พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,822 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1508/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องร้องค่าเสียหายจากประกันภัยรถยนต์: ใช้มาตรา 882 หรือ 448
โจทก์ฟ้องเรียกให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันเกิดเหตุใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัย อันเป็นการฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 วรรคสอง มีอายุความ 2 ปีนับแต่วันเกิดวินาศภัยตามมาตรา 882 วรรคแรก จะนำเอาอายุความในมูลละเมิดตามมาตรา 448 มาใช้แก่จำเลยที่ 2 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1478/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกค่าเสียหายจากประกันภัย: สิทธิรับช่วงสิทธิ vs. มูลละเมิด
ผู้รับประกันภัยอาศัยสิทธิโดยการรับช่วงสิทธิตามสัญญาประกันภัยฟ้องเรียกเงินที่ได้ชดใช้ให้แก่ผู้เอาประกันภัยไปตามสัญญาประกันภัยจากผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถคันเกิดเหตุมีอายุความ 2 ปีนับแต่วันเกิดวินาศภัย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 882 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1343/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องแย้งจำกัดเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม และการเรียกร้องค่าเสียหายจากกระบวนการชั่วคราวก่อนพิพากษาต้องฟ้องเป็นคดีต่างหาก
ฎีกาของโจทก์ที่ว่าฟ้องแย้งเป็นฟ้องซ้ำกับคดีอื่นเป็นฎีกาข้อที่โจทก์มิได้ให้การต่อสู้ไว้ในคำให้การแก้ฟ้องแย้งจึงไม่มีประเด็นและเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แม้จะเป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องอันเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่ศาลฎีกาไม่เห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)ประกอบมาตรา 246, และ 247 ฎีกาของโจทก์ที่ว่าฟ้องแย้งไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมแม้โจทก์จะมิได้ให้การแก้ฟ้องแย้งในข้อดังกล่าวไว้ แต่ข้อฎีกานี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องอันเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะยกขึ้นอ้างซึ่งปัญหาดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคสอง ปัญหาว่าที่พิพาทโจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครอง โจทก์และจำเลยยังโต้เถียงกันอยู่ในขณะจำเลยฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายที่ขาดกำไรสุทธิจากการทำเหมืองแร่ในที่พิพาท ทั้งสิทธิทำเหมืองแร่ในที่พิพาทของจำเลยก็ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของทางราชการจำเลยยังไม่มีสิทธิโดยสมบูรณ์ที่จะเข้าทำเหมืองแร่ในที่พิพาทการที่โจทก์ไปร้องคัดค้านการขอออกประทานบัตรของจำเลย ฟ้องคดีนี้และนำสำเนาคำฟ้องไปยื่นร้องคัดค้านต่อกรมทรัพยากรธรณีจึงยังไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของจำเลยซึ่งยังไม่มีอยู่ในขณะฟ้องแย้งฟ้องแย้งดังกล่าวเป็นฟ้องที่มิชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 จำเลยจึงไม่มีอำนาจฟ้องแย้งในส่วนนี้ ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยที่แก้ไขขอให้ศาลพิพากษาว่าจำเลยที่ 2เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทตามที่จำเลยที่ 2 ได้รับประทานบัตรห้ามมิให้โจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้โจทก์รื้อถอนเรือนแถวที่พักของคนงาน และทำให้ที่ดินมีสภาพเหมือนเดิมและให้โจทก์ทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยวันละ 15,000 บาท นับแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน2521 เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยทั้งสองจะได้เข้าทำเหมืองแร่ตามประทานบัตรนั้น แม้โจทก์ที่ 1 จะมิได้ยกขึ้นฎีกา แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องอันเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246 และ 247 ปรากฏว่าจำเลยที่ 2ได้รับประทานบัตรทำเหมืองแร่ในที่พิพาทตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน2521 จำเลยขอแก้ไขฟ้องแย้งและได้รับอนุญาตจากศาลเมื่อวันที่13 ธันวาคม 2521 ซึ่งเป็นภายหลังจากที่จำเลยที่ 2 ได้รับประทานบัตรดังกล่าวแล้ว จำเลยจึงมีสิทธิในที่พิพาทในขณะที่ขอแก้ไขฟ้องแย้งการที่โจทก์ฟ้องขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองเข้าเกี่ยวข้องรบกวนสิทธิครอบครองของโจทก์ในที่พิพาทจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของจำเลยแล้ว ทั้งการที่จำเลยแก้ไขฟ้องแย้งดังกล่าวถือได้ว่าเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม จำเลยจึงมีอำนาจฟ้องแย้งในส่วนดังกล่าว แต่ที่จำเลยขอให้โจทก์ทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยวันละ15,000 บาท นั้น ปรากฏว่า มูลหนี้ตามฟ้องแย้งของจำเลยเกิดจากกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่เรียกว่าวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา อันเป็นกรณีที่เกิดขึ้นตามบทบัญญัติของกฎหมาย คือ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งต่างหากจากคำฟ้องเดิม ฟ้องแย้งของจำเลยเรียกค่าเสียหายดังกล่าวจากโจทก์จึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ชอบที่จะฟ้องโจทก์เป็นคดีต่างหากตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1126/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมเฉพาะทางอาญา ไม่กระทบสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่ง
ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลอาญาบันทึกไว้เพียงว่า โจทก์ได้รับเงิน 10,000 บาท จากจำเลยที่ 1 เพื่อบรรเทาความเสียหายจนเป็นที่พอใจแล้ว ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีทางอาญาแก่จำเลยที่ 1ต่อไปเป็นบันทึกว่าโจทก์ไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ต่อไปเฉพาะในทางอาญาเท่านั้น มิใช่ตกลงระงับข้อพิพาททางแพ่งไม่ทำให้หนี้ละเมิดระงับ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1120/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องร่วมกันในคดีละเมิด และการบรรยายฟ้องค่าเสียหายที่ไม่ชัดเจน
โจทก์ที่ 4 ขับรถยนต์บรรทุกของโจทก์ที่ 1 จำเลยที่ 1ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างชนรถยนต์บรรทุกที่โจทก์ที่ 4 ขับ เป็นเหตุให้รถยนต์บรรทุกของโจทก์ที่ 1 เสียหายโจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 3 ซึ่งนั่งอยู่ในรถที่โจทก์ที่ 4 ขับกับโจทก์ที่ 4 ได้รับบาดเจ็บ โจทก์ทั้งสี่ฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดจากมูลละเมิดที่เกิดขึ้นในคราวเดียวกัน โจทก์ทั้งสี่ย่อมมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี จึงฟ้องร่วมกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59 มูลหนี้เกิดจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ทั้งสี่ในคราวเดียวกัน แต่ความเสียหายที่จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดต่อโจทก์แต่ละคนย่อมต้องแล้วแต่ผลแห่งละเมิดที่โจทก์แต่ละคนได้รับจากมูลละเมิดนั้น ดังนั้น ในส่วนที่เกี่ยวกับค่าเสียหายโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 จึงมิได้เป็นเจ้าหนี้จำเลยทั้งสองร่วมกันโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ต้องบรรยายฟ้องให้ชัดเจนว่าโจทก์แต่ละคนมีสิทธิจะได้ค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองเท่าใดการที่โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 บรรยายฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดรวมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ถือได้ว่าเป็นการบรรยายคำขอบังคับไม่แจ้งชัด คำฟ้องของโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 จึงเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1120/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องร่วมกันในคดีละเมิด และความชัดเจนของคำฟ้องเกี่ยวกับค่าเสียหายของโจทก์แต่ละคน
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดจากมูลละเมิดที่เกิดขึ้นในคราวเดียวกัน โจทก์ทั้งสี่ย่อมมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี จึงฟ้องคดีร่วมกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59 แม้มูลหนี้เกิดจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ในคราวเดียวกันแต่ความเสียหายที่จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดต่อโจทก์แต่ละคนย่อมต้องแล้วแต่ผลแห่งละเมิดที่โจทก์แต่ละคนได้รับจากมูลละเมิดนั้นในส่วนที่เกี่ยวกับค่าเสียหาย โจทก์จึงมิได้เป็นเจ้าหนี้จำเลยทั้งสองร่วมกัน ดังนั้นโจทก์จึงต้องบรรยายฟ้องให้ชัดเจนว่าโจทก์แต่ละคนมีสิทธิจะได้ค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองเท่าใดการที่โจทก์บรรยายฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดรวมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ถือได้ว่าเป็นการบรรยายคำขอบังคับไม่แจ้งชัดคำฟ้องของโจทก์จึงเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 950/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงชดใช้ค่าเสียหายไม่สมบูรณ์ ไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์มีอำนาจฟ้องได้
พนักงานสอบสวนบันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีว่า จำเลยเป็นผู้ขับรถชนรถโจทก์กับรถของผู้อื่นอีก 2 คัน เสียหายจริง และยินดีชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากเหตุดังกล่าวทั้งทางแพ่งและทางอาญา ทั้งรับปากต่อหน้าโจทก์ว่า จะจัดการเรื่องค่าเสียหายที่เกิดขึ้นโดยผ่านผู้รับประกันภัยที่เกี่ยวข้อง ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยดังกล่าวไม่เป็นสัญญาระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นให้เสร็จสิ้นไปทีเดียว ยังมีเงื่อนไขให้ไปตกลงค่าเสียหายผ่านผู้รับประกันภัยรถยนต์ของคู่กรณีที่เกี่ยวข้อง เป็นข้อตกลงที่ยังไม่ปราศจากการโต้แย้งกันอีกจึงมิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความอันจะทำให้มูลละเมิดระงับไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 872/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: คดีขับไล่และค่าเสียหาย ศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น ฎีกาในข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องอ้างว่า จำเลยละเมิดปลูกสร้างร้านค้าและที่อยู่อาศัยของจำเลยในที่ดินพิพาทของโจทก์ ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยรื้อถอนร้านค้าและที่อยู่อาศัยออกไปจากที่ดินพิพาท ซึ่งถ้าหากให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าไม่น้อยกว่าเดือนละ 500 บาท จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลภายนอก จึงเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลในกรณีอื่นออกจากอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งในขณะยื่นคำฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 5,000 บาท และจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้นจึงห้ามคู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 80/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากการชนรถไฟ: การประเมินค่าเสียหายที่สมเหตุสมผลและการแบ่งความรับผิด
จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกและได้นำเข้าไปร่วมในกิจการค้าของจำเลยที่ 3 ซึ่งจดทะเบียนประกอบการขนส่งไว้ เมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 มีหน้าที่ในการขับรถยนต์บรรทุกได้ขับรถยนต์บรรทุกไปในทางการที่จ้างให้แก่จำเลยที่ 2ด้วยความประมาทชนกับรถไฟของโจทก์ ดังนี้จำเลยที่ 2 และที่ 3ต้องร่วมกันรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ในฐานะที่เป็นนายจ้างร่วมกันของจำเลยที่ 1 ค่าเสียหายในการซ่อมรถไฟคันเกิดเหตุ โจทก์มีสิทธิได้รับชดใช้ค่าแรงและค่าของที่โจทก์ได้ใช้จ่ายไปจริงในการซ่อมดังกล่าวส่วนค่าเสียหายซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในโรงงาน ซึ่งมีค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ค่าเชื้อเพลิง ค่าเครื่องจักรทำงาน ค่าเสื่อมราคากับค่าบำรุงรักษาเครื่องจักรและค่าควบคุมซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่โจทก์เสียไปในการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงที่เกิดเหตุละเมิดขึ้นนั้น โจทก์คิดคำนวณค่าใช้จ่ายทั้งสองรายการดังกล่าวมาจากสถิติตามระเบียบของการรถไฟปี พ.ศ. 2525 จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการคิดมาจากผลการทำละเมิด โจทก์ย่อมไม่สามารถเอาค่าใช้จ่ายทั้งสองรายการนี้มารวมกับค่าแรงและค่าของเพื่อคิดเป็นค่าเสียหายในการซ่อมรถไฟคันเกิดเหตุได้สำหรับค่าเสียหายด้านการโดยสารนั้น เนื่องจากเหตุที่รถไฟตกรางทำให้การเดินรถต้องหยุดชะงักเป็นเหตุให้โจทก์ขาดรายได้ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าว แต่โจทก์คำนวณค่าเสียหายดังกล่าวจากสถิติการจำหน่ายตั๋วรถไฟหลายขบวนที่โจทก์เคยได้รับค่าโดยสารมาถัวเฉลี่ย มิใช่รายได้ที่โจทก์ขาดไปจริง ศาลจึงมีอำนาจที่จะกำหนดค่าเสียหายจำนวนนี้ให้ได้ตามจำนวนที่เห็นว่าเหมาะสม นอกจากนี้โจทก์ยังมีสิทธิได้รับชดใช้ค่าเสียหายในการซ่อมทางของฝ่ายการช่างโยธาทั้งค่าแรงและค่าของ ค่าแรงในการยกรถตกราง และค่าลากจูงรถไฟคันเกิดเหตุตามจำนวนที่ได้ใช้จ่ายไปจริง แต่ค่าโอเวอร์เฮดชาร์จในการยกรถตกราง ค่าอาหารเลี้ยงดูผู้ปฏิบัติงานและค่าควบคุมนั้น โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าค่าโอเวอร์เฮดชาร์จกับค่าควบคุมซึ่งโจทก์คิดในอัตราร้อยละ51 และ 25 ของค่าแรงยกรถนั้นเกี่ยวข้องกับการซ่อมรายนี้อย่างไรและมีหลักการคิดคำนวณอย่างไร จึงฟังไม่ได้ว่าเป็นค่าเสียหายที่เป็นผลโดยตรงจากการละเมิด ส่วนค่าอาหารเลี้ยงดูผู้ปฏิบัติงานโจทก์มิได้สืบว่าเหตุใดเมื่อจ่ายค่าแรงแล้วต้องจ่ายค่าอาหารอีกจึงเป็นค่าเสียหายที่ซ้ำซ้อน โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยทั้งสาม สำหรับค่าจัดรถพิเศษช่วยอันตรายที่โจทก์ต้องจัดขบวนรถไฟพิเศษไปจัดการเปิดทางนั้น โจทก์ได้คำนวณเพิ่มค่าควบคุมรถโดยสารในอัตราร้อยละ 20 รถสินค้าในอัตราร้อยละ 15 ไว้ด้วย โดยคิดคำนวณจากระเบียบของโจทก์ ค่าควบคุมส่วนที่คำนวณเพิ่มขึ้นนี้ถือไม่ได้ว่าเป็นค่าเสียหายโดยตรงจากการทำละเมิด ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้โจทก์ใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 80/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตค่าเสียหายจากการละเมิด: การประเมินค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการซ่อมแซมและผลกระทบจากอุบัติเหตุ
จำเลยขับรถยนต์ประมาทตัดหน้ารถไฟโจทก์เป็นเหตุให้รถไฟโจทก์ชนและเสียหายค่าใช้จ่ายในโรงงานที่โจทก์คิดเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ105.5 ของค่าแรง 1 หน่วย และค่าควบคุมอัตราร้อยละ 25 ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดในโรงงาน และค่าที่โจทก์เสียไปในการสืบสวนสอบสวนเหตุที่เกิดละเมิด แม้พนักงานของโจทก์อ้างว่าเป็นระเบียบของโจทก์ให้ถือปฏิบัติโดยนำวิธีการคำนวณมาจากสถิติก็ตาม ถือไม่ได้ว่าค่าใช้จ่ายทั้งสองส่วนดังกล่าวเป็นค่าใช้จ่ายที่เป็นผลจากการทำละเมิด ค่ายกรถตกรางซึ่งโจทก์คิดเป็นค่าโอเวอร์เฮดชาร์จ ค่าอาหารเลี้ยงดูผู้ปฏิบัติงานและค่าควบคุมเพิ่มขึ้นมานั้น สำหรับค่าโอเวอร์เฮดชาร์จ กับค่าควบคุมซึ่งคิดในอัตราร้อยละ 51 และร้อยละ 25 ของค่าแรงยกรถตามลำดับ โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าเกี่ยวข้องกับการซ่อมอย่างไร และมีหลักการคิดคำนวณอย่างไร จึงยังรับฟังไม่ได้ว่าเป็นค่าเสียหายที่เป็นผลโดยตรงจากการละเมิดส่วนค่าอาหารเลี้ยงดูผู้ปฏิบัติงาน โจทก์มิได้นำสืบว่าเหตุใดเมื่อจ่ายค่าแรงแล้วต้องจ่ายค่าอาหารอีกจึงเป็นค่าเสียหายที่ซ้ำซ้อน ค่าจัดรถพิเศษช่วยอันตรายซึ่งโจทก์เพิ่มค่าควบคุมเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 20 สำหรับรถโดยสารและในอัตราร้อยละ 15 สำหรับรถสินค้า พนักงานของโจทก์อ้างว่าคิดคำนวณจากระเบียบของโจทก์ถือไม่ได้ว่าเป็นค่าเสียหายโดยตรงจากการทำละเมิดเช่นกัน.