คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
อำนาจศาล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,218 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1107/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวางประกันค่าฤชาธรรมเนียม: ศาลไม่ต้องไต่สวนหากโจทก์ยอมรับว่าไม่อยู่ในอำนาจศาล หรือวางเงินประกันแล้ว
การไต่สวนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 253 วรรคสอง หมายถึงการไต่สวนถึงเหตุที่ทำให้มีการร้องขอให้โจทก์วางเงินซึ่งมีอยู่ 2 เหตุคือโจทก์ไม่ใช่ผู้อยู่ในอำนาจศาลเหตุหนึ่งหรือถ้า มี เหตุแน่นแฟ้นอันเป็นที่เชื่อ ได้ว่าเมื่อโจทก์แพ้คดีแล้วจะหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอีกเหตุหนึ่ง ฉะนั้นเมื่อเหตุที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ยกขึ้นอ้างเพื่อร้องขอให้โจทก์วางเงินค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายนั้นจำเลยอ้างเหตุว่า โจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศอังกฤษไม่ใช่ผู้อยู่ในอำนาจศาล ซึ่งเหตุนี้โจทก์ยอมรับในคำแถลงคัดค้านของโจทก์แล้วว่า โจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศอังกฤษโจทก์จึงไม่ใช่ผู้อยู่ในอำนาจศาล นอกจากนั้นจากคำแถลงของโจทก์ที่ปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณา โจทก์ก็แถลงขอวางเงินค่าธรรมเนียมศาลเป็นจำนวน 50,000 บาท จึงไม่มีความจำเป็นที่ศาลชั้นต้นจะต้องทำการไต่สวนอะไรอีก และสำหรับจำนวนเงินที่ศาลจะสั่งให้โจทก์วางประกันนั้น มาตรา 253 วรรคสอง บัญญัติให้ศาลกำหนดจำนวนเงินรวมตลอดทั้งระยะเวลาและเงื่อนไขตามที่เห็นสมควร จึงไม่จำเป็นจะต้องทำการไต่สวนอีกเช่นกัน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1107/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวางประกันค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับโจทก์ต่างชาติ: ศาลไม่ต้องไต่สวนหากโจทก์ยอมรับว่าอยู่นอกอำนาจศาล
การไต่สวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 253 วรรคสองนั้นหมายถึงการไต่สวนถึงเหตุที่ทำให้มีการร้องขอให้โจทก์วางเงินซึ่งมีอยู่ 2 เหตุ คือโจทก์ไม่ใช่ผู้อยู่ในอำนาจศาลเหตุหนึ่ง หรือถ้ามีเหตุอันเป็นที่เชื่อได้ว่าเมื่อโจทก์แพ้คดีแล้วจะหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอีกเหตุหนึ่ง เมื่อจำเลยร้องขอให้โจทก์วางเงินประกันโดยอ้างเหตุว่าโจทก์มีภูมิลำเนาในประเทศอังกฤษ ไม่ใช่ผู้อยู่ในอำนาจศาล และโจทก์ยอมรับในคำแถลงคัดค้านแล้วว่าโจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศอังกฤษ จึงไม่มีความจำเป็นที่ศาลชั้นต้นจะต้องทำการไต่สวนอีก
จำนวนเงินที่ศาลจะสั่งให้โจทก์วางประกันนั้น ตามมาตรา253วรรคสองดังกล่าว บัญญัติให้ศาลกำหนดจำนวนเงินที่จะให้โจทก์วางประกันรวมตลอดทั้งระยะเวลาและเงื่อนไขตามที่เห็นสมควรจึงไม่จำเป็นต้องทำการไต่สวนอีกเช่นกัน ศาลชอบที่จะกำหนดจำนวนเงินประกันไปตามที่เห็นสมควร โดยคำนึงถึงความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 161 และอัตราค่าทนายความท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 85/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจกรมสรรพากรขอเฉลี่ยทรัพย์สิน และการวินิจฉัยหนี้ที่ไม่ชอบของศาล
ประมวลรัษฎากร มาตรา 12 ให้อำนาจกรมสรรพากรผู้ร้องเพื่อให้ได้รับชำระค่าภาษีอากรค้างให้มีสิทธิที่จะสั่งยึดและสั่งขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรได้โดยไม่ต้องนำคดีมาฟ้องต่อศาล สิทธิดังกล่าวถือได้ว่าเป็นสิทธิอื่นๆ ซึ่งบุคคลภายนอกอาจขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินได้ ผู้ร้องจึงมีอำนาจร้องขอเฉลี่ยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287, 290
ในกรณีที่ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามประมวลรัษฎากรยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ที่โจทก์นำยึดจากจำเลยนั้น โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกย่อมมีสิทธิที่จะโต้แย้งคัดค้านได้ว่าหนี้ที่ผู้ร้องขอเฉลี่ยนั้นไม่ชอบ ผู้ร้องไม่มีสิทธิเข้าเฉลี่ยและศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยตามประเด็นที่ว่าจำเลยเป็นหนี้ผู้ร้องโดยชอบหรือไม่ เพื่อวินิจฉัยให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยได้หรือไม่ ข้อวินิจฉัยศาลดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นการเพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินซึ่งยังคงผูกพันจำเลยอยู่ และเมื่อศาลวินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงว่าหนี้อันเกิดจากการหลอกลวงของจำเลยเป็นเหตุให้เจ้าพนักงานประเมินประเมินให้จำเลยเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามคำร้อง ก็ชอบที่ศาลจะยกคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 85/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการเฉลี่ยทรัพย์ของเจ้าหนี้ภาษีอากร และอำนาจศาลในการวินิจฉัยความชอบของหนี้
ป.รัษฎากรมาตรา12ให้อำนาจกรมสรรพากรผู้ร้องเพื่อให้ได้รับชำระค่าภาษีอากรค้างให้มีสิทธิที่จะสั่งยึดและสั่งขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรได้โดยไม่ต้องนำคดีมาฟ้องต่อศาลสิทธิดังกล่าวถือได้ว่าเป็นสิทธิอื่นๆซึ่งบุคคลภายนอกอาจขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินได้ ผู้ร้องจึงมีอำนาจร้องขอเฉลี่ยได้ตามป.วิ.พ.มาตรา287,290 ในกรณีที่ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตาม ป.รัษฎากรยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ที่โจทก์นำยึดจากจำเลยนั้นโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกย่อมมีสิทธิที่จะโต้แย้งคัดค้านได้ว่าหนี้ที่ผู้ร้องขอเฉลี่ยนั้นไม่ชอบผู้ร้องไม่มีสิทธิเข้าเฉลี่ยและศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยตามประเด็นที่ว่าจำเลยเป็นหนี้ผู้ร้องโดยชอบหรือไม่เพื่อวินิจฉัยให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยได้หรือไม่ข้อวินิจฉัยศาลดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นการเพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินซึ่งยังคงผูกพันจำเลยอยู่และเมื่อศาลวินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงว่าหนี้อันเกิดจากการหลอกลวงของจำเลยเป็นเหตุให้เจ้าพนักงานประเมินประเมินให้จำเลยเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามคำร้องก็ชอบที่ศาลจะยกคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 857/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลฎีกาในการพิพากษาถึงจำเลยที่ไม่ฎีกา กรณีความผิดร่วมกัน
โจทก์แยกฟ้องจำเลย ว.และท. มาเป็นสามสำนวน ข้อหาร่วมกันพยายามปล้นทรัพย์ ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาและพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสามสำนวน โจทก์ทั้งสามสำนวนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้ลงโทษจำเลยและ ว.ตามฟ้อง ส่วน ท. คดียังเป็นที่สงสัยให้ยกฟ้องยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยผู้เดียวฎีกา ดังนี้เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังว่าจำเลยพยายามปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย ย่อมมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึง ว. ซึ่งมิได้ฎีกาได้ เพราะเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ตาม ประมวลวิธีพิจารณาอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 686/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบรถจักรยานยนต์ที่ใช้ในการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์: ศาลมีอำนาจสั่งริบได้หากมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง
รถจักรยานยนต์ของกลางที่จำเลยที่1กับพวกใช้แล่นไล่ตามและขับปาดหน้ารถจักรยานยนต์ผู้เสียหายให้หยุดเพื่อทำการปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย.ถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์ศาลมีอำนาจสั่งริบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา33.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 68/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการงด/รอการบังคับคดี และผลของคำพิพากษาศาลฎีกาที่ผูกพันจำเลย แม้มีคดีอาญา
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา21(4)มิได้บังคับศาลให้จำต้องทำการไต่สวนก่อนมีคำสั่งทุกเรื่องทุกคดีแต่ให้อำนาจศาลทำการไต่สวนหรือไม่ทำการไต่สวนได้ตามที่เห็นสมควร ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา293ให้อำนาจลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่ได้ฟ้องเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเป็นคดีเรื่องอื่นขอให้ศาลงดการบังคับคดีที่ต้องมีการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินของตนโดยอ้างว่าถ้าตนชนะคดีแล้วสามารถหักกลบลบหนี้กันได้เมื่อจำเลยขอให้งดหรือรอการบังคับคดีที่ศาลฎีกาได้พิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยจดทะเบียนที่ดินของจำเลยตามส่วนให้เป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์และห้ามมิให้จำเลยถอนเสาไฟฟ้าที่ปักอยู่ในที่ดินพิพาทดังนี้เป็นเรื่องขอให้งดการบังคับคดีทั่วไปซึ่งเป็นอำนาจของศาลที่จะมีคำสั่งงดการบังคับคดีหรือไม่ก็ได้ตามมาตรา292(2)ซึ่งคำพิพากษาศาลฎีกาย่อมผูกพันจำเลยแม้จำเลยจะชนะคดีอาญาผลของคำพิพากษาคดีอาญาหาอาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวไม่การที่จำเลยฟ้องคดีอาญาว่าโจทก์ร่วมกับเจ้าพนักงานทำพยานเอกสารอันเป็นเท็จจึงหาเป็นเหตุเพียงพอให้ศาลงดหรือรอการบังคับคดีนี้ไว้ไม่จึงไม่ต้องไต่สวนตามคำขอของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 502/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชี้สองสถานและการยื่นบัญชีระบุพยาน: ศาลมีอำนาจสั่งไม่ต้องชี้สองสถานหากคดีไม่ซับซ้อน และมีสิทธิไม่รับบัญชีระบุพยานหากจำเลยประมาทเลินเล่อ
ป.วิ.พ.มาตรา182ได้ให้อำนาจศาลไว้ว่าถ้าทำการชี้สองสถานแล้วจะทำให้การพิจารณาง่ายเข้าก็ให้ทำการชี้สองสถานได้ดังนั้นหากคดีไม่มีประเด็นข้อยุ่งยากศาลก็ไม่จำต้องชี้สองสถาน จำเลยยื่นคำให้การวันที่1เมษายน2526ศาลชั้นต้นกำหนดสืบพยานโจทก์ในวันที่2พฤษภาคม2526เป็นเวลาถึง1เดือนไม่ถือว่าเป็นการเร็วเกินไป จำเลยยื่นคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานความว่าตัวจำเลยเดินทางไปต่างจังหวัดทนายจำเลยไม่ทราบว่าจังหวัดไหนติดต่อกันไม่ได้จำเลยเพิ่งเดินทางกลับมาวันนี้เมื่อศาลนัดสืบพยานโจทก์ในวันนี้จึงไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานได้ทันภายใน3วันก่อนวันสืบพยานโจทก์เป็นเหตุผลอันไม่สมควรที่จะให้ศาลชั้นต้นรับบัญชีระบุพยานของจำเลย จำเลยไม่ยื่นบัญชีระบุพยานถือว่าไม่มีพยานมาสืบไม่มีเหตุที่จะให้พิจารณาคดีใหม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4807/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์ในการพิพากษาจำเลยที่ไม่เคยอุทธรณ์ ต้องพิจารณาเหตุที่เกี่ยวข้องกับคดีทั้งหมด มิใช่เหตุส่วนตัว
เหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีนั้น ต้องเป็นเหตุที่เกี่ยวข้องกับคดีนั้นทั้งเรื่อง มิใช่เหตุส่วนตัวของจำเลยคนใดคนหนึ่ง ดังนั้นการที่จะวินิจฉัยว่าจำเลยคนใดมีเจตนาบุกรุกหรือไม่ จะต้องพิเคราะห์ถึงการกระทำของจำเลยแต่ละคนการที่จำเลยที่ 1 เปิดประตูเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายด้วยตนเอง ต่อมาจึงเรียกจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้ตามขึ้นไปในภายหลังนั้นจะเห็นได้ว่าการกระทำของจำเลยแต่ละคนหาเกี่ยวข้องกันทั้งเรื่องไม่ กรณีเป็นเหตุส่วนตัวของจำเลยแต่ละคนโดยแท้มิใช่เหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจก้าวล่วงเข้าไปวินิจฉัยถึงการกระทำของจำเลยที่ 1 ว่าขาดเจตนาทุจริตและที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ด้วยนั้นไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4807/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตอำนาจศาลอุทธรณ์ในการพิพากษาถึงจำเลยที่มิได้อุทธรณ์ ต้องพิจารณาเหตุที่เกี่ยวข้องกับคดีทั้งหมด ไม่ใช่เหตุส่วนตัว
เหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีนั้น ต้องเป็นเหตุที่เกี่ยวข้องกับคดีนั้นทั้งเรื่อง มิใช่เหตุส่วนตัวของจำเลยคนใดคนหนึ่ง ดังนั้นการที่จะวินิจฉัยว่าจำเลยคนใดมีเจตนาบุกรุกหรือไม่ จะต้องพิเคราะห์ถึงการกระทำของจำเลยแต่ละคนการที่จำเลยที่ 1 เปิดประตูเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายด้วยตนเอง ต่อมาจึงเรียกจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้ตามขึ้นไปในภายหลังนั้นจะเห็นได้ว่าการกระทำของจำเลยแต่ละคนหาเกี่ยวข้องกันทั้งเรื่องไม่กรณีเป็นเหตุส่วนตัวของจำเลยแต่ละคนโดยแท้มิใช่เหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจก้าวล่วงเข้าไปวินิจฉัยถึงการกระทำของจำเลยที่ 1 ว่าขาดเจตนาทุจริตและที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ด้วยนั้นไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
of 222