พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,024 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2560/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำต้องห้าม: ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่สามารถหยิบยกประเด็นฟ้องซ้ำขึ้นฎีกาได้อีก
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้มีคำพิพากษาว่า การกระทำตามฟ้องคดีนี้ต่างกรรมต่างวาระกัน ฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จำเลยมิได้ฎีกา ปัญหาดังกล่าวจึงยุติและถึงที่สุดไปแล้วตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีใหม่แล้ว จำเลยจะหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นฎีกาอีกไม่ได้ เพราะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2466/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงเบิกเกินบัญชีและการยกข้อต่อสู้ใหม่ในชั้นฎีกา
โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่จำเลยเบิกเกินบัญชี โดยบรรยายฟ้องว่าจำเลยขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์ และตกลงว่าในกรณีเงินฝากคงเหลือในบัญชีดังกล่าวของจำเลยไม่พอจ่าย หากโจทก์ผ่อนผันจ่ายเงินไปก่อนแล้วจำเลยยอมชำระเงินจำนวนที่เบิกเกินบัญชีคืนแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย โดยส่งคำขอเปิดบัญชีและหลักฐานการหักทอนบัญชีมาพร้อมคำฟ้องนั้น เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามป.วิ.พ. มาตรา 172 แล้ว ส่วนข้อที่ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์เมื่อใด มูลหนี้เกี่ยวกับอะไรและที่มาของมูลหนี้นั้น เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถจะสืบได้ในชั้นพิจารณา
จำเลยยื่นเช็คและใบคืนเช็คมาท้ายฎีกาเพื่อสนับสนุนข้อฎีกาของจำเลยที่ว่าไม่เคยทำข้อตกลงบัญชีเดินสะพัดกับโจทก์ โดยจำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุเช็คกับใบคืนเช็คดังกล่าวเป็นพยาน และไม่ได้นำสืบไว้ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงรับฟังเช็คและใบคืนเช็คดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานไม่ได้
จำเลยฎีกาว่า โจทก์อนุมัติจ่ายเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายจากบัญชีของจำเลยโดยประมาทเลินเล่อ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในต้นเงินและดอกเบี้ยโดยจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ในข้อนี้ไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249
จำเลยยื่นเช็คและใบคืนเช็คมาท้ายฎีกาเพื่อสนับสนุนข้อฎีกาของจำเลยที่ว่าไม่เคยทำข้อตกลงบัญชีเดินสะพัดกับโจทก์ โดยจำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุเช็คกับใบคืนเช็คดังกล่าวเป็นพยาน และไม่ได้นำสืบไว้ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงรับฟังเช็คและใบคืนเช็คดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานไม่ได้
จำเลยฎีกาว่า โจทก์อนุมัติจ่ายเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายจากบัญชีของจำเลยโดยประมาทเลินเล่อ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในต้นเงินและดอกเบี้ยโดยจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ในข้อนี้ไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2466/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเบิกเกินบัญชี: คำฟ้องชัดเจน พยานหลักฐานต้องนำสืบในชั้นศาล ข้อฎีกาใหม่ต้องห้าม
โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่จำเลยเบิกเกินบัญชี โดยบรรยายฟ้องว่าจำเลยขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์ และตกลงว่าในกรณีเงินฝากคงเหลือในบัญชีดังกล่าวของจำเลยไม่พอจ่าย หากโจทก์ผ่อนผันจ่ายเงินไปก่อนแล้ว จำเลยยอมชำระเงินจำนวนที่เบิกเกินบัญชีคืนแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย โดยส่งคำขอเปิดบัญชีและหลักฐานการหักทอนบัญชีมาพร้อมคำฟ้องนั้น เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว ส่วนข้อที่ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์เมื่อใด มูลหนี้เกี่ยวกับอะไรและที่มาของมูลหนี้นั้น เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถจะสืบได้ในชั้นพิจารณา จำเลยยื่นเช็คและใบคืนเช็คมาท้ายฎีกาเพื่อสนับสนุนข้อฎีกาของจำเลยที่ว่าไม่เคยทำข้อตกลงบัญชีเดินสะพัดกับโจทก์ โดยจำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุเช็คกับใบคืนเช็คดังกล่าวเป็นพยาน และไม่ได้นำสืบไว้ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น จึงรับฟังเช็คและใบคืนเช็คดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ จำเลยฎีกาว่า โจทก์อนุมัติจ่ายเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายจากบัญชีของจำเลยโดยประมาทเลินเล่อ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในต้นเงินและดอกเบี้ยโดยจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ในข้อนี้ไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2449/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 173,625 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ และขับไล่จำเลยจำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย และครอบครองตลอดมาดังนี้ เป็นการโต้เถียงกันในสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ แม้โจทก์จะกล่าวมาในฟ้องว่าที่ดินพิพาทที่จำเลยครอบครองมีเนื้อที่ประมาณ 28 ไร่เศษ แต่เมื่อในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยขอให้ทำแผนที่พิพาทปรากฏตามแผนที่พิพาทว่าที่ดินพิพาทที่จำเลยครอบครองมีเนื้อที่ 17 ไร่ 1 งาน 45 ตารางวาจึงต้องถือว่าที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 17 ไร่ 1 งาน 45 ตารางวาในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ตีราคาที่ดินพิพาทตามคำให้การของจำเลยในราคาไร่ละ 10,000 บาท ซึ่งโจทก์มิได้คัดค้านและมิได้ฎีกาโต้เถียงราคาทรัพย์ที่พิพาทที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดดังกล่าวจึงถือว่าโจทก์ยอมรับในข้อนี้ ดังนี้จึงเป็นคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเป็นเงิน 173,625 บาทหาใช่เนื้อที่ 28 ไร่ เป็นเงิน 280,000 บาทไม่ คดีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา248 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 23/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งต้องอ้างเหตุคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ฎีกาต้องมีลักษณะคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งจะต้องอ้างเหตุว่า การที่ศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงหรือไม่รับฟังข้อเท็จจริงดังนั้นชอบหรือไม่ เพราะเหตุใด ดังนั้นที่โจทก์ฎีกาว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ตามที่โจทก์นำสืบแต่ไม่ได้อ้างเหตุว่าทำไมจึงต้องฟังข้อเท็จจริงเช่นนั้น และไม่ได้คัดค้านคำพิพากษา-ศาลอุทธรณ์ เพียงแต่กล่าวว่าโจทก์ร่วมไม่เห็นด้วยโดยไม่ได้อ้างเหตุและขอให้ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นพิจารณาอีกครั้ง จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 216
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2395/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่อาจบังคับได้เนื่องจากคำขอท้ายฎีกาไม่ตรงกับประเด็นที่ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์พิจารณา
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้บังคับเจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนแบ่งแยกออกโฉนดใหม่ให้แก่ อ. ซึ่งเป็นผู้ได้กรรมสิทธิ์บางส่วนในที่ดินมีโฉนดมาโดยการครอบครอง แต่คำขอท้ายฎีกาของผู้ร้องกลับขอให้ศาลฎีกาพิพากษาเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นในอีกคดีหนึ่งที่สั่งอายัดที่ดินดังกล่าวเพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินได้จดทะเบียนการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์บางส่วนในที่ดินโดยการครอบครองให้มาเป็นกรรมสิทธิ์ของ อ. ต่อไป จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่อาจบังคับให้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2377/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษแต่ไม่เพิ่มเติม
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองจำคุก 1 ปี 4 เดือน และฐานพาอาวุธปืนโดยไม่รับอนุญาตจำคุก 8 เดือน แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ปรับจำเลยที่ 1ในข้อหาฐานมีอาวุธปืน 7,000 บาท และข้อหาฐานพาอาวุธปืน 2,000 บาทอีกสถานหนึ่ง ซึ่งเป็นการแก้ไขมาก แต่ก็ไม่ใช่เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 1 กรณีจึงต้องห้ามมิให้จำเลยที่ 1 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 219 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ที่จำเลยที่ 1ฎีกาว่า พยานหลักฐานโจทก์ยังเป็นที่น่าสงสัยว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองอาวุธปืนและพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควรหรือไม่เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมา จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้าม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2374/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อราคาทรัพย์สินในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท และการฟ้องร่วมกัน
เมื่อโจทก์ทั้งสามกล่าวในฟ้องชัดแจ้งว่าโจทก์แต่ละคนได้รับการยกให้และต่างก็เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทอย่างเป็นส่วนสัดตามที่รับโอนมาโดยไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยโจทก์ทั้งสามจึงมิได้มีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี โจทก์ทั้งสามชอบที่จะยื่นฟ้องจำเลยมาคนละสำนวน การที่โจทก์ ทั้งสามร่วมกันฟ้องมาในสำนวนเดียวกันและศาลชั้นต้นยอมรับฟังโจทก์ทั้งสามเช่นนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาคดีนี้ย่อมต้องถือเอาราคาที่ดินที่โจทก์ทั้งสามแต่ละคนอ้างว่าเป็นของตนตามที่แบ่งแยกกันครอบครองเป็นส่วนสัดกันมานั้น เมื่อราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาของโจทก์ทั้งสามแต่ละคนปรากฏว่าทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนไม่เกินคนละสองแสนบาท คดีของโจทก์แต่ละคนจึงเป็นคดีที่ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสน ย่อมต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2355/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องและการยกข้อเท็จจริงใหม่ในฎีกา: โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหากฟ้องในนามตนเองโดยมิได้รับมอบอำนาจ และศาลไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันในชั้นต้น
จำเลยเป็นหนี้เงินกู้มารดาโจทก์ โจทก์ทำหนังสือรับสภาพหนี้แทนมารดาโจทก์ให้จำเลยลงชื่อ โจทก์และจำเลยจึงไม่มีมูลหนี้ต่อกัน เมื่อโจทก์มาฟ้องคดีในนามของตนเองโดยมิได้รับมอบอำนาจจากมารดาโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์นำสืบและอ้างในคำแก้ฎีกาว่า มารดาโจทก์ยกหนี้รายนี้ให้โจทก์โดยโจทก์มิได้ฟ้องตั้งประเด็นเช่นนั้น แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัยให้ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น
โจทก์นำสืบและอ้างในคำแก้ฎีกาว่า มารดาโจทก์ยกหนี้รายนี้ให้โจทก์โดยโจทก์มิได้ฟ้องตั้งประเด็นเช่นนั้น แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัยให้ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2320/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดทุนทรัพย์ฎีกา: คดีแพ่งที่มีทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาทในชั้นฎีกา ทำให้ฎีกาในข้อเท็จจริงเป็นที่รับไม่ได้
โจทก์ทั้งสองต่างใช้สิทธิเฉพาะตัวของโจทก์แต่ละคนฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการกระทำละเมิดและการรับประกันภัยค้ำจุนซึ่งทำให้โจทก์แต่ละคนเสียหาย แม้จะฟ้องรวมกันมาก็ต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกัน เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องให้แก่โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 คนละไม่ถึงสองแสนบาทและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน การที่จำเลยทั้งสองฎีกาให้กลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นพิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า คนขับรถของโจทก์ที่ 2 มีส่วนประมาทด้วยค่าต่อตัวถังกับห้องเย็นรถยนต์บรรทุกของโจทก์ที่ 2 ไม่เกิน100,000 บาท และรถยนต์ของโจทก์ที่ 2 ไม่เสื่อมสภาพนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว