คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
อำนาจศาล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,218 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4807/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์ในการพิพากษาจำเลยที่ไม่อุทธรณ์ ต้องพิจารณาเหตุที่เกี่ยวข้องกับคดีทั้งเรื่อง ไม่ใช่เหตุส่วนตัว
เหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีนั้นต้องเป็นเหตุที่เกี่ยวข้องกับคดีนั้นทั้งเรื่องมิใช่เหตุส่วนตัวของจำเลยคนใดคนหนึ่งดังนั้นการที่จะวินิจฉัยว่าจำเลยคนใดมีเจตนาบุกรุกหรือไม่จะต้องพิเคราะห์ถึงการกระทำของจำเลยแต่ละคนการที่จำเลยที่1เปิดประตูเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายด้วยตนเองต่อมาจึงเรียกจำเลยที่2และที่3ให้ตามขึ้นไปในภายหลังนั้นจะเห็นได้ว่าการกระทำของจำเลยแต่ละคนหาเกี่ยวข้องกันทั้งเรื่องไม่กรณีเป็นเหตุส่วนตัวของจำเลยแต่ละคนโดยแท้มิใช่เหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจก้าวล่วงเข้าไปวินิจฉัยถึงการกระทำของจำเลยที่1ว่าขาดเจตนาทุจริตและที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่1ด้วยนั้นไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4764/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาล: การฟ้องคดีละเมิดและภูมิลำเนาของจำเลย (นิติบุคคล) ที่ไม่ใช่สำนักงานใหญ่
การฟ้องให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากการละเมิดเป็นการฟ้องคดีที่ไม่เกี่ยวด้วยทรัพย์ ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 4(2) ระบุว่าให้ฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือเมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอยื่นฟ้องต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลนั้นก็ได้
โจทก์ฟ้องบริษัทจำเลยต่อศาลจังหวัดชลบุรี โดยระบุสถานที่โรงงานของจำเลยที่ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรีเป็นภูมิลำเนา แม้ศาลจังหวัดชลบุรีจะมิใช่ศาลที่มูลคดีเกิดขึ้น และปรากฏตามทะเบียนว่าสำนักงานแห่งใหญ่ของจำเลยตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานครทั้งสถานที่โรงงานมิใช่ภูมิลำเนาเฉพาะการของจำเลยก็ตาม แต่ที่นั้นก็อาจเป็นถิ่นที่จำเลยมีสาขาสำนักงานอันจะจัดได้ว่าเป็นภูมิลำเนาในส่วนกิจการอันทำ ณ ที่นั้นด้วยก็ได้ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 71 วรรคสอง ซึ่งหากที่ตั้งโรงงานของจำเลยใช้เป็นสาขาสำนักงานของจำเลยด้วยดังที่โจทก์อ้างโจทก์ก็ฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดชลบุรีได้ จึงสมควรฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4764/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาล: การฟ้องคดีละเมิดต่อศาลที่มีภูมิลำเนาจำเลยหรือที่มูลคดีเกิดขึ้น
การฟ้องให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากการละเมิดเป็นการฟ้องคดีที่ไม่เกี่ยวด้วยทรัพย์ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(2) ระบุว่าให้ฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือเมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอยื่นฟ้องต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลนั้นก็ได้
โจทก์ฟ้องบริษัทจำเลยต่อศาลจังหวัดชลบุรี โดยระบุสถานที่โรงงานของจำเลยที่ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรีเป็นภูมิลำเนาแม้ศาลจังหวัดชลบุรีจะมิใช่ศาลที่มูลคดีเกิดขึ้น และปรากฏตามทะเบียนว่าสำนักงานแห่งใหญ่ของจำเลยตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานครทั้งสถานที่โรงงานมิใช่ภูมิลำเนาเฉพาะการของจำเลยก็ตาม แต่ที่นั้นก็อาจเป็นถิ่นที่จำเลยมีสาขาสำนักงานอันจะจัดได้ว่าเป็นภูมิลำเนาในส่วนกิจการอันทำ ณที่นั้นด้วยก็ได้ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา71วรรคสองซึ่งหากที่ตั้งโรงงานของจำเลยใช้เป็นสาขาสำนักงานของจำเลยด้วยดังที่โจทก์อ้างโจทก์ก็ฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดชลบุรีได้ จึงสมควรฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4764/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาล: การฟ้องคดีละเมิดต่อศาลที่มีภูมิลำเนาของจำเลยหรือที่มูลคดีเกิดขึ้น
การฟ้องให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากการละเมิดเป็นการฟ้องคดีที่ไม่เกี่ยวด้วยทรัพย์ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา4(2)ระบุว่าให้ฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือเมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอยื่นฟ้องต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลนั้นก็ได้ โจทก์ฟ้องบริษัทจำเลยต่อศาลจังหวัดชลบุรีโดยระบุสถานที่โรงงานของจำเลยที่ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรีเป็นภูมิลำเนาแม้ศาลจังหวัดชลบุรีจะมิใช่ศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นและปรากฏตามทะเบียนว่าสำนักงานแห่งใหญ่ของจำเลยตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานครทั้งสถานที่โรงงานมิใช่ภูมิลำเนาเฉพาะการของจำเลยก็ตามแต่ที่นั้นก็อาจเป็นถิ่นที่จำเลยมีสาขาสำนักงานอันจะจัดได้ว่าเป็นภูมิลำเนาในส่วนกิจการอันทำณที่นั้นด้วยก็ได้ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา71วรรคสองซึ่งหากที่ตั้งโรงงานของจำเลยใช้เป็นสาขาสำนักงานของจำเลยด้วยดังที่โจทก์อ้างโจทก์ก็ฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดชลบุรีได้จึงสมควรฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยต่อไป.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4676/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการออกคำบังคับคดีและการไม่อาจรื้อฟื้นข้อพิพาทที่ตัดสินถึงที่สุด
ศาลชั้นต้นมีอำนาจออกคำบังคับได้เองตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 272 แม้โจทก์มิได้แถลงขอให้ออกคำบังคับ
ในชั้นบังคับคดี จำเลยขอให้งดการบังคับคดี อ้างว่าหนี้ตามคำพิพากษาที่โจทก์นำยึดทรัพย์นั้น โจทก์จำเลยได้ตกลงหักกลบลบหนี้กันแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิยึดทรัพย์จำเลย แต่ปรากฏว่าในชั้นพิจารณาคดีนี้ศาลฎีกาได้พิพากษาไว้แล้วว่าพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบไม่พอฟังว่าโจทก์จำเลยตกลงหักกลบลบหนี้กันแล้ว ดังนี้ แม้จำเลยจะอ้างว่า จำเลยค้นหาเอกสารการหักกลบลบหนี้มาเป็นพยานได้คดีก็ไม่อาจรื้อฟื้นปัญหาซึ่งยุติถึงที่สุดแล้วขึ้นมาพิจารณาซ้ำอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4676/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการออกคำบังคับและการไม่อาจรื้อฟื้นประเด็นที่ยุติแล้ว
ศาลชั้นต้นมีอำนาจออกคำบังคับได้เองตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 272 แม้โจทก์ มิได้แถลงขอให้ออกคำบังคับ
ในชั้นบังคับคดี จำเลยขอให้งดการบังคับคดี อ้างว่าหนี้ตามคำพิพากษา ที่โจทก์นำยึดทรัพย์นั้น โจทก์จำเลยได้ตกลงหักกลบลบหนี้กันแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิยึดทรัพย์จำเลย แต่ปรากฏว่าในชั้นพิจารณาคดีนี้ศาลฎีกา ได้พิพากษาไว้แล้วว่าพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบไม่พอฟังว่าโจทก์จำเลย ตกลงหักกลบลบหนี้กันแล้ว ดังนี้ แม้จำเลยจะอ้างว่า จำเลยค้นหาเอกสาร การหักกลบลบหนี้มาเป็นพยานได้คดีก็ไม่อาจรื้อฟื้นปัญหาซึ่งยุติถึงที่สุดแล้ว ขึ้นมาพิจารณาซ้ำอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4676/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการออกคำบังคับคดีและการยุติปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลฎีกาตัดสินแล้ว
ศาลชั้นต้นมีอำนาจออกคำบังคับได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา272แม้โจทก์มิได้แถลงขอให้ออกคำบังคับ ในชั้นบังคับคดีจำเลยขอให้งดการบังคับคดีอ้างว่าหนี้ตามคำพิพากษาที่โจทก์นำยึดทรัพย์นั้นโจทก์จำเลยได้ตกลงหักกลบลบหนี้กันแล้วโจทก์ไม่มีสิทธิยึดทรัพย์จำเลยแต่ปรากฏว่าในชั้นพิจารณาคดีนี้ศาลฎีกาได้พิพากษาไว้แล้วว่าพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบไม่พอฟังว่าโจทก์จำเลยตกลงหักกลบลบหนี้กันแล้วดังนี้แม้จำเลยจะอ้างว่าจำเลยค้นหาเอกสารการหักกลบลบหนี้มาเป็นพยานได้คดีก็ไม่อาจรื้อฟื้นปัญหาซึ่งยุติถึงที่สุดแล้วขึ้นมาพิจารณาซ้ำอีก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4048/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาความผิดฐานลักทรัพย์และรับของโจร ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยข้อหาเดิมตามฎีกาโดยไม่ต้องย้อนสำนวน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพฐานรับของโจร จำเลยที่ 2ให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานรับของโจร ดังนี้ ถือได้ว่าศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 ในข้อหาฐานรับของโจร เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์ต้องถือว่าข้อหารับของโจรสำหรับจำเลยที่ 1ยุติแล้วตั้งแต่ศาลชั้นต้นจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ขอให้พิพากษายกฟ้องในข้อหาลักทรัพย์ที่ศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัยจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานรับของโจรไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา เมื่อโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานลักทรัพย์ ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยข้อหาฐานลักทรัพย์ตามฎีกาของโจทก์โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาและพิพากษาใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4003/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอนุญาตถอนฟ้อง: ดุลพินิจศาล แม้จำเลยคัดค้าน
การที่ศาลจะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาลแม้จำเลยคัดค้านศาลก็อนุญาตให้ถอนฟ้องได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3861/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดินมรดก: การพิสูจน์สิทธิครอบครองและอำนาจศาลในการวินิจฉัยพยานหลักฐาน
ผู้ร้องที่ 1 เป็นบุตรจำเลย ผู้ร้องที่ 2 เป็นภรรยาจำเลยนำสืบพิสูจน์ไม่ได้ว่ามีสิทธิครอบครองเป็นเจ้าของในที่พิพาทดีกว่าโจทก์ที่ 2 ที่ 3 คำพิพากษาฎีกาที่พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกให้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนเท่ากันโดยให้โจทก์ที่ 2 และที่ 3 กับจำเลยได้คนละ 1 ส่วนได้วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์เป็นคุณแก่โจทก์ที่ 2 ที่ 3ย่อมใช้ยันแก่ผู้ร้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 วรรคสอง (2) ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอกันส่วน เมื่อคดีเสร็จสิ้นการสืบพยานโจทก์ ทนายผู้ร้องแถลงขอให้ศาลไปเผชิญสืบที่พิพาทและที่ดินของโจทก์ที่ 2 ที่ 3ทนายโจทก์แถลงคัดค้านเมื่อพยานหลักฐานที่ผู้ร้องและโจทก์ที่ 2 ที่ 3 นำสืบมาเป็นการเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้โดยไม่จำเป็นต้องไปเผชิญสืบอีก ที่ศาลชั้นต้นสั่งให้งดเผชิญสืบ แล้วพิพากษาคดีไปนั้น จึงเป็นการถูกต้องชอบด้วยกระบวนพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 104 แล้ว เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิขอกันส่วนจึงไม่กระทบกระเทือนคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งยกคำร้องของผู้ร้องที่ขอให้งดการบังคับคดีในระหว่างที่ผู้ร้องกำลังร้องขอกันส่วน คำสั่งของศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยกฎหมาย
of 222