พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,244 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3244/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำให้การต่อสู้เรื่องอายุความที่ไม่ชัดเจนไม่ก่อให้เกิดประเด็น ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกประเด็น
คำให้การของจำเลยที่ต่อสู้ในเรื่องอายุความว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความแล้ว โจทก์สิ้นสิทธิที่จะดำเนินคดีนี้กับจำเลยโดยจำเลยมิได้แสดงไว้ชัดแจ้งว่า คดีขาดอายุความเรื่องอะไรและเพราะเหตุใดนั้น เป็นคำให้การที่ไม่ถูกต้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรค 2ไม่ก่อให้เกิดประเด็นในคดี ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าสิทธิฟ้องเรียกเงินคืนของโจทก์ขาดอายุความแล้วจึงเป็นการนอกประเด็น ปัญหานี้แม้โจทก์มิได้ยกขึ้นอ้างอิงในฎีกาแต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 318/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ประเด็นนอกประเด็นข้อพิพาทเดิม ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะไม่รับวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225
คดีมีประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยให้แก่เจ้าหนี้ของจำเลยและจำเลยรับจะโอนที่พิพาทเป็นการตอบแทนโจทก์หรือไม่ ดังนี้การที่จำเลยอุทธรณ์ว่า สัญญาโอนที่พิพาทเป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งโจทก์จะชำระราคาในวันจดทะเบียนโอน แต่โจทก์มิได้ขอชำระหนี้หรือนำเงินที่ต้องชำระแก่จำเลยไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์ จำเลยจึงมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา นั้น เป็นข้อที่จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นเรื่องนอกประเด็น ทั้งมิใช่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะไม่รับวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3189/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากแก้ไขโทษเล็กน้อยและการคัดค้านดุลพินิจศาลอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย 2 กรรมต่างวาระกัน รวมจำคุก 7 ปีและปรับ 1,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ลงโทษจำเลยบทหนักกรรมเดียว จำคุก 1 ปี 6 เดือน เช่นนี้ เป็นเพียงการแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี คู่ความต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 โจทก์ฎีกาว่าจำเลยไม่ได้ชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ร่วมโดยรู้สึกความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดนั้น หากแต่จำเลยพยายามบ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยงไม่ยอมรับผิดมาแต่ต้นขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฎีกาของโจทก์เป็นการคัดค้านดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ในการกำหนดโทษจำเลยจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 318/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยประเด็นนอกประเด็นที่จำเลยไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ในชั้นศาลล่าง เป็นไปตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คดีมีประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยให้แก่เจ้าหนี้ของจำเลยและจำเลยรับจะโอนที่พิพาทเป็นการตอบแทนโจทก์หรือไม่ ดังนี้การที่จำเลยอุทธรณ์ว่า สัญญาโอนที่พิพาทเป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งโจทก์จะชำระราคาในวันจดทะเบียนโอนแต่โจทก์มิได้ขอชำระหนี้หรือนำเงินที่ต้องชำระแก่จำเลยไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์ จำเลยจึงมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญานั้น เป็นข้อที่จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นเรื่องนอกประเด็น ทั้งมิใช่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะไม่รับวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3179/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดเช็ค: วันที่กระทำผิดต้องหลังวันที่ออกเช็ค ศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยได้เอง
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยออกเช็คพิพาทให้ผู้เสียหายเมื่อเดือนธันวาคม 2528 สั่งจ่ายเงินในวันที่ 15 มกราคม 2528 และผู้เสียหายนำเช็คพิพาทไปเบิกเงินจากธนาคารตามเช็คในวันที่ 4เมษายน 2528 ในวันเดียวกันเวลากลางวัน ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค วันที่ความผิดเกิดก็คือวันที่ 4 เมษายน 2528 ที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินซึ่งเป็นวันที่ย้อนหลังจากวันที่จำเลยมอบเช็คให้ผู้เสียหาย จึงเป็นไปไม่ได้ที่วันที่กระทำผิดจะเกิดก่อนวันที่จำเลยมอบเช็คพิพาทให้ผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องจึงไม่เป็นความผิด กรณีเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลพิพากษายกฟ้องได้โดยไม่จำต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 297/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง คดีจึงไม่สามารถนำมาฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่า จำเลยที่ 1 เอานาฬิกาของโจทก์ไปโดยโจทก์ยินยอม ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โดยฟังว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอรับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้าย แต่เป็นเรื่องจำเลยที่ 1 เอานาฬิกาจากร้านโจทก์ไปเพราะได้ติดต่อกับพี่ชายโจทก์ไว้ เช่นนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โดยอาศัยข้อเท็จจริง คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220โจทก์ฎีกาว่าจำเลยเจตนาเอาทรัพย์ของโจทก์ไปเป็นประโยชน์ส่วนตนและข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ซื้อนาฬิกาโดยติดต่อกับพี่ชายโจทก์ซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงฎีกาไม่ได้.(ที่มา-เนติ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2872/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษา และการสั่งจ่ายเงินสินบนนำจับเมื่อไม่มีโทษปรับ
ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง มาตรา 22 ที่ห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลแขวงในปัญหาข้อเท็จจริงนั้น เป็นบทบังคับในชั้นอุทธรณ์ มิใช่บทบัญญัติที่จะนำมาใช้ในชั้นฎีกา เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานเล่นการพนัน ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์จึงมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยโดยมิได้ลงโทษปรับ ศาลจะสั่งให้จำเลยจ่ายเงินสินบนนำจับตามกฎหมายด้วยไม่ได้.
ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยโดยมิได้ลงโทษปรับ ศาลจะสั่งให้จำเลยจ่ายเงินสินบนนำจับตามกฎหมายด้วยไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2872/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น และการสั่งจ่ายสินบนนำจับเมื่อไม่มีโทษปรับ
ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาตรา 22 ที่ห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลแขวงในปัญหาข้อเท็จจริงนั้น เป็นบทบังคับในชั้นอุทธรณ์ มิใช่บทบัญญัติที่จะนำมาใช้ในชั้นฎีกา เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานเล่นการพนัน ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์จึงมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยโดยมิได้ลงโทษปรับ ศาลจะสั่งให้จำเลยจ่ายเงินสินบนนำจับตามกฎหมายด้วยไม่ได้.
ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยโดยมิได้ลงโทษปรับ ศาลจะสั่งให้จำเลยจ่ายเงินสินบนนำจับตามกฎหมายด้วยไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2636/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง กรณีศาลอุทธรณ์แก้เฉพาะโทษ และการพิจารณาโทษฐานมียาเสพติด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลย 10 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เป็นจำคุก 5 ปี ดังนี้ เพียงแก้ เฉพาะ การกำหนดโทษ มิได้แก้บทความผิด เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 เจ้าพนักงานตำรวจจับเฮโรอีนของกลางได้จากจำเลย จำนวน 62หลอด มีปริมาณ 58.625 กรัม นับว่ามีจำนวนมาก และพฤติการณ์เห็นได้ว่าทำไว้เพื่อความสะดวกแก่การจำหน่าย ศาลชั้นต้นวางโทษจำคุกมีกำหนด20 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 10 ปี และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนดังนี้ เหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2544/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานไม่เพียงพอในการรับฟังว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดฐานชิงทรัพย์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้อง
โจทก์ไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาเบิกความเป็นพยานยืนยันว่าจำเลยร่วมกับพวกเป็นคนร้ายที่ปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย ที่ผู้เสียหายแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมและให้การในชั้นสอบสวนต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยร่วมกับพวกปล้นทรัพย์นั้น ล้วนแต่เป็นเพียงคำบอกเล่ามีน้ำหนักน้อยพยานหลักฐานของโจทก์จึงยังไม่มั่นคงพอที่จะให้ฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้.