คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
สัญญาซื้อขาย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,003 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2163/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการผิดสัญญาซื้อขาย และการเพิกเฉยต่อคำสั่งศาลส่งผลให้ศาลไม่รับวินิจฉัยฟ้องแย้ง
ในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลในส่วนที่ขอให้บังคับตามฟ้องแย้ง จำเลยเพิกเฉย ศาลอุทธรณ์จึงให้จำหน่ายฟ้องแย้งของจำเลยเสีย ฎีกาของจำเลยในประเด็นที่ว่า จำเลยมีสิทธิเรียกเงินค่าประกันพร้อมดอกเบี้ยคืนจากโจทก์ และโจทก์ต้องคืนอุปกรณ์การเจาะหรือชดใช้ราคาตามท้องตลาดปัจจุบันให้แก่จำเลยตามฟ้องแย้งของจำเลยหรือไม่ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์
โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับค่าเสียหายว่า เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว โจทก์ได้จัดซื้ออุปกรณ์การเจาะอย่างเดียวกับที่เคยทำสัญญาซื้อขายกับจำเลยใหม่ โดยซื้อจากบริษัท ท. ในราคา 392,975 บาท ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 10 เป็นเหตุให้โจทก์ต้องใช้ราคาสูงเพิ่มขึ้นจากสัญญาซื้อขายที่ทำกับจำเลยเป็นเงิน 208,785 บาท เป็นการแสดงถึงความเสียหายของโจทก์จากการที่จำเลยผิดสัญญาไว้อย่างชัดแจ้ง ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ต้องซื้อสินค้าซึ่งจำเลยไม่ส่งมอบตามสัญญาแพงขึ้นและเรียกเบี้ยปรับตามสัญญา เป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 สิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงมีอายุความ 10 ปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2163/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายผิดนัด: ศาลยืนตามสัญญาเดิม แม้มีการโต้เถียงเรื่องยี่ห้อสินค้า และอายุความไม่ขาด
ในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลในส่วนที่ขอให้บังคับตามฟ้องแย้ง จำเลยเพิกเฉย ศาลอุทธรณ์จึงให้จำหน่ายฟ้องแย้งของจำเลยเสีย ฎีกาของจำเลยในประเด็นที่ว่า จำเลยมีสิทธิเรียกเงินค่าประกันพร้อมดอกเบี้ยคืนจากโจทก์ และโจทก์ต้องคืนอุปกรณ์การเจาะหรือชดใช้ราคาตามท้องตลาดปัจจุบันให้แก่จำเลยตามฟ้องแย้งของจำเลยหรือไม่ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับค่าเสียหายว่า เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว โจทก์ได้จัดซื้ออุปกรณ์การเจาะอย่างเดียวกับที่เคยทำสัญญาซื้อขายกับจำเลยใหม่ โดยซื้อจากบริษัท ท. ในราคา392,975 บาท เป็นเหตุให้โจทก์ต้องใช้ราคาสูงเพิ่มขึ้นจากสัญญาซื้อขายที่ทำกับจำเลยเป็นเงิน 208,785 บาท เป็นการแสดงถึงความเสียหายของโจทก์จากการที่จำเลยผิดสัญญาไว้อย่างชัดแจ้งไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ต้องซื้อสินค้าซึ่งจำเลยไม่ส่งมอบตามสัญญาแพงขึ้นและเรียกเบี้ยปรับตามสัญญา เป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 สิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงมีอายุความ 10 ปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2163/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องเรียกค่าเสียหายสัญญาซื้อขายและการชดใช้ค่าอุปกรณ์
ในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลในส่วนที่ขอให้บังคับตาม ฟ้องแย้ง จำเลยเพิกเฉย ศาลอุทธรณ์จึงให้จำหน่ายฟ้องแย้งของจำเลยเสีย ฎีกาของจำเลยในประเด็นที่ว่า จำเลยมีสิทธิเรียกเงินค่าประกันพร้อมดอกเบี้ย คืนจากโจทก์ และโจทก์ต้อง คืนอุปกรณ์การเจาะหรือชดใช้ราคาตาม ท้องตลาดปัจจุบันให้แก่จำเลยตาม ฟ้องแย้งของจำเลยหรือไม่ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับค่าเสียหายว่า เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว โจทก์ได้ จัดซื้ออุปกรณ์การเจาะอย่างเดียวกับที่เคยทำสัญญาซื้อขายกับจำเลยใหม่ โดยซื้อ จากบริษัท ท. ในราคา392,975 บาท ตาม เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 10 เป็นเหตุให้โจทก์ต้อง ใช้ ราคาสูงเพิ่มขึ้นจากสัญญาซื้อขายที่ทำกับจำเลยเป็นเงิน208,785 บาท เป็นการแสดงถึง ความเสียหายของโจทก์จากการที่จำเลยผิดสัญญาไว้อย่างชัดแจ้ง ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ต้องซื้อ สินค้าซึ่ง จำเลยไม่ส่งมอบตาม สัญญาแพงขึ้นและเรียกเบี้ยปรับตาม สัญญา เป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ ต้อง บังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 สิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงมีอายุความ 10 ปี.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2124/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ด้วยเช็คของผู้ถือและการไม่ถือเป็นการแปลงหนี้
จำเลยที่ 1 ซื้อวัสดุก่อสร้างจากโจทก์โดยชำระด้วยเงินสดบางส่วน ที่เหลือชำระด้วยเช็คผู้ถือซึ่งจำเลยที่ 2 ลงชื่อสั่งจ่ายชำระหนี้ค่าหมูที่จำเลยที่ 2 ซื้อจากจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ลงชื่อสลักหลังเช็คดังกล่าวด้วย แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยที่ 2 จึงออกเช็คผู้ถืออีก 2 ฉบับให้โจทก์แทนเช็คฉบับเดิม โดยจำเลยที่ 1 มิได้ลงชื่อสลักหลังธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้งสองฉบับ ดังนี้ การที่จำเลยที่ 1 เอาเช็คของจำเลยที่ 2 มาชำระหนี้ให้โจทก์ เมื่อโจทก์ยังไม่ได้รับเงินตามเช็คเพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินหนี้จึงไม่ระงับไปตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 แม้จำเลยที่ 2 จะออกเช็คใหม่ 2 ฉบับพร้อมทั้งให้ดอกเบี้ยด้วยและเอาเช็คเก่าคืนไปโดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้ลงชื่อสลักหลังก็ตามก็ถือไม่ได้ว่ามีการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้งสองฉบับอีก จำเลยที่ 1 ยังคงต้องรับผิดในหนี้ตามสัญญาซื้อขายส่วนจำเลยที่ 2 รับผิดตามเช็ค

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2103/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในสัญญาซื้อขาย, หนี้ค่าตั๋วโดยสาร, สิทธิปฏิเสธการชำระหนี้บางส่วน, สัญญาค้ำประกัน
โจทก์เป็นตัวแทนจำหน่ายตั๋วเครื่องบินของจำเลย จำเลยได้กำหนดราคาตั๋วโดยสารในเส้นทาง กรุงเทพมหานคร-ฮ่องกง เป็นเงินเหรียญสหรัฐ เมื่อโจทก์รับเงินค่าขายเป็นเงินบาท จึงต้องคิดในอัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้อยู่ในขณะนั้นตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 196 วรรคสอง โจทก์ร่วมได้ออกหนังสือค้ำประกันความรับผิดของโจทก์ในการเป็นตัวแทนให้แก่จำเลย เมื่อโจทก์ชำระหนี้ให้แก่จำเลยเพียงบางส่วนจำเลยจึงมีสิทธิปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้ และมีสิทธิเรียกร้องบังคับเอากับโจทก์ร่วมตามพันธะแห่งสัญญาค้ำประกันที่มีต่อจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2083/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายกิจการไม่เลิกกันอัตโนมัติเมื่อผิดนัดชำระหนี้ จำเลยต้องบอกกล่าวให้โอกาสชำระหนี้ก่อนเลิกสัญญา
โจทก์ไม่ชำระหนี้ให้จำเลยตามสัญญาซื้อขายกิจการและทรัพย์สินระหว่างโจทก์กับจำเลย แต่สัญญาดังกล่าวไม่มีข้อกำหนดให้สัญญาเลิกกันทันทีในกรณีที่โจทก์ไม่ชำระหนี้จำนวนใดจำนวนหนึ่ง จำเลยจะต้องกำหนดระยะเวลาพอสมควรแล้วบอกกล่าวให้โจทก์ชำระหนี้ภายในระยะเวลานั้นถ้าโจทก์ไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนด จำเลยก็บอกเลิกสัญญาได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 387 แต่จำเลยไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรา 387 สัญญาจึงยังไม่เลิกกัน ต่อมาโจทก์นำแคชเชียร์เช็คไปชำระหนี้ให้จำเลยแต่ไม่พบ จึงไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้โทรศัพท์นัดให้จำเลยพบกับโจทก์ แต่จำเลยไม่มาตามนัด จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ดังนี้ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาได้ และโจทก์จำเลยต้องกลับคืนสู่สถานะ เดิม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2062/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและการแบ่งกำไร ไม่ถึงขั้นเป็นสัญญาเข้าหุ้นส่วน
จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่ดินให้จำเลยที่ 2 และที่ 3เพื่อทำการปลูกสร้างตึกแถวใหม่ในที่ดินดังกล่าว แล้วจะเสนอขายแก่บุคคลภายนอกทั้งที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นรายห้อง โดยในสัญญามีข้อตกลงว่า ถ้ามีความจำเป็นต้องฟ้องขับไล่ผู้เช่าเดิมจำเลยที่ 2 จะฟ้องขับไล่เอง และจะไม่เรียกร้องจากจำเลยที่ 1เกี่ยวกับค่าทดแทนใด ๆ ที่จะให้ผู้เช่าเดิม ดังนี้ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพียงการกำหนดข้อตกลงในสัญญาจะซื้อจะขายเท่านั้นไม่มีข้อตกลงตอนใดที่แสดงว่าจำเลยที่ 1 ผู้จะขายได้ร่วมประกอบกิจการในการปลูกสร้างตึกแถวใหม่กับจำเลยที่ 2 ที่ 3แม้ในสัญญาจะซื้อจะขายจะกำหนดต่อไปอีกว่า ผู้จะขายจะได้รับส่วนแบ่งจากการขายตึกแถวใหม่อีกร้อยละหกสิบของกำไรสุทธิก็เป็นเพียงข้อตกลงในการซื้อขายที่ดินที่ผู้จะซื้อยอมที่จะให้เพิ่มเติมอีกเท่านั้นจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายยอมรับแต่ผลกำไรอย่างเดียวไม่ต้องร่วมรับผิดเมื่อขาดทุนด้วย จึงไม่ทำให้สัญญาจะซื้อจะขายกลายเป็นสัญญาเข้าหุ้นส่วนไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1789/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกสัญญาสร้างซื้อขายและการชดใช้ค่าใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินหลังเลิกสัญญา
การที่โจทก์ผู้จะขายได้มอบตึกแถวและที่ดินที่จะขายให้แก่จำเลยผู้จะซื้อตั้งแต่วันทำสัญญาจะซื้อจะขายนั้นเป็นการชำระหนี้บางส่วนแก่จำเลย ถือว่าเป็นการปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายและเป็นผลให้จำเลยได้ใช้ทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งสัญญา อันได้แก่การที่โจทก์ยอมให้ใช้ทรัพย์ตามป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคสาม เมื่อสัญญาเลิกกันจำเลยจะต้องให้โจทก์กลับคืนสู่ฐานะเดิมด้วยการใช้เงินตามควรค่าแห่งการใช้ตึกแถวและที่ดินนั้นแม้โจทก์จะฟ้องเรียกเป็นค่าเสียหายแต่ตามสภาพเป็นการชดใช้ค่าที่ยอมให้ใช้ทรัพย์ ดังนี้ ศาลย่อมพิพากษาให้โจทก์ได้รับการชดใช้ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1344/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่ดินที่มีข้อกำหนดเว้นที่ดินเป็นทางภารจำยอม ทายาทมีสิทธิบังคับให้จดทะเบียนได้
จ. ทำสัญญาขายที่ดินในโฉนดบางส่วนทางด้านติดถนนให้จำเลยตามสัญญาซื้อขายระบุว่า จำเลยสัญญาและรับรองจะเว้นที่ดินทางขวามือเป็นถนนกว้าง 3 เมตร ยาวจดที่ดินของจำเลยให้ จ. มีสิทธิเดินและใช้รถยนต์เข้าไปถึงที่ดินส่วนที่เหลือของ จ.ได้ตลอดไป ดังนี้ข้อสัญญาดังกล่าวเป็นข้อสัญญาก่อตั้งภารจำยอมในทางพิพาท เมื่อจ. ตาย โจทก์ในฐานะทายาทผู้รับมรดกที่ดินส่วนที่เหลือของ จ.ย่อมมีสิทธิฟ้องบังคับจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาให้ไปจดทะเบียนทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1344/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระจำยอมจากการสัญญาซื้อขายที่ดิน: สิทธิของทายาทในการบังคับใช้สิทธิทางภาระจำยอม
จ. ทำสัญญาขายที่ดินในโฉนด บางส่วนทางด้าน ติดถนน ให้จำเลยตาม สัญญาซื้อขายระบุว่า จำเลยสัญญาและรับรองจะเว้น ที่ดินทางขวามือเป็นถนน กว้าง 3 เมตร ยาวจดที่ดินของจำเลยให้ จ. มีสิทธิเดิน และใช้ รถยนต์ เข้าไปถึง ที่ดินส่วนที่เหลือของ จ. ได้ตลอดไป ดังนี้ ข้อสัญญาดังกล่าวเป็นข้อสัญญาก่อตั้งภาระจำยอมในทางพิพาทเมื่อ จ. ตาย โจทก์ในฐานะ ทายาทผู้รับมรดกที่ดินส่วนที่เหลือของ จ. ย่อมมีสิทธิฟ้องบังคับจำเลยซึ่ง เป็นคู่สัญญาให้ไปจดทะเบียนทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมได้.
of 201