พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,220 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2054/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ฟ้องคดีแพ่ง: ความเกี่ยวข้องกันของคำฟ้องเดิมและคำขอแก้ฟ้อง, การกู้ยืมเงินและยึดที่ดินเป็นประกัน
เดิมโจทก์ฟ้องว่า ไปทำสัญญาต่ออำเภอขายฝากนาให้จำเลย ขอให้จำเลยรับเงินและคืนนาให้โจทก์ แล้วโจทก์ขอแก้ฟ้องเป็นว่า ไม่ได้ทำสัญญาขายฝาก ความจริงได้ทำสัญญากู้เงินจำเลย มอบที่นาให้จำเลยยึดไว้เป็นประกันต่างดอกเบี้ย ดังนี้ ถือว่าคำขอแก้ฟ้องกับคำฟ้องเดิม มีความเกี่ยวข้องกัน ให้แก้ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1884/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อเท็จจริงคดีอาญาใช้ไม่ได้ผูกพันคดีแพ่ง หากโจทก์มิได้เป็นคู่ความ และศาลไม่ได้อาศัยข้อเท็จจริงนั้นในการพิพากษา
จำเลยต่อสู้ว่า หนี้ค่าสุกรเกิดจากการซื้อขายอันมีวัตถุประสงค์ขัดต่อกฎหมายจะต้องนำสืบให้ปรากฎว่า โจทก์ได้สมคบในการฝ่าฝืนประกาศของเจ้าพนักงานควบคุม ฯ ด้วย.
คดีแพ่งที่จะถือตามข้อเท็จจริงในคดีอาญานั้น ต้องปรากฎว่าคู่ความในคดีอาญากับในคดีแพ่งเป็นคนเดียวกัน และศาลพิพากษาคดีอาญาโดยอาศัยข้อเท็จจริงดังนั้น
ศาลอาจฟังหลักฐานไม่ตรงกับถ้อยคำคู่ความที่อำเภอบันทึกไว้ได้ ไม่เป็นการสืบแก้ไขเอกสาร เพราะไม่ใช่เรื่องที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีเอกสารมาแสดง.
คดีแพ่งที่จะถือตามข้อเท็จจริงในคดีอาญานั้น ต้องปรากฎว่าคู่ความในคดีอาญากับในคดีแพ่งเป็นคนเดียวกัน และศาลพิพากษาคดีอาญาโดยอาศัยข้อเท็จจริงดังนั้น
ศาลอาจฟังหลักฐานไม่ตรงกับถ้อยคำคู่ความที่อำเภอบันทึกไว้ได้ ไม่เป็นการสืบแก้ไขเอกสาร เพราะไม่ใช่เรื่องที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีเอกสารมาแสดง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1590/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตคำขอในคดีแสดงกรรมสิทธิ์: ศาลต้องตัดสินตามที่โจทก์ขอเท่านั้น แม้จะมีส่วนเกินที่ไม่ได้ระบุในคำขอ
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินหมายเลข 2 ตามแผนที่ท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ ทางพิจารณาได้ความว่า ที่ที่โจทก์ขอตามฟ้องเป็นของโจทก์ และปรากฏว่าโจทก์ปลูกห้องแถวรุกล้ำเข้าไปในที่ของจำเลย 2 ศอก ศาลก็ควรพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามที่โจทก์ขอมาเท่านั้น ที่ 2 ศอก ที่เกินมานี้ไม่มีประเด็นขึ้นมาในคดี ศาลหาควรวินิจฉัยถึงไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1188/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกฟ้องคดีแพ่งเนื่องจากโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุน แม้จะมีการดำเนินกระบวนพิจารณา
คดีแพ่ง โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน ครั้นถึงวันนัดโจทก์ยื่นคำร้องขอเลื่อนอ้างว่าทนายไปกิจธุระยังไม่กลับและทั้งปรากฏว่าโจทก์ยังไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาล จำเลยคัดค้านในการเลื่อน ศาลไม่อนุญาตให้เลื่อน และพิพากษายกฟ้อง โดยถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ ดังนี้ไม่ใช่เป็นการทิ้งฟ้องตามมาตรา 174ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ทั้งไม่ใช่การขาดนัดพิจารณาตามมาตรา 201 คดีได้มีการดำเนินกระบวนพิจารณาหากแต่พยานหลักฐานของโจทก์ ต้องห้ามมิให้ศาลรับฟังตามมาตรา 87(2) คำฟ้องของโจทก์จึงไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุนศาลต้องพิพากษายกฟ้อง และจะสั่งจำหน่ายคดีไม่ได้แม้จะถือว่าโจทก์ขาดนัด เมื่อจำเลยร้องขอให้ดำเนินกระบวนพิจารณาไป ศาลก็ต้องตัดสินคดีไปเช่นเดียวกัน ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 201 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1012/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การให้การของผู้จำเลยในคดีแพ่งต้องชัดเจน หากไม่ปฏิเสธข้อกล่าวหา ศาลย่อมถือว่าจำเลยรับ
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง จำเลยต้องให้การโดยชัดแจ้งรวมทั้งเหตุแห่งการนั้นด้วยข้อที่โจทก์กล่าวหาข้อใด จำเลยไม่ปฏิเสธโดยชัดแจ้ง ถือว่าจำเลยให้การรับ (อ้างฎีกาที่ 218/2488)
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาเพราะไม่ยอมรับฟืนที่โจทก์ส่งแล้วโดยถูกต้อง จำเลยที่ 1,2 ให้การลอยๆ ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาหาได้กล่าวไม่ว่า โจทก์ผิดสัญญาด้วยประการใดจึงไม่เป็นการให้การโดยชัดแจ้ง และไม่ได้แสดงเหตุแห่งการนั้นตามมาตรา 177 ส่วนคำให้การของจำเลยที่ 3 เป็นแต่เพียงจำเลยที่ 3 เข้าใจ จำเลยที่ 3 ไม่ได้ต่อสู้โดยชัดแจ้งว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจึงต้องถือว่าจำเลยทั้ง 3 ไม่ได้เถียงและประเด็นว่า โจทก์ผิดสัญญาหรือไม่ จึงไม่เกิดขึ้น ต้องฟังว่าโจทก์ส่งคืนถูกต้องตามสัญญาแล้วอนึ่งการที่จำเลยที่ 3 ปฏิเสธสัญญาโดยอ้างการตรวจของคณะกรรมการ ซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นการไม่ชอบนี้ หากจำเลยจะโต้เถียงคำของโจทก์ว่าการตรวจและความเห็นของคณะกรรมการชอบแล้วจำเลยก็มีหน้าที่ตามมาตรา 177 ที่จะต้องกล่าวโดยชัดแจ้ง และแสดงเหตุดังได้กล่าวแล้ว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาเพราะไม่ยอมรับฟืนที่โจทก์ส่งแล้วโดยถูกต้อง จำเลยที่ 1,2 ให้การลอยๆ ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาหาได้กล่าวไม่ว่า โจทก์ผิดสัญญาด้วยประการใดจึงไม่เป็นการให้การโดยชัดแจ้ง และไม่ได้แสดงเหตุแห่งการนั้นตามมาตรา 177 ส่วนคำให้การของจำเลยที่ 3 เป็นแต่เพียงจำเลยที่ 3 เข้าใจ จำเลยที่ 3 ไม่ได้ต่อสู้โดยชัดแจ้งว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจึงต้องถือว่าจำเลยทั้ง 3 ไม่ได้เถียงและประเด็นว่า โจทก์ผิดสัญญาหรือไม่ จึงไม่เกิดขึ้น ต้องฟังว่าโจทก์ส่งคืนถูกต้องตามสัญญาแล้วอนึ่งการที่จำเลยที่ 3 ปฏิเสธสัญญาโดยอ้างการตรวจของคณะกรรมการ ซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นการไม่ชอบนี้ หากจำเลยจะโต้เถียงคำของโจทก์ว่าการตรวจและความเห็นของคณะกรรมการชอบแล้วจำเลยก็มีหน้าที่ตามมาตรา 177 ที่จะต้องกล่าวโดยชัดแจ้ง และแสดงเหตุดังได้กล่าวแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 992/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องคดีแพ่งไม่เคลือบคลุม แม้ไม่ระบุวันเดือนปีเกิดสัญญา หากข้อหาและข้อต่อสู้ชัดเจน
ข้อความที่จะต้องกล่าวในคำฟ้องที่แพ่งนั้น ย่อมต่างกับฟ้องคดีอาญา เพราะในคดีแพ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสิทธิหน้าที่และความรับผิดชอบ ฉะนั้นรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำบางอย่าง จึงมิใช่ข้อสำคัญที่จะต้องกล่าวในคำฟ้องคดีแพ่งอย่างที่บังคับไว้ในมาตรา 158 ป.ม.วิ.อาญาในคดีแพ่งมีบทบังคับไว้ในมาตรา 172 ป.ม.วิ.แพ่งแล้ว
โจทก์กล่าวในคำฟ้องได้ความว่า เมื่อวันเวลาใดจำไม่ได้ราวเดือน มีนาคม 2489 จำเลยได้ตกลงขายนาให้โจทก์ บัดนี้ถึงกำหนดโอนกันแล้ว จำเลยกลับบิดพริ้วไม่ยอมโอน ทั้งฝ่ายจำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยไม่ได้ทำสัญญาจะขายที่นาให้แก่โจทก์ดังฟ้องเลย ดังนี้ สภาพแห่งข้อหาของโจทก์ก็ดี ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นก็ดี ได้ปรากฏแจ้งชัดในคำฟ้องนั้นแล้ว โดยจำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จึงได้ปฏิเสธว่าไม่เคยทำสัญญาเช่นว่านั้นกับโจทก์เลย ฟ้องของโจทก์จึงถูกต้องตามกฎหมายแล้ว
โจทก์กล่าวในคำฟ้องได้ความว่า เมื่อวันเวลาใดจำไม่ได้ราวเดือน มีนาคม 2489 จำเลยได้ตกลงขายนาให้โจทก์ บัดนี้ถึงกำหนดโอนกันแล้ว จำเลยกลับบิดพริ้วไม่ยอมโอน ทั้งฝ่ายจำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยไม่ได้ทำสัญญาจะขายที่นาให้แก่โจทก์ดังฟ้องเลย ดังนี้ สภาพแห่งข้อหาของโจทก์ก็ดี ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นก็ดี ได้ปรากฏแจ้งชัดในคำฟ้องนั้นแล้ว โดยจำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จึงได้ปฏิเสธว่าไม่เคยทำสัญญาเช่นว่านั้นกับโจทก์เลย ฟ้องของโจทก์จึงถูกต้องตามกฎหมายแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 992/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องคดีแพ่งไม่จำเป็นต้องระบุวันเดือนปีที่แน่นอน หากข้อหาและข้อต่อสู้ชัดเจน
ข้อความที่จะต้องกล่าวในคำฟ้องคดีแพ่งนั้น ย่อมต่างกับฟ้องคดีอาญาเพราะในคดีแพ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสิทธิหน้าที่และความรับผิดฉะนั้นรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำบางอย่าง จึงมิใช่ข้อสำคัญที่จะต้องกล่าวในคำฟ้องคดีแพ่ง อย่างที่บังคับไว้ในมาตรา 158 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในคดีแพ่งมีบทบังคับไว้ในมาตรา 172 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแล้ว
โจทก์กล่าวในคำฟ้องได้ความว่าเมื่อวันเวลาใดจำไม่ได้ราวเดือนมีนาคม 2489 จำเลยได้ตกลงขายนาให้โจทก์บัดนี้ถึงกำหนดโอนกันแล้วจำเลยกลับบิดพริ้วไม่ยอมโอน ทั้งฝ่ายจำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยไม่ได้ทำสัญญาจะขายที่นาให้แก่โจทก์ดังฟ้องเลย ดังนี้ สภาพแห่งข้อหาของโจทก์ก็ดี ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นก็ดี ได้ปรากฏแจ้งชัดในคำฟ้องนั้นแล้ว โดยจำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จึงได้ปฏิเสธว่าไม่เคยทำสัญญาเช่นว่านั้นกับโจทก์เลย ฟ้องของโจทก์จึงถูกต้องตามกฎหมายแล้ว
โจทก์กล่าวในคำฟ้องได้ความว่าเมื่อวันเวลาใดจำไม่ได้ราวเดือนมีนาคม 2489 จำเลยได้ตกลงขายนาให้โจทก์บัดนี้ถึงกำหนดโอนกันแล้วจำเลยกลับบิดพริ้วไม่ยอมโอน ทั้งฝ่ายจำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยไม่ได้ทำสัญญาจะขายที่นาให้แก่โจทก์ดังฟ้องเลย ดังนี้ สภาพแห่งข้อหาของโจทก์ก็ดี ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นก็ดี ได้ปรากฏแจ้งชัดในคำฟ้องนั้นแล้ว โดยจำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จึงได้ปฏิเสธว่าไม่เคยทำสัญญาเช่นว่านั้นกับโจทก์เลย ฟ้องของโจทก์จึงถูกต้องตามกฎหมายแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำพิพากษาคดีอาญาไม่ผูกพันคดีแพ่ง หากคดีแพ่งมีการนำสืบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจนฟังได้ชัดเจน
ศาลพิพากษาชี้ขาดข้อเท็จจริงในคดีอาญาที่อัยยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ว่า "ผู้เสียหายไม่รู้ว่าเขตต์โฉนดของตนอยู่แค่ไหน จำเลยจะบุกรุกเข้าไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่หาว่าจำเลยบุกรุกเข้าไป ก็เพราะสังเกตไว้เข้าใจเอาเท่านั้น ฟังไม่ได้แน่นอนว่า จำเลยรุกที่ดินของผู้เสียหายฯลฯ" ดังนี้ ถือว่าศาลไม่ได้ชี้ขาดว่าจำเลยไม่ได้รุกที่ดินของผู้เสียหาย เป็นแต่ว่า ผู้เสียหายไม่รู้เขตต์ที่ คือ นำสืบไม่ชัดว่า ที่ดินของผู้เสียหายแค่ไหน จึงลงโทษจำเลยทางอาญาไม่ได้เท่านั้น ฉะนั้น เมื่อผู้เสียหายเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเรียกค่าเสียหายทางแพ่งได้จัดการทำแผนที่วิวาท และนำสืบจนฟังได้แน่นอนว่า จำเลยรุกที่ของโจทก์แล้ว ศาลก็ย่อมฟังข้อเท็จจริงในคดีแพ่งว่า จำเลยรุกที่ดินโจทก์ได้ ไม่ต้องห้ามตาม ป.ม.วิ.อาญา มาตรา 46.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 781/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวางกองหินกีดขวางทางสาธารณะหลังสัญญาเช่าหมดอายุ เป็นเรื่องทางแพ่ง ไม่ใช่คดีอาญา
จำเลยกองหินในทางหลวงถนนสาธารณะ โดยได้ทำสัญญาเช่ากับเทศบาล เมื่อสัญญาเช่าสิ้นอายุแล้ว จำเลยไม่จัดการขนย้ายไป ดังนี้ เป็นเรื่องที่จะต้องจัดการแก่จำเลยทางแพ่ง จะฟ้องขอให้ลงโทษฐานกองหินเกะกะทางหลวงตามกฎหมายลักษณะอาญา และ พ.ร.บ.จราจรหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 781/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกองหินเกะกะทางหลวงหลังสัญญาเช่าหมดอายุ เป็นประเด็นทางแพ่ง ไม่เป็นคดีอาญา
จำเลยกองหินในทางหลวงถนนสาธารณะ โดยได้ทำสัญญาเช่ากับเทศบาลเมื่อสัญญาเช่าสิ้นอายุแล้ว จำเลยไม่จัดการขนย้ายไป ดังนี้ เป็นเรื่องที่จะต้องจัดการแก่จำเลยทางแพ่ง จะฟ้องขอให้ลงโทษฐานกองหินเกะกะทางหลวงตามกฎหมายลักษณะอาญา และพ.ร.บ.จราจรหาได้ไม่