พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,913 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3967/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจดำเนินคดีหลังมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด: เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นผู้มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียว
ระหว่างที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายในศาลชั้นต้น ล.ได้ฟ้องโจทก์ขอให้เป็นบุคคลล้มละลายและศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์โจทก์เด็ดขาดในคดีดังกล่าวดังนี้นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์โจทก์เด็ดขาดเป็นต้นไป เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจเข้าว่าคดีแทนโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาหรือว่าคดีที่ตนเป็นโจทก์อีกต่อไป แต่โจทก์กลับดำเนินกระบวนพิจารณาและว่าคดีที่ตนเป็นโจทก์ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตลอดมาจนกระทั่งเสร็จสิ้นในชั้นอุทธรณ์เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงขอเข้าว่าคดีแทนโจทก์ในชั้นฎีกากรณีถือได้ว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22, 25
ปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาและว่าคดีหลังถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้างศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
ปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาและว่าคดีหลังถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้างศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3967/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจดำเนินคดีหลังมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด: เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นผู้มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียว
เมื่อศาลในคดีล้มละลายมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจเข้าว่าคดีแพ่งทั้งปวงเกี่ยวกับทรัพย์สินของโจทก์ โจทก์ไม่มี อำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาหรือว่าคดีได้อีก เมื่อปรากฏว่า โจทก์เป็นผู้ดำเนินกระบวนพิจารณาและว่าคดีนี้มาตลอดจนกระทั่งเสร็จสิ้นในชั้นศาลอุทธรณ์แล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงขอเข้าว่าคดีแทนโจทก์ใน ชั้นฎีกา ดังนี้การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นคำสั่ง ของศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วย พ.ร.บ. ล้มละลายฯมาตรา 22,25.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3967/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจดำเนินคดีหลังมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีล้มละลาย
ระหว่างที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายในศาลชั้นต้นล.ได้ฟ้องโจทก์ขอให้เป็นบุคคลล้มละลายและศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์โจทก์เด็ดขาดในคดีดังกล่าว ดังนี้นับแต่วันทีศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์โจทก์เด็ดขาดเป็นต้นไปเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจเข้าว่าคดีแทนโจทก์โจทก์ไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาหรือว่าคดีที่ตนเป็นโจทก์อีกต่อไป แต่โจทก์กลับดำเนินกระบวนพิจารณาและว่าคดีที่ตนเป็นโจทก์ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตลอดมาจนกระทั่งเสร็จสิ้นในชั้นอุทธรณ์เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงขอเข้าว่าคดีแทนโจทก์ในชั้นฎีกา กรณีถือได้ว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 22,25 ปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาและว่าคดีหลังถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้างศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3967/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจดำเนินคดีหลังถูกพิทักษ์ทรัพย์: โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีต่อหลังศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นผู้มีอำนาจ
ระหว่างที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายในศาลชั้นต้น ล.ได้ฟ้องโจทก์ขอให้เป็นบุคคลล้มละลายและศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์โจทก์เด็ดขาดในคดีดังกล่าวดังนี้นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์โจทก์เด็ดขาดเป็นต้นไป เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจเข้าว่าคดีแทนโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาหรือว่าคดีที่ตนเป็นโจทก์อีกต่อไป แต่โจทก์กลับดำเนินกระบวนพิจารณาและว่าคดีที่ตนเป็นโจทก์ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตลอดมาจนกระทั่งเสร็จสิ้นในชั้นอุทธรณ์เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงขอเข้าว่าคดีแทนโจทก์ในชั้นฎีกากรณีถือได้ว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22,25 ปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาและว่าคดีหลังถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้างศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 393/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีล้มละลาย ต้องพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ แม้มีเหตุตามกฎหมายก็ต้องดูข้อเท็จจริงประกอบ
ห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยเป็นลูกค้ากู้เบิกเงินเกินบัญชีตามบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับธนาคารโจทก์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524โจทก์ยอมให้จำเลยกู้เบิกเงินเกินบัญชีบางครั้งเป็นจำนวนถึง16,700,000 บาท แสดงว่าโจทก์เชื่อว่าจำเลยมีความสามารถในการประกอบธุรกิจหากำไรมาใช้หนี้โจทก์ได้ ทั้งปรากฏว่าบางครั้งจำเลยสามารถนำเงินเข้ามาหักบัญชีได้เป็นจำนวนถึง 4,900,000บาท จนกระทั่งครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2528 จำเลยนำเงินเข้าหักบัญชีเป็นจำนวนถึง 4,453,159.05 บาท คงเหลือเงินที่เป็นหนี้ถึงวันฟ้องเพียง 761,028.32 บาท ซึ่งจำเลยเคยเป็นหนี้มีจำนวนมากกว่าจำนวนที่โจทก์ฟ้องหลายเท่า จำเลยยังสามารถชำระหนี้ได้และไม่ปรากฏว่าจำเลยเป็นลูกหนี้ของเจ้าหนี้รายอื่นอีก ทั้งจำเลยก็ยังประกอบธุรกิจการค้าเหมือนเดิมดังนี้ แม้โจทก์จะได้ประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามมาตรา 8(9)แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 ก็เป็นแต่เพียงเหตุหนึ่งที่กฎหมายให้อำนาจโจทก์ฟ้องจำเลยให้ล้มละลายได้เท่านั้นส่วนการพิจารณาคดีล้มละลายตามคำฟ้องของโจทก์นั้น ศาลต้องพิจารณาเอาความจริงตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 9 หรือมาตรา 10 ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีนี้จึงยังไม่พอถือว่าจำเลยสมควรตกเป็นบุคคลล้มละลาย.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 393/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องล้มละลาย: ศาลพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้และสถานะทางธุรกิจของลูกหนี้
ห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยเป็นลูกค้ากู้เบิกเงินเกินบัญชีตามบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับธนาคารโจทก์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524โจทก์ยอมให้จำเลยกู้เบิกเงินเกินบัญชีบางครั้งเป็นจำนวนถึง16,700,000 บาท แสดงว่าโจทก์เชื่อว่าจำเลยมีความสามารถในการประกอบธุรกิจหากำไรมาใช้หนี้โจทก์ได้ ทั้งบางครั้งจำเลยสามารถนำเงินเข้ามาหักบัญชีได้เป็นจำนวนถึง 4,900,000 บาท จนกระทั่งครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2528 จำเลยนำเงินเข้าหักบัญชีเป็นจำนวนถึง 4,453,159.05 บาท คงเหลือเงินที่เป็นหนี้ถึงวันฟ้องเพียง 761,028.32 บาท ซึ่งจำเลยเคยเป็นหนี้มีจำนวนมากกว่าจำนวนที่โจทก์ฟ้องหลายเท่า จำเลยยังสามารถชำระหนี้ได้และไม่ปรากฏว่าจำเลยเป็นลูกหนี้ของเจ้าหนี้รายอื่นอีก ทั้งจำเลยก็ยังประกอบธุรกิจการค้าเหมือนเดิม แม้โจทก์จะได้ประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 8(9) ก็เป็นแต่เพียงเหตุหนึ่งที่กฎหมายให้อำนาจโจทก์ฟ้องจำเลยให้ล้มละลายได้เท่านั้น ส่วนการพิจารณาคดีล้มละลายตามคำฟ้องของโจทก์นั้นศาลต้องพิจารณาเอาความจริงตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 9 หรือมาตรา 10ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 14 ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีนี้จึงยังไม่พอถือว่าจำเลยสมควรตกเป็นบุคคลล้มละลาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3706/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย: เจ้าหนี้ต้องแสดงหลักฐานสิทธิเรียกร้องไม่ขาดอายุความ
ในการสอบสวนเรื่องหนี้สินที่ขอรับชำระหนี้ เจ้าหนี้ให้การต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า ซ. นำเช็คของจำเลยมาแลกเงินสดไปจากเจ้าหนี้ ไม่ได้กล่าวว่าเจ้าหนี้ได้นำเช็คมาฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายก่อนเช็คขาดอายุความ เจ้าหนี้เพิ่งยกข้อเท็จจริงดังกล่าวโต้เถียงในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วในชั้นสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
หนี้ตามเช็คที่ขาดอายุความซึ่งเป็นหนี้ที่ไม่อาจยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 94(1) นั้น เจ้าหนี้มีหน้าที่ต้องแสดงให้เห็นว่าสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าวยังไม่ขาดอายุความเพราะเหตุที่นำเช็คมาฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายก่อนแล้ว หาใช่เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องสอบสวนถึงข้อเท็จจริงนั้นไม่
หนี้ตามเช็คที่ขาดอายุความซึ่งเป็นหนี้ที่ไม่อาจยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 94(1) นั้น เจ้าหนี้มีหน้าที่ต้องแสดงให้เห็นว่าสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าวยังไม่ขาดอายุความเพราะเหตุที่นำเช็คมาฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายก่อนแล้ว หาใช่เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องสอบสวนถึงข้อเท็จจริงนั้นไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3706/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้เช็คขาดอายุความในคดีล้มละลาย: เจ้าหนี้ต้องพิสูจน์การฟ้องก่อนอายุความ
ในการสอบสวนเรื่องหนี้สินที่ขอรับชำระหนี้ เจ้าหนี้ให้การต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า ซ. นำเช็คของจำเลยมาแลกเงินสดไปจากเจ้าหนี้ไม่ได้กล่าวว่าเจ้าหนี้ได้นำเช็คมาฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายก่อนเช็คขาดอายุความ เจ้าหนี้เพิ่งยกข้อเท็จจริงดังกล่าวโต้เถียงในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วในชั้นสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 หนี้ตามเช็คที่ขาดอายุความซึ่งเป็นหนี้ที่ไม่อาจยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 94(1)นั้น เจ้าหนี้มีหน้าที่ต้องแสดงให้เห็นว่าสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าวยังไม่ขาดอายุความเพราะเหตุที่นำเช็คมาฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายก่อนแล้ว หาใช่เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องสอบสวนถึงข้อเท็จจริงนั้นไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3706/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้เช็คขาดอายุความในคดีล้มละลาย: เจ้าหนี้ต้องแสดงหลักฐานการฟ้องก่อนอายุความหมด
ในการสอบสวนเรื่องหนี้สินที่ขอรับชำระหนี้ เจ้าหนี้ให้การต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า ซ. นำเช็คของจำเลยมาแลกเงินสดไปจากเจ้าหนี้ ไม่ได้กล่าวว่าเจ้าหนี้ได้นำเช็คมาฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายก่อนเช็คขาดอายุความ เจ้าหนี้เพิ่งยกข้อเท็จจริงดังกล่าวโต้เถียงในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วในชั้นสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 หนี้ตามเช็คที่ขาดอายุความซึ่งเป็นหนี้ที่ไม่อาจยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 94(1) นั้น เจ้าหนี้มีหน้าที่ต้องแสดงให้เห็นว่าสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าวยังไม่ขาดอายุความเพราะเหตุที่นำเช็คมาฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายก่อนแล้ว หาใช่เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องสอบสวนถึงข้อเท็จจริงนั้นไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3704-3705/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กำหนดเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย: เจ้าหนี้ต้องยื่นตามกำหนด แม้ไม่ทราบหรือไม่ได้รับการแจ้ง
เจ้าหนี้จะรู้หรือไม่รู้กำหนดเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้ เจ้าหนีก็จะยื่นคำขอรับชำระหนี้เมื่อล่วงเลยกำหนดเวลาขอรับชำระหนี้ตามที่มาตรา ๙๑ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ บัญญัติไว้ไม่ได้ และจะมีการไต่สวนลูกหนี้โดยเปิดเผยหรือไม่ ก็ไม่เป็นเหตุให้เจ้าหนี้มีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้เมื่อล่วงเลยกำหนดเวลาตามมาตราดังกล่าว
ผู้ร้องฎีกาว่า กำหนดเวลาขอรับชำระหนี้ไม่ใช่อายุความ เป็นเพียงระยะเวลาย่อม ย่น และขยายได้ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความเหตุใดที่กำหนดเวลาขอรับชำระหนี้ไม่เป็นอายุความ แต่เป็นกำหนดระยะเวลา ผู้ร้องไม่ได้ยกเหตุผลขึ้นประกอบข้ออ้าง ฎีกาของผู้ร้องจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
ผู้ร้องฎีกาว่า กำหนดเวลาขอรับชำระหนี้ไม่ใช่อายุความ เป็นเพียงระยะเวลาย่อม ย่น และขยายได้ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความเหตุใดที่กำหนดเวลาขอรับชำระหนี้ไม่เป็นอายุความ แต่เป็นกำหนดระยะเวลา ผู้ร้องไม่ได้ยกเหตุผลขึ้นประกอบข้ออ้าง ฎีกาของผู้ร้องจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.