พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,515 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 784/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีขอให้การรับบุตรบุญธรรมเป็นโมฆะ กรณีมีผลกระทบต่อสิทธิรับมรดก
โจทก์เคยยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกของผ. พี่ร่วมบิดามารดาเดียวกับโจทก์จำเลยที่2บิดาและผู้ใช้อำนาจปกครองของจำเลยที่1บุตรบุญธรรมของผ. ยื่นคำร้องคัดค้านขอให้ศาลตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกดังนี้ย่อมถือได้ว่าสิทธิในการรับมรดกของโจทก์ถูกกระทบกระเทือนเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้ศาลพิพากษาว่าการรับบุตรบุญธรรมระหว่างผ. กับจำเลยที่1เป็นโมฆะได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7774/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงอนุญาโตตุลาการเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนฟ้องร้องคดี หากไม่ปฏิบัติตาม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยมีข้อกำหนดให้นำกฎของแก๊ฟต้า ข้อที่ 119 มาใช้บังคับ โดยต้องเสนอข้อพิพาทให้อนุญาตโตตุลาการชี้ขาดก่อนตามกฎข้อบังคับอนุญาโตตุลาการที่ 125 และเป็นที่ตกลงกันโดยชัดแจ้งว่าเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนสำหรับสิทธิของคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในการที่จะฟ้องร้องหรือดำเนินการตามกฎหมายแก่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้นเมื่อโจทก์ฟ้องคดีโดยมิได้มีคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการก่อน จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎดังกล่าว กรณีต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2530
เมื่อจำเลยส่งเอกสารทั้งหมดที่จะใช้อ้างอิงในคดีต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 7 วัน ในกรณีที่ไม่มีการชี้สองสถาน แม้จะเป็นชั้นไต่สวนคำร้องก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ไม่คัดค้านเอกสารดังกล่าวว่าไม่ถูกต้องอย่างไร หรือไม่ได้ส่งสำเนาให้แก่ตน ทั้งมิได้นำสืบแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น ศาลย่อมฟังเอกสารนั้นได้
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้ยอมปฏิบัติและยอมรับในกระบวนพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทของอนุญาโตตุลาการตามสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยแล้ว แต่โจทก์กลับนำคดีมาฟ้องต่อศาลไทยเสียก่อน ที่อนุญาโต-ตุลาการจะมีคำวินิจฉัยชี้ขาด โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องและมิใช่การตัดสิทธิศาลไทยแต่อย่างใด
เมื่อจำเลยส่งเอกสารทั้งหมดที่จะใช้อ้างอิงในคดีต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 7 วัน ในกรณีที่ไม่มีการชี้สองสถาน แม้จะเป็นชั้นไต่สวนคำร้องก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ไม่คัดค้านเอกสารดังกล่าวว่าไม่ถูกต้องอย่างไร หรือไม่ได้ส่งสำเนาให้แก่ตน ทั้งมิได้นำสืบแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น ศาลย่อมฟังเอกสารนั้นได้
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้ยอมปฏิบัติและยอมรับในกระบวนพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทของอนุญาโตตุลาการตามสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยแล้ว แต่โจทก์กลับนำคดีมาฟ้องต่อศาลไทยเสียก่อน ที่อนุญาโต-ตุลาการจะมีคำวินิจฉัยชี้ขาด โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องและมิใช่การตัดสิทธิศาลไทยแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7774/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงอนุญาโตตุลาการเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนฟ้องคดี การฟ้องก่อนการชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการจึงไม่มีอำนาจฟ้อง
สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยมีข้อกำหนดให้นำกฎของแก๊ฟต้า ข้อที่ 119 มาใช้บังคับ โดยต้องเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดก่อนตามกฎข้อบังคับอนุญาโตตุลาการที่ 125 และเป็นที่ตกลงกันโดยชัดแจ้งว่าเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนสำหรับสิทธิของคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในการที่จะฟ้องร้องหรือดำเนินการตามกฎหมายแก่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้นเมื่อโจทก์ฟ้องคดีโดยมิได้มีคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการก่อนจึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎดังกล่าว กรณีต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530 เมื่อจำเลยส่งเอกสารทั้งหมดที่จะใช้อ้างอิงในคดีต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 7 วัน ในกรณีที่ไม่มีการชี้สองสถานแม้จะเป็นชั้นไต่สวนคำร้องก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ไม่คัดค้านเอกสารดังกล่าวว่าไม่ถูกต้องอย่างไร หรือไม่ได้ส่งสำเนาให้แก่ตนทั้งมิได้นำสืบแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น ศาลย่อมฟังเอกสารนั้นได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้ยอมปฏิบัติและยอมรับในกระบวนพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทของอนุญาโตตุลาการตามสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยแล้ว แต่โจทก์กลับนำคดีมาฟ้องต่อศาลไทยเสียก่อน ที่อนุญาโตตุลาการจะมีคำวินิจฉัยชี้ขาดโจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องและมิใช่การตัดสิทธิศาลไทยแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7732/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบัตรไม่สมบูรณ์จากการขาดขั้นการประดิษฐ์สูง และประเด็นอำนาจฟ้อง
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า สิทธิบัตรการประดิษฐ์ของโจทก์ได้ออกโดยไม่ชอบด้วยมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. สิทธิบัตร พ.ศ.2522 จึงไม่สมบูรณ์นั้นจำเลยมิได้ให้การไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ซึ่งในชั้นอุทธรณ์จำเลยได้ยกประเด็นนี้ขึ้นอุทธรณ์ด้วย แต่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยให้อย่างไรก็ดี ประเด็นนี้เป็นเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะยกขึ้นฎีกาได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคสอง และหากศาลฎีกาเห็นสมควรก็ชอบที่จะวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวให้ได้
ก่อนที่โจทก์จะยื่นคำขอรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ม่านเหล็กบังตาชนิดติดกับประตูเหล็กยึดและพับได้ ได้มีการออกสิทธิบัตรการประดิษฐ์ใบม่านชนิดพับซ้อนแบบยึดและพับได้ที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นการประดิษฐ์ประเภทเดียวกันกับการประดิษฐ์ตามสิทธิบัตรของโจทก์ มีข้อถือสิทธิตามคำขอรับสิทธิบัตรของโจทก์แตกต่างกับข้อถือสิทธิของประเทศอังกฤษคือ ตามคำขอรับสิทธิบัตรของโจทก์ขอบด้านหนึ่งของใบม่านหักเป็นมุม และอีกด้านหนึ่งไม่หักเป็นมุม ส่วนตามสิทธิบัตรของประเทศอังกฤษขอบใบม่านทั้งสองด้านหักเป็นมุม ดังนี้ ข้อแตกต่างตามข้อถือสิทธิดังกล่าวเป็นข้อแตกต่างเพียงเล็กน้อย การใช้งานมีลักษณะทำนองเดียวกันไม่ปรากฏว่าการประดิษฐ์ตามสิทธิบัตรของโจทก์ใช้งานหรือมีประสิทธิภาพดีกว่าการประดิษฐ์ตามสิทธิบัตรการประดิษฐ์ของประเทศอังกฤษที่ได้ออกไว้ก่อนที่โจทก์จะยื่นคำขอรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ของโจทก์ การประดิษฐ์ตามสิทธิบัตรของโจทก์จึงมิใช่การประดิษฐ์ที่ไม่เป็นที่ประจักษ์โดยง่ายแก่บุคคลที่มีความชำนาญในระดับสามัญสำหรับงานประเภทนั้น อันจะถือว่าเป็นการประดิษฐ์ที่มีขั้นการประดิษฐ์สูงขึ้นได้ ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ. สิทธิบัตร พ.ศ.2522การประดิษฐ์ตามสิทธิบัตรของโจทก์เป็นการประดิษฐ์ที่ไม่อาจขอรับสิทธิบัตรได้สิทธิบัตรการประดิษฐ์ของโจทก์จึงเป็นสิทธิบัตรที่ได้ออกไปโดยไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ.2522 มาตรา 5 (2) ซึ่ง พ.ร.บ. สิทธิบัตร พ.ศ.2522มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ให้ถือว่าสิทธิบัตรนั้นเป็นสิทธิบัตรที่ไม่สมบูรณ์ โจทก์ย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวและไม่ถูกโต้แย้งสิทธิแต่อย่างใด โจทก์จึงหามีอำนาจฟ้องขอให้ห้ามจำเลยที่ 2 อธิบดีกรมทะเบียนการค้ารับจดทะเบียนและออกสิทธิบัตรให้แก่จำเลยที่ 1 หรือให้ยกคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 3 ในฐานะประธานคณะกรรมการสิทธิบัตรได้ไม่
ก่อนที่โจทก์จะยื่นคำขอรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ม่านเหล็กบังตาชนิดติดกับประตูเหล็กยึดและพับได้ ได้มีการออกสิทธิบัตรการประดิษฐ์ใบม่านชนิดพับซ้อนแบบยึดและพับได้ที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นการประดิษฐ์ประเภทเดียวกันกับการประดิษฐ์ตามสิทธิบัตรของโจทก์ มีข้อถือสิทธิตามคำขอรับสิทธิบัตรของโจทก์แตกต่างกับข้อถือสิทธิของประเทศอังกฤษคือ ตามคำขอรับสิทธิบัตรของโจทก์ขอบด้านหนึ่งของใบม่านหักเป็นมุม และอีกด้านหนึ่งไม่หักเป็นมุม ส่วนตามสิทธิบัตรของประเทศอังกฤษขอบใบม่านทั้งสองด้านหักเป็นมุม ดังนี้ ข้อแตกต่างตามข้อถือสิทธิดังกล่าวเป็นข้อแตกต่างเพียงเล็กน้อย การใช้งานมีลักษณะทำนองเดียวกันไม่ปรากฏว่าการประดิษฐ์ตามสิทธิบัตรของโจทก์ใช้งานหรือมีประสิทธิภาพดีกว่าการประดิษฐ์ตามสิทธิบัตรการประดิษฐ์ของประเทศอังกฤษที่ได้ออกไว้ก่อนที่โจทก์จะยื่นคำขอรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ของโจทก์ การประดิษฐ์ตามสิทธิบัตรของโจทก์จึงมิใช่การประดิษฐ์ที่ไม่เป็นที่ประจักษ์โดยง่ายแก่บุคคลที่มีความชำนาญในระดับสามัญสำหรับงานประเภทนั้น อันจะถือว่าเป็นการประดิษฐ์ที่มีขั้นการประดิษฐ์สูงขึ้นได้ ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ. สิทธิบัตร พ.ศ.2522การประดิษฐ์ตามสิทธิบัตรของโจทก์เป็นการประดิษฐ์ที่ไม่อาจขอรับสิทธิบัตรได้สิทธิบัตรการประดิษฐ์ของโจทก์จึงเป็นสิทธิบัตรที่ได้ออกไปโดยไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ.2522 มาตรา 5 (2) ซึ่ง พ.ร.บ. สิทธิบัตร พ.ศ.2522มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ให้ถือว่าสิทธิบัตรนั้นเป็นสิทธิบัตรที่ไม่สมบูรณ์ โจทก์ย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวและไม่ถูกโต้แย้งสิทธิแต่อย่างใด โจทก์จึงหามีอำนาจฟ้องขอให้ห้ามจำเลยที่ 2 อธิบดีกรมทะเบียนการค้ารับจดทะเบียนและออกสิทธิบัตรให้แก่จำเลยที่ 1 หรือให้ยกคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 3 ในฐานะประธานคณะกรรมการสิทธิบัตรได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7684/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องและใบมอบอำนาจ: ความสมบูรณ์ของใบมอบอำนาจ แม้มีการแก้ไขและการส่งมอบเอกสาร
ศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ชำระค่ารักษาพยาบาลให้แก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 70,000 บาท จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่อุทธรณ์โต้แย้งจึงยุติจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่อาจฎีกาโต้แย้งเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลของโจทก์ที่ 1อีกได้
คำฟ้องของโจทก์ที่ 1 ระบุว่า ขอยื่นฟ้องสหกรณ์รัตนโกสินทร์จำกัด กับพวกรวม 4 คน ตามบัญชีรายชื่อท้ายฟ้อง โดยบัญชีรายชื่อท้ายฟ้องระบุชื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ไว้แล้ว แม้ต่อมาโจทก์ที่ 1 ได้ขอแก้ชื่อจำเลยที่ 1 จากสหกรณ์รัตนโกสินทร์ จำกัด เป็นสหกรณ์สามล้อรัตนโกสินทร์ จำกัด ตามหนังสือรับรองการจดทะเบียนของจำเลยที่ 1 ก็ตาม ก็เป็นเพียงการแก้ไขชื่อให้ถูกต้องเท่านั้นไม่ทำให้ใบมอบอำนาจท้ายฟ้องที่ระบุให้ฟ้องในชื่อของจำเลยที่ 1 เดิมเสียไป และแม้ใบมอบอำนาจดังกล่าวไม่ได้ระบุชื่อจำเลยที่ 1 ไว้ ก็ถือว่ามอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยที่ 1 ในคดีนี้นั่นเอง เมื่อโจทก์ที่ 1 มอบอำนาจให้ ภ. ผู้รับมอบอำนาจดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 แล้ว แม้จะมิได้ระบุว่าให้ดำเนินคดีในข้อหาใดก็หาทำให้ใบมอบอำนาจดังกล่าวเสียไปไม่ และการที่ใบมอบอำนาจมีเพียงลายมือชื่อของผู้รับมอบอำนาจกำกับข้อความที่แก้ไขในใบมอบอำนาจแต่ฝ่ายเดียวก็หาทำให้การแก้ไขนั้นเสียไปไม่ ใบมอบอำนาจดังกล่าวจึงสมบูรณ์แล้ว
เมื่อต้นฉบับใบมอบอำนาจได้รวมอยู่ในท้ายฟ้องของโจทก์ที่ 1แล้ว ก็หาจำต้องส่งสำเนาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อีกไม่ การอ้างถึงใบมอบอำนาจดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในการนำสืบจึงชอบแล้ว
คำฟ้องของโจทก์ที่ 1 ระบุว่า ขอยื่นฟ้องสหกรณ์รัตนโกสินทร์จำกัด กับพวกรวม 4 คน ตามบัญชีรายชื่อท้ายฟ้อง โดยบัญชีรายชื่อท้ายฟ้องระบุชื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ไว้แล้ว แม้ต่อมาโจทก์ที่ 1 ได้ขอแก้ชื่อจำเลยที่ 1 จากสหกรณ์รัตนโกสินทร์ จำกัด เป็นสหกรณ์สามล้อรัตนโกสินทร์ จำกัด ตามหนังสือรับรองการจดทะเบียนของจำเลยที่ 1 ก็ตาม ก็เป็นเพียงการแก้ไขชื่อให้ถูกต้องเท่านั้นไม่ทำให้ใบมอบอำนาจท้ายฟ้องที่ระบุให้ฟ้องในชื่อของจำเลยที่ 1 เดิมเสียไป และแม้ใบมอบอำนาจดังกล่าวไม่ได้ระบุชื่อจำเลยที่ 1 ไว้ ก็ถือว่ามอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยที่ 1 ในคดีนี้นั่นเอง เมื่อโจทก์ที่ 1 มอบอำนาจให้ ภ. ผู้รับมอบอำนาจดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 แล้ว แม้จะมิได้ระบุว่าให้ดำเนินคดีในข้อหาใดก็หาทำให้ใบมอบอำนาจดังกล่าวเสียไปไม่ และการที่ใบมอบอำนาจมีเพียงลายมือชื่อของผู้รับมอบอำนาจกำกับข้อความที่แก้ไขในใบมอบอำนาจแต่ฝ่ายเดียวก็หาทำให้การแก้ไขนั้นเสียไปไม่ ใบมอบอำนาจดังกล่าวจึงสมบูรณ์แล้ว
เมื่อต้นฉบับใบมอบอำนาจได้รวมอยู่ในท้ายฟ้องของโจทก์ที่ 1แล้ว ก็หาจำต้องส่งสำเนาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อีกไม่ การอ้างถึงใบมอบอำนาจดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในการนำสืบจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 760/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้อง, การประเมินราคาศุลกากร, อายุความค่าอากร, ราคาอันแท้จริง
หนังสือรับรองของนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทเป็นเอกสารราชการซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ทำขึ้น เมื่ออีกฝ่ายมิได้นำสืบว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ถูกต้องอย่างไร แม้ฝ่ายที่อ้างจะมิได้นำนายทะเบียนมาสืบก็รับฟังได้เมื่อผู้รับมอบอำนาจเบิกความยืนยันว่า กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ลงลายมือชื่อร่วมกันในหนังสือมอบอำนาจ มอบอำนาจให้ตนเป็นผู้ดำเนินคดีแทนโจทก์ โดยมีตราสำคัญของโจทก์ประทับ แม้จะไม่มีกรรมการผู้ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจมาสืบ ก็ฟังได้ว่าโจทก์มอบอำนาจให้ ส.ฟ้องคดีแทน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ในวันนำเข้าสินค้าตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้า โจทก์ได้ชำระภาษีอากรเฉพาะตามจำนวนที่ได้สำแดงไว้เท่านั้น ส่วนจำนวนที่เจ้าพนักงานของจำเลยเรียกให้โจทก์ชำระเพิ่ม โจทก์ยังมิได้ชำระแต่ได้วางเงินสดและหนังสือค้ำประกันของธนาคารเป็นหลักประกันค่าอากรที่อาจต้องชำระเพิ่ม เป็นการดำเนินการเพื่อนำสินค้าออกจากอารักขาของจำเลยตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469มาตรา 112 จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ชำระค่าภาษีอากรเพิ่มในวันนำเข้าแล้ว ต่อเมื่อเจ้าพนักงานของจำเลยได้ประเมินให้โจทก์ชำระค่าภาษีอากรเพิ่มโจทก์นำเงินไปชำระและรับหลักประกันคืน เป็นการดำเนินการตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา112 ทวิ วรรคหนึ่ง กรณีดังกล่าวจึงมิใช่เรื่องที่โจทก์ชำระค่าภาษีอากรจนครบถ้วนหรือวางเงินไว้เป็นประกันก่อนที่จะนำของไปจากอารักขาของศุลกากรตาม พ.ร.บ.ศุลกากร มาตรา 40 อันจะถือได้ว่าโจทก์ได้เสียอากรเกินกว่าจำนวนที่พึงต้องชำระเพราะเหตุอันเกี่ยวกับราคาแห่งของอันจะอยู่ในบังคับสิทธิเรียกร้องขอคืนเงินอากรที่ได้เสียไว้เกิน ในกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่นำสินค้าเข้า ตาม พ.ร.บ.ศุลกากรมาตรา 10 วรรคห้า หากแต่เป็นเรื่องที่โจทก์ชำระค่าอากรเพิ่มเกินกว่าจำนวนที่ต้องชำระ โดยพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้ประเมินเงินอากรเพิ่ม เพราะเหตุอันเกี่ยวกับราคาแห่งของ เมื่อ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มิได้บัญญัติเกี่ยวกับอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 164
การซื้อสินค้าของโจทก์ในแต่ละเที่ยวที่นำเข้าเมื่อพิจารณาจากราคาที่ได้สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้า ปรากฏว่าราคาสินค้าต่อหน่วยไม่เท่ากันในการนำเข้าแต่ละเที่ยว เจ้าพนักงานของจำเลยจึงได้ประเมินเพิ่มขึ้นไม่เท่ากันในแต่ละเที่ยวเช่นเดียวกัน ราคาสินค้าทั้งที่โจทก์สำแดงและที่เจ้าพนักงานประเมินเพิ่มมิได้คงที่ มีการปรับราคาอยู่เสมอ และการประเมินของเจ้าพนักงานโดยการปรับราคาก็ไม่แน่นอนว่าจะเพิ่มหรือลดลง แม้ว่าการประเมินดังกล่าวจะอาศัยตามประกาศกรมศุลกากรและคำสั่งกรมศุลกากรซึ่งให้ใช้ราคาสูงสุดก่อนรายที่พิจารณาราคาไม่เกิน 3 เดือนเป็นหลักในการประเมินแต่ประกาศและคำสั่งดังกล่าวเป็นเพียงแนวทางให้เจ้าพนักงานของจำเลยใช้สำหรับพิจารณาราคาอันแท้จริงในท้องตลาดโดยการเปรียบเทียบกับผู้นำเข้ารายก่อนเท่านั้นจะถือเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดยังไม่ได้ แสดงว่าการกำหนดราคาซื้อขายระหว่างโจทก์กับผู้ขายเป็นไปตามภาวะการตลาด หรือภาวะทางเศรษฐกิจในขณะนั้นราคาสินค้าการซื้อขายระหว่างโจทก์กับผู้ขายจึงเป็นราคาขายส่งเงินสดซึ่งจะพึงขายของประเภทและชนิดเดียวกันได้ โดยไม่ขาดทุน ณ เวลา และที่ที่นำของเข้าโดยไม่มีหักทอนหรือลดหย่อนราคา จึงเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 2 วรรคสิบสอง
ในวันนำเข้าสินค้าตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้า โจทก์ได้ชำระภาษีอากรเฉพาะตามจำนวนที่ได้สำแดงไว้เท่านั้น ส่วนจำนวนที่เจ้าพนักงานของจำเลยเรียกให้โจทก์ชำระเพิ่ม โจทก์ยังมิได้ชำระแต่ได้วางเงินสดและหนังสือค้ำประกันของธนาคารเป็นหลักประกันค่าอากรที่อาจต้องชำระเพิ่ม เป็นการดำเนินการเพื่อนำสินค้าออกจากอารักขาของจำเลยตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469มาตรา 112 จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ชำระค่าภาษีอากรเพิ่มในวันนำเข้าแล้ว ต่อเมื่อเจ้าพนักงานของจำเลยได้ประเมินให้โจทก์ชำระค่าภาษีอากรเพิ่มโจทก์นำเงินไปชำระและรับหลักประกันคืน เป็นการดำเนินการตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา112 ทวิ วรรคหนึ่ง กรณีดังกล่าวจึงมิใช่เรื่องที่โจทก์ชำระค่าภาษีอากรจนครบถ้วนหรือวางเงินไว้เป็นประกันก่อนที่จะนำของไปจากอารักขาของศุลกากรตาม พ.ร.บ.ศุลกากร มาตรา 40 อันจะถือได้ว่าโจทก์ได้เสียอากรเกินกว่าจำนวนที่พึงต้องชำระเพราะเหตุอันเกี่ยวกับราคาแห่งของอันจะอยู่ในบังคับสิทธิเรียกร้องขอคืนเงินอากรที่ได้เสียไว้เกิน ในกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่นำสินค้าเข้า ตาม พ.ร.บ.ศุลกากรมาตรา 10 วรรคห้า หากแต่เป็นเรื่องที่โจทก์ชำระค่าอากรเพิ่มเกินกว่าจำนวนที่ต้องชำระ โดยพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้ประเมินเงินอากรเพิ่ม เพราะเหตุอันเกี่ยวกับราคาแห่งของ เมื่อ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มิได้บัญญัติเกี่ยวกับอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 164
การซื้อสินค้าของโจทก์ในแต่ละเที่ยวที่นำเข้าเมื่อพิจารณาจากราคาที่ได้สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้า ปรากฏว่าราคาสินค้าต่อหน่วยไม่เท่ากันในการนำเข้าแต่ละเที่ยว เจ้าพนักงานของจำเลยจึงได้ประเมินเพิ่มขึ้นไม่เท่ากันในแต่ละเที่ยวเช่นเดียวกัน ราคาสินค้าทั้งที่โจทก์สำแดงและที่เจ้าพนักงานประเมินเพิ่มมิได้คงที่ มีการปรับราคาอยู่เสมอ และการประเมินของเจ้าพนักงานโดยการปรับราคาก็ไม่แน่นอนว่าจะเพิ่มหรือลดลง แม้ว่าการประเมินดังกล่าวจะอาศัยตามประกาศกรมศุลกากรและคำสั่งกรมศุลกากรซึ่งให้ใช้ราคาสูงสุดก่อนรายที่พิจารณาราคาไม่เกิน 3 เดือนเป็นหลักในการประเมินแต่ประกาศและคำสั่งดังกล่าวเป็นเพียงแนวทางให้เจ้าพนักงานของจำเลยใช้สำหรับพิจารณาราคาอันแท้จริงในท้องตลาดโดยการเปรียบเทียบกับผู้นำเข้ารายก่อนเท่านั้นจะถือเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดยังไม่ได้ แสดงว่าการกำหนดราคาซื้อขายระหว่างโจทก์กับผู้ขายเป็นไปตามภาวะการตลาด หรือภาวะทางเศรษฐกิจในขณะนั้นราคาสินค้าการซื้อขายระหว่างโจทก์กับผู้ขายจึงเป็นราคาขายส่งเงินสดซึ่งจะพึงขายของประเภทและชนิดเดียวกันได้ โดยไม่ขาดทุน ณ เวลา และที่ที่นำของเข้าโดยไม่มีหักทอนหรือลดหย่อนราคา จึงเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 2 วรรคสิบสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7577/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องกรณีเงินบริจาคเพื่อจัดตั้งมูลนิธิยังไม่จดทะเบียน
โจทก์เป็นประธานกรรมการและเลขานุการจัดตั้งมูลนิธิ น.พระครู ส.ในฐานะเจ้าอาวาสวัดจำเลยได้ยืมเงินจำนวน 150,000 บาท ซึ่งเป็นเงินที่ประชาชนผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเพื่อจัดตั้งมูลนิธิ น.ไปจากโจทก์ ดังนี้ แม้มูลนิธิ น.จะยังไม่ได้จดทะเบียนก่อตั้งให้สมบูรณ์ และเงินที่พระครู ส.ขอยืมไปเป็นเงินที่ได้รับบริจาคเพื่อจัดตั้งมูลนิธิ น. มิใช่เงินของโจทก์ก็ตาม แต่เงินจำนวนดังกล่าวอยู่ในความครอบครองของโจทก์ หากมูลนิธิ น.ได้จดทะเบียนก่อตั้งสมบูรณ์ตามกฎหมายโจทก์มีหน้าที่จะต้องส่งมอบคืนให้แก่มูลนิธิ น. ดังนั้นเมื่อโจทก์ต้องรับผิดชอบชดใช้เงินคืน ทั้งได้ทวงถามแล้ว พระครู ส.ไม่ยอมชดใช้ ย่อมเป็นการกระทบกระเทือนสิทธิของโจทก์ ถือว่าโจทก์ถูกจำเลยโต้แย้งสิทธิ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7510/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือมอบอำนาจสมบูรณ์ตามกฎหมาย โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยได้ แม้กรรมการลงลายมือชื่อไม่ครบตามจดทะเบียน
หนังสือมอบอำนาจมีข้อความพิมพ์ไว้ชัด จำเลยที่ 1 มิได้นำสืบพิสูจน์หักล้างว่าหนังสือมอบอำนาจฉบับนี้เพิ่งทำภายหลังที่มีการทำสัญญาซื้อขายแล้วลงวันที่ย้อนหลังไปแม้โจทก์ไม่ได้นำเอกสารดังกล่าวไปแสดงต่อจำเลยในวันที่ทำสัญญาซื้อขายก็ไม่ใช่หน้าที่ของโจทก์หรือมีกฎหมายกำหนดว่าให้โจทก์ต้องแสดงต่อจำเลยในวันทำสัญญา จึงฟังได้ว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้ บ. ดำเนินการแทนโจทก์ตามที่ระบุไว้ในหนังสือมอบอำนาจนั้น การที่ บ.ลงลายมือชื่อเป็นผู้ขายในสัญญาซื้อขายซึ่งมีตราของโจทก์ประกันก็เท่ากับ บ.เป็นตัวแทนของโจทก์ ส่วนที่ บ.ลงลายมือชื่อในฐานะเป็นผู้มอบอำนาจกับในฐานะเป็นผู้รับมอบอำนาจโดยมี ท.เป็นกรรมการอีกคนหนึ่งของโจทก์ลงลายมือชื่อเป็นผู้มอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจก็หาใช่ว่ากรรมการของโจทก์ไม่ครบ 2 คนตามที่จดทะเบียนไว้ไม่ ส่วนการที่โจทก์มีกรรมการถึง 6 คน แล้วให้บ.ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจในฐานะเป็นผู้มอบอำนาจกับเป็นผู้รับมอบอำนาจรวม 2 ตำแหน่ง ก็มิใช่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายแต่ประการใด และพฤติการณ์ดังนี้ก็ไม่อาจถือว่าเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7510/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือมอบอำนาจสมบูรณ์ การลงลายมือชื่อในสัญญาซื้อขายผูกพันโจทก์ จำเลยต้องชำระหนี้
หนังสือมอบอำนาจมีข้อความพิมพ์ไว้ชัดจำเลยที่1มิได้นำสืบพิสูจน์หักล้างว่าหนังสือมอบอำนาจฉบับนี้เพิ่งทำภายหลังที่มีการทำสัญญาซื้อขายแล้วลงวันที่ย้อนหลังไปแม้โจทก์ไม่ได้นำเอกสารดังกล่าวไปแสดงต่อจำเลยในวันที่ทำสัญญาซื้อขายก็ไม่ใช่หน้าที่ของโจทก์หรือมีกฎหมายกำหนดว่าให้โจทก์ต้องแสดงต่อจำเลยในวันทำสัญญาจึงฟังได้ว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้บ. ดำเนินการแทนโจทก์ตามที่ระบุไว้ในหนังสือมอบอำนาจนั้นการที่บ.ลงลายมือชื่อเป็นผู้ขายในสัญญาซื้อขายซึ่งมีตราของโจทก์ประกันก็เท่ากับบ.เป็นตัวแทนของโจทก์ส่วนที่บ.ลงลายมือชื่อในฐานะเป็นผู้มอบอำนาจกับในฐานะเป็นผู้รับมอบอำนาจโดยมีท.เป็นกรรมการอีกคนหนึ่งของโจทก์ลงลายมือชื่อเป็นผู้มอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจก็หาใช่ว่ากรรมการของโจทก์ไม่ครบ2คนตามที่จดทะเบียนไว้ไม่ส่วนการที่โจทก์มีกรรมการถึง6คนแล้วให้บ.ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจในฐานะเป็นผู้มอบอำนาจกับเป็นผู้รับมอบอำนาจรวม2ตำแหน่งก็มิใช่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายแต่ประการใดและพฤติการณ์ดังนี้ก็ไม่อาจถือว่าเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7480/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาคดีขาดนัดและการวินิจฉัยอำนาจฟ้องจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏ
มูลคดีเดียวกัน จำเลยเคยฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาทและศาลได้พิพากษาขับไล่โจทก์แล้ว แม้คำพิพากษาในคดีดังกล่าวเป็นเรื่องคำพิพากษาในคดีขาดนัดและมีการขอให้พิจารณาใหม่ แต่คำพิพากษาในคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วจึงมีผลผูกพันคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง
ในคดีดังกล่าวศาลฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทำสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทกับจำเลย เมื่อครบกำหนดแล้วโจทก์ไม่ไถ่ถอน ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นของจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 492 จึงต้องฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย และโจทก์เช่าที่ดินพิพาทจากจำเลย เมื่อจำเลยไม่ประสงค์จะให้โจทก์เช่าต่อไป โจทก์ก็ต้องออกจากที่ดินพิพาท จำเลยจึงมีสิทธิฟ้องขับไล่โจทก์ ดังนี้แม้ประเด็นแห่งคดีทั้งสองจะเป็นคนละเรื่อง แต่ก็เกิดจากมูลคดีเดียวกัน ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อเท็จจริงปรากฏในชั้นพิจารณาเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีโดยไม่จำต้องสืบพยานต่อไปและงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วศาลล่างทั้งสองนำเอาคำพิพากษาคดีดังกล่าวมาวินิจฉัยโดยเห็นว่าผูกพันคู่ความในคดีนี้ จึงชอบแล้ว
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่ศาลจะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยหรือไม่ย่อมเป็นดุลพินิจของศาลเมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้เพียงพอที่จะวินิจฉัยโดยไม่จำต้องสืบพยานต่อไป ศาลก็มีอำนาจหยิบยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)
ในคดีดังกล่าวศาลฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทำสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทกับจำเลย เมื่อครบกำหนดแล้วโจทก์ไม่ไถ่ถอน ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นของจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 492 จึงต้องฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย และโจทก์เช่าที่ดินพิพาทจากจำเลย เมื่อจำเลยไม่ประสงค์จะให้โจทก์เช่าต่อไป โจทก์ก็ต้องออกจากที่ดินพิพาท จำเลยจึงมีสิทธิฟ้องขับไล่โจทก์ ดังนี้แม้ประเด็นแห่งคดีทั้งสองจะเป็นคนละเรื่อง แต่ก็เกิดจากมูลคดีเดียวกัน ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อเท็จจริงปรากฏในชั้นพิจารณาเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีโดยไม่จำต้องสืบพยานต่อไปและงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วศาลล่างทั้งสองนำเอาคำพิพากษาคดีดังกล่าวมาวินิจฉัยโดยเห็นว่าผูกพันคู่ความในคดีนี้ จึงชอบแล้ว
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่ศาลจะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยหรือไม่ย่อมเป็นดุลพินิจของศาลเมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้เพียงพอที่จะวินิจฉัยโดยไม่จำต้องสืบพยานต่อไป ศาลก็มีอำนาจหยิบยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)