคืนสินค้าชำรุดต่ออายุความ
จำเลยซื้อสินค้าเชื่อจากโจทก์ในใบนำส่งสินค้าแต่ละคราวมีข้อความระบุว่าให้ผู้ซื้อชำระราคาภายใน 30 วัน และโจทก์จำเลยมีข้อตกลงกันว่าถ้าสินค้าชำรุดยอมให้จำเลยส่งคืนได้ โจทก์จะคิดชดเชยราคาให้ตามส่วนและสภาพของสินค้าโดยโจทก์จะออกใบเครดิตโน้ตให้จำเลย แสดงยอดเงินที่โจทก์คิดชดเชยให้ และโจทก์จะนำยอดเงินในเครดิตโน้ทนั้นไปหักออกจากราคาสินค้าที่จำเลยเป็นหนี้อยู่ดังนี้
สิทธิเรียกร้องในราคาสินค้าของโจทก์ย่อมเกิดขึ้นนับจากวันถึงกำหนดชำระตามใบนำส่งสินค้า มิใช่นับจากวันที่หักราคาสินค้ากับเครดิตโน้ทเมื่อนับจากวันถึงกำหนดชำระตามใบนำส่งสินค้าทุกฉบับจนถึงวันฟ้องเกินกว่า 2 ปี แล้วคดีโจทก์ย่อมขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1)
ข้อตกลงเรื่องคืนสินค้าดังกล่าวเป็นการตกลงกันในเรื่องคุณภาพของสินค้า จำเลยจะใช้สิทธิคืนสินค้าหรือไม่ย่อมแล้วแต่ฝ่ายจำเลยจะเลือกปฏิบัติใบเครดิตโน้ทที่โจทก์ออกให้เมื่อจำเลยส่งสินค้าชำรุดคืนก็เป็นเพียงหลักฐานที่โจทก์ยินยอมชดเชยราคาให้แก่ฝ่ายจำเลยเองและเป็นหลักฐานที่โจทก์ฝ่ายเดียวทำขึ้นการที่จำเลยส่งสินค้าคืนเพื่อเรียกค่าชดเชยจากโจทก์จึงไม่เป็นการรับสภาพหนี้ของจำเลยอันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลง
of 145