พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,377 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2858/2529 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าธรรมเนียมบังคับคดี: การจ่ายเงินอายัดถือเป็นการ 'จำหน่าย' ตามกฎหมาย
การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินซึ่งจำเลยที่ 3 ที่ 5 ได้รับชำระหนี้ในคดีอื่นไว้นั้น เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีจ่ายเงินที่อายัดแก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ไปจึงต้องคิดค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีในการจ่ายเงินที่อายัดแก่โจทก์เจ้าหนี้ในอัตราร้อยละ 3 ครึ่งของจำนวนเงินที่อายัดตามตาราง 5 ข้อ 2 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และคำว่า'จำหน่าย' หามีความหมายเพียงการขายอย่างเดียวไม่แต่ยังหมายถึง 'จ่าย แจก แลกเปลี่ยน เอาออกใช้หรือให้' ด้วย การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจ่ายเงินที่อายัดแก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เป็นการจำหน่ายเงินที่อายัดแล้ว ที่ เจ้าพนักงานบังคับคดีคิดค่าธรรมเนียมการจ่ายเงินที่อายัดตามข้อ 2 จึงถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2858/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าธรรมเนียมบังคับคดี: การจ่ายเงินที่อายัดถือเป็นการ 'จำหน่าย' ตามกฎหมาย
เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินซึ่งจำเลยได้รับชำระหนี้ในคดีอื่นไว้ เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีจ่ายเงินที่อายัดแก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ไป ต้องคิดค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีในการจ่ายเงินที่อายัดแก่โจทก์เจ้าหนี้ในอัตราร้อยละ 3 ครึ่งของจำนวนเงินที่อายัดตามตาราง 5 ข้อ 2 ท้าย ป.วิ.พ. คำว่า "จำหน่าย"หามีความหมายเพียงการขายอย่างเดียวไม่ แต่ยังหมายถึง "จ่าย แจกแลกเปลี่ยน เอาออกใช้หรือให้" ด้วย การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจ่ายเงินที่อายัดแก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เป็นการจำหน่ายเงินที่อายัดแล้ว".
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2858/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าธรรมเนียมบังคับคดี: การจ่ายเงินที่อายัดถือเป็นการ 'จำหน่าย' ตามกฎหมาย
เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินซึ่งจำเลยได้รับชำระหนี้ในคดีอื่นไว้เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีจ่ายเงินที่อายัดแก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ไปต้องคิดค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีในการจ่ายเงินที่อายัดแก่โจทก์เจ้าหนี้ในอัตราร้อยละ3ครึ่งของจำนวนเงินที่อายัดตามตาราง5ข้อ2ท้ายป.วิ.พ.คำว่า"จำหน่าย"หามีความหมายเพียงการขายอย่างเดียวไม่แต่ยังหมายถึง"จ่ายแจกแลกเปลี่ยนเอาออกใช้หรือให้"ด้วยการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจ่ายเงินที่อายัดแก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เป็นการจำหน่ายเงินที่อายัดแล้ว".
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2815/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเข้าไปในเคหสถานเพื่อป้องกันยาเสพติด: เหตุอันสมควรทางกฎหมาย
จำเลยเข้าใจมาแต่แรกว่ายาที่ผู้เสียหายให้นาย ต.ไปเป็นยาเสพติดให้โทษ ขณะที่จำเลยเข้าไปในกุฏิของพระภิกษุ ว.ผู้เสียหาย นาย ถ. อยู่ในกุฏิของผู้เสียหายและหยิบยามาดู จำเลยเห็นยาดังกล่าวเข้าใจว่าเป็นยาเสพติดให้โทษ จึงหยิบเอามาเพื่อไม่ให้ผู้เสียหายมีไว้ในความครอบครองและจะเอาไปให้เจ้าอาวาสดู ดังนี้เป็นการเข้าไปโดยมีเหตุอันสมควร ไม่มีความผิดฐานบุกรุก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2711/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานยักยอกและยักย้ายข้าว: การพิจารณาความผิดทางอาญาและบทบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ผู้รับฝากมีหน้าที่ต้องคืนทรัพย์ที่รับฝากแก่ผู้ฝากจะนำทรัพย์ออกใช้สอยหรือมอบให้ผู้อื่นโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ฝากหาได้ไม่ในการฝากข้าวซึ่งเป็นสังกมะทรัพย์นั้นถ้าผู้รับฝากยักยอกเอาข้าวไปโดยทุจริตไม่สามารถส่งคืนข้าวที่รับฝากไว้ให้แก่ผู้ฝากได้ผู้รับฝากอาจต้องส่งคืนข้าวชนิดและประเภทเดียวกันให้แก่ผู้ฝากก็เป็นเรื่องของการชำระหนี้ในทางแพ่งเท่านั้นหามีผลให้ผู้รับฝากพ้นความรับผิดฐานยักยอกในทางอาญาไม่ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่1ยักยอกข้าวขององค์การตลาดเพื่อเกษตรกรโดยมีจำเลยที่2เป็นผู้ให้ความช่วยเหลือศาลอุทธรณ์ย่อมลงโทษจำเลยที่2ฐานเป็นผู้สนับสนุนได้แม้ว่าจะมิได้พิพากษาลงโทษจำเลยที่1ด้วยเพราะว่าคดีสำหรับจำเลยที่1ได้ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วก็ตาม ความผิดฐานยักยอกตามป.อ.กับความผิดฐานยักย้ายข้าวจากสถานที่เก็บโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพ.ร.บ.การค้าข้าวเป็นความผิดที่มีองค์ประกอบต่างกันและเป็นอิสระจากกันการกระทำกรรมเดียวอาจเป็นความผิดทั้งสองฐานได้เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าในการยักย้ายข้าวซึ่งเป็นความผิดฐานยักยอกนั้นจำเลยมิได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการตามพ.ร.บ.การค้าข้าวจำเลยก็มีความผิดตามพ.ร.บ.ดังกล่าวด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2591/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกกล่าวชำระหนี้ต้องมีระยะเวลาพอสมควร หากไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่เป็นฝ่ายผิดสัญญา
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นวันชี้สองสถานไว้ 2 ข้อคือ จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระเงิน 12,800 บาท ตามที่ตกลงกันต่อหน้าศาลหรือไม่และโจทก์เสียหายเพียงใด เมื่อสืบพยานเสร็จ ศาลชั้นต้นกำหนด ประเด็นขึ้น 4 ข้อ แล้วพิพากษาไปในวันนั้นคือ 1. จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระเงิน 12,800 บาท ตามที่ตกลงกับโจทก์ในวันที่ 1 กันยายนหรือไม่ 2. โจทก์มีสิทธิเลิกสัญญาโดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อนหรือไม่ 3. โจทก์ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงโอนที่ดินให้จำเลยตามฟ้องแย้งของจำเลยหรือไม่ 4. โจทก์เสียหายหรือไม่ เพียงใด ดังนี้ประเด็นข้อ 1 เป็นการเน้นให้ชัดลงไปว่าจำเลยผิดสัญญาในวันที่ 1 กันยายน 2524 หรือไม่ เพราะประเด็นเดิมกล่าวไว้กว้าง ๆ ว่าผิดสัญญาตามที่ตกลงกันต่อหน้าศาลหรือไม่ ซึ่งการนัดชำระราคาหลังจากตกลงกันที่ศาลแล้วมีครั้งเดียวคือวันที่ 1 กันยายน 2524 เท่านั้นจึงไม่ถือว่าเป็นการกำหนดขึ้นใหม่
โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินนัดจำเลยไปรับโอนที่ดินที่ซื้อในวันที่1 กันยายน 2524 โดยเจ้าพนักงานที่ดินออกหนังสือเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2524 เจ้าหน้าที่ส่งหนังสือนั้นแก่จำเลยวันถัดมา โจทก์จึงมิได้เป็นผู้แจ้งให้จำเลยปฏิบัติการชำระหนี้เอง จะถือว่าเจ้าพนักงานที่ดินเป็นตัวแทนหาได้ไม่กำหนดเวลาที่ให้จำเลยชำระหนี้เพียง 4 วัน นับว่ากระชั้นชิดเกินไปไม่ใช่ระยะเวลาพอสมควรตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 387 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์การบอกกล่าวแจ้งให้จำเลยชำระหนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาโจทก์ยังไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาซื้อขายกับจำเลยและยังไม่มีอำนาจฟ้อง
ประเด็นข้อ 3 ที่ศาลชั้นต้นกำหนดเพิ่มเติม ไม่ขัดต่อวิธีพิจารณาเพราะรวมอยู่ในประเด็นแรกที่กำหนดไว้แต่เดิมแล้ว คือหากจำเลยไม่ผิดสัญญาย่อมมีประเด็นตามมาว่าโจทก์ต้องโอนที่ดินให้จำเลยตามฟ้องแย้งหรือไม่
โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินนัดจำเลยไปรับโอนที่ดินที่ซื้อในวันที่1 กันยายน 2524 โดยเจ้าพนักงานที่ดินออกหนังสือเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2524 เจ้าหน้าที่ส่งหนังสือนั้นแก่จำเลยวันถัดมา โจทก์จึงมิได้เป็นผู้แจ้งให้จำเลยปฏิบัติการชำระหนี้เอง จะถือว่าเจ้าพนักงานที่ดินเป็นตัวแทนหาได้ไม่กำหนดเวลาที่ให้จำเลยชำระหนี้เพียง 4 วัน นับว่ากระชั้นชิดเกินไปไม่ใช่ระยะเวลาพอสมควรตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 387 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์การบอกกล่าวแจ้งให้จำเลยชำระหนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาโจทก์ยังไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาซื้อขายกับจำเลยและยังไม่มีอำนาจฟ้อง
ประเด็นข้อ 3 ที่ศาลชั้นต้นกำหนดเพิ่มเติม ไม่ขัดต่อวิธีพิจารณาเพราะรวมอยู่ในประเด็นแรกที่กำหนดไว้แต่เดิมแล้ว คือหากจำเลยไม่ผิดสัญญาย่อมมีประเด็นตามมาว่าโจทก์ต้องโอนที่ดินให้จำเลยตามฟ้องแย้งหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2557/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้โดยไม่ผูกพันตามกฎหมาย: สิทธิในการเรียกคืนเงินบำเหน็จ
หลังจากพระราชบัญญัติระงับการนับเวลาราชการทวีคูณในระหว่างเวลาประกาศใช้กฎอัยการศึกตามคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่1ลงวันที่6ตุลาคมพ.ศ.2519พ.ศ.2519ออกใช้บังคับแล้วจำเลยก็ยังยึดมั่นในความเห็นของตนตลอดมาว่าจำเลยไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินบำเหน็จโดยคำนวณเวลาทำงานทวีคูณให้แก่พนักงานและคนงานของจำเลยทั้งยังได้โต้แย้งตลอดมาดังนั้นการที่จำเลยเห็นว่าหากจำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามคำชี้ขาดของคณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาทที่สั่งให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จโดยคำนวณเวลาทำงานทวีคูณให้แก่พนักงานและคนงานแล้วก็อาจเป็นสาเหตุให้กระทรวงอุตสาหกรรมเลิกสัญญาเช่าโรงงานสุราบางยี่ขันกับจำเลยทำให้จำเลยต้องเสียหายเป็นเงินจำนวนมากนั้นจึงเป็นเรื่องที่จำเลยคาดคิดเอาเองเป็นส่วนตัวและไม่แน่นอนเมื่อจำเลยได้จ่ายเงินบำเหน็จโดยรวมเวลาทำงานทวีคูณให้แก่โจทก์ไปแล้วกรณีเป็นเรื่องที่จำเลยกระทำการชำระหนี้ตามอำเภอใจโดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา407จำเลยจึงไม่มีสิทธิเรียกเงินบำเหน็จคืนจากโจทก์ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2522/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการนัดหยุดงานของลูกจ้าง: การใช้สิทธิหลายครั้งไม่ผิดกฎหมาย ตราบเท่าที่ไม่เกินความจำเป็นและเป็นธรรม
ฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยที่1นัดหยุดงานโดยไม่มีข้อเรียกร้องไม่มีข้อพิพาทแรงงานเป็นการนัดหยุดงานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายโจทก์มิได้ตั้งข้อหาและมิได้อาศัยข้ออ้างที่เป็นหลักแห่งข้อหาว่าจำเลยที่1กระทำการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ.2518มาตรา99แต่ประการใดซึ่งมาตรานี้เป็นบทยกเว้นความรับผิดมิใช่บทบังคับการกระทำจึงไม่ใช่หน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องบรรยายฟ้องกล่าวแก้จำเลยเป็นการล่วงหน้าไว้ก่อนหากแต่เป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะยกบทมาตราดังกล่าวขึ้นต่อสู้ว่าตนไม่ต้องรับผิดเพราะต้องด้วยข้อยกเว้นข้อใดข้อหนึ่งในสี่ประการนั้นจำเลยจะยกมาตรา99ขึ้นปรับคดีว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องไม่ได้โจทก์มีอำนาจฟ้อง. จำเลยที่1ได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อโจทก์รวม10ข้อตกลงกันได้3ข้อคงเหลือข้อเรียกร้องที่ตกลงกันไม่ได้อีก7ข้อต้องถือว่าข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1ยังมีอยู่ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ.2518มาตรา22วรรคสามการที่จำเลยที่1ใช้สิทธินัดหยุดงานในวันที่8แล้วกลับเข้าทำงานในวันที่9เดือนเดียวกันโดยลำพังตนมิได้ขอกลับเข้าทำงานต่อฝ่ายบริหารของโจทก์ไม่ถือว่าเป็นการสละข้อเรียกร้องและจะถือว่าข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้เป็นอันระงับหรือสิ้นสุดลงด้วยการนัดหยุดงานและกลับเข้าทำงานใหม่ไม่ได้เพราะไม่มีบทมาตราใดในพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์บัญญัติไว้เช่นนั้นสิทธินัดหยุดงานของจำเลยที่1จึงไม่สิ้นไป. พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ.2518หามีบทมาตราใดบังคับว่าเมื่อข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้เกิดขึ้นแล้วลูกจ้างพึงใช้สิทธินัดหยุดงานได้แต่เพียงครั้งเดียวไม่การแปลกฎหมายว่าลูกจ้างมีสิทธินัดหยุดงานได้ครั้งเดียวทั้งที่ไม่มีบทมาตราใดบัญญัติห้ามไว้โดยชัดแจ้งเป็นการแปลที่จำกัดสิทธิโดยชอบธรรมของลูกจ้างการนัดหยุดงานเป็นมาตรการขั้นสุดท้ายของลูกจ้างที่จะให้ได้มาซึ่งข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามข้อเรียกร้องของตนมิใช่ฝ่ายนายจ้างเท่านั้นที่ได้รับความเสียหายที่กิจการต้องหยุดชะงักงันฝ่ายลูกจ้างเองก็ต้องได้รับความเสียหายดุจกันที่ไม่ได้รับค่าจ้างดังนั้นถ้าลูกจ้างสามารถใช้สิทธินัดหยุดงานครั้งเดียวเป็นเวลายาวนานทำให้ทั้งสองฝ่ายได้รับความเดือดร้อนเป็นอันมากได้โดยชอบการนัดหยุดงานเป็นช่วงๆเป็นระยะเวลาสั้นๆเป็นการกระตุ้นเตือนให้นายจ้างรู้สำนึกถึงความเดือดร้อนทีละน้อยแล้วจะทวีความรุนแรงขึ้นโดยลำดับเพื่อให้มีการหันหน้าเข้าเจรจาให้ได้มาซึ่งข้อตกลงร่วมกันจึงกระทำได้การใช้สิทธินัดหยุดงานครั้งหลังๆจึงเป็นการใช้สิทธิโดยชอบไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2393-2394/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดความรับผิดไปรษณียภัณฑ์ตามกฎหมายและข้อบังคับ: การรับประกันสูงสุด 3,950 บาท
อำนาจหน้าที่และความรับผิดของการสื่อสารแห่งประเทศไทยในการขนไปรษณียภัณฑ์ต้องบังคับตามพระราชบัญญัติไปรษณีย์พุทธศักราช2477พระราชบัญญัติการสื่อสารแห่งประเทศไทยพ.ศ.2515และไปรษณียนิเทศพุทธศักราช2520มิใช่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์. จากข้อบังคับของไปรษณียนิเทศพุทธศักราช2520ข้อ131,141,143,146และ147สิ่งของที่ฝากส่งทางไปรษณียภัณฑ์รับประกันมีเฉพาะจดหมายรับประกันซึ่งจดหมายรับประกันนี้จะจดแจ้งราคาหรือไม่ก็ได้การขอให้รับประกันจะขอให้รับประกันเกินกว่าราคาที่แท้จริงของสิ่งของที่บรรจุอยู่ไม่ได้และสิ่งของที่บรรจุอยู่หากมีราคามากกว่า3,950บาทขอรับประกันได้ไม่เกิน3,950บาท. ความรับผิดของการสื่อสารแห่งประเทศไทยในการใช้ค่าสินไหมทดแทนกรณีไปรษณียภัณฑ์รับประกันแตกหักสูญหายต้องบังคับตามไปรษณียนิเทศพุทธศักราช2520ข้อ141ส่วนมาตรา30แห่งพระราชบัญญัติไปรษณีย์พุทธศักราช2477เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับไปรษณียภัณฑ์อื่นอันมิใช่จดหมายรับประกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2284/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินเพื่อทำกินต่างดอกเบี้ย ไม่ทำให้ได้สิทธิครอบครอง หากไม่ได้แจ้งเปลี่ยนลักษณะการยึดถือตามกฎหมาย
ประเด็นข้อพิพาทซึ่งปรากฏจากคำฟ้องและคำให้การแต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยไว้ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องย้อนสำนวน. การครอบครองที่พิพาทเพื่อทำกินต่างดอกเบี้ยเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของเจ้าของที่พิพาทแม้จะครอบครองที่พิพาทมาช้านานเท่าใดก็ไม่อาจยกเอาการแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1375ขึ้นมาอ้างอิงได้นอกจากจะได้มีการบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามมาตรา1381ก่อนจึงจะอ้างสิทธิครอบครองตามมาตรา1375ขึ้นมาอ้างอิงได้. การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ยึดถือครอบครองที่พิพาทของเจ้าของที่พิพาทไว้เพื่อทำกินต่างดอกเบี้ยได้ไปขอให้ทางการออกน.ส.3แล้วต่อมาเจ้าของที่พิพาทได้ไปคัดค้านไว้กรณีเช่นนี้ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่พิพาทโดยบอกกล่าวไปยังเจ้าของที่พิพาทว่าตนไม่มีเจตนาที่จะยึดถือที่พิพาทไว้แทนเจ้าของที่พิพาทอีกต่อไปดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา1381แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์(วรรคนี้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่3/2529).